เสียงแหลมสูงแสบแก้วหูดังขึ้น เหล่าขุนนางที่นั่งอยู่เต็มพระตำหนักค่อยๆ ทยอยลุกขึ้นคุกเข่าถวายการต้อนรับ “ถวายบังคมฝ่าบาท! ถวายบังคมไทเฮา! ถวายบังคมฮองเฮา!”
ทั้งนี้เหล่าขุนนางราชทูตจากแคว้นอื่นและคนประเภทเว่ยอู๋จี้ที่มาร่วมถวายพระพรไม่จำเป็นต้องคุกเข่าทำความเคารพ เพราะแค่พวกเขาลุกขึ้นก็ถือเป็นการแสดงความเคารพแล้ว
ฮ่องเต้แคว้นหวาและฮองเฮาเดินประคองไทเฮาขนาบข้างซ้ายขวา เมื่อประคองไทเฮามาจนถึงที่นั่งทางด้านซ้ายพระองค์ก็ทรงนั่งลงแล้วหันมายิ้มกล่าวกับทุกคนว่า “ทุกคนลุกขึ้นเถิด”
ปีนี้ไทเฮาอายุเกือบเจ็ดสิบชันษาเข้าไปแล้ว หลายปีมานี้นางถอยหนีจากเรื่องในวังมากินเจเข้าวัดทำบุญนานแล้ว แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยก้าวก่ายเรื่องในวังและไม่เคยสนใจความขัดแย้งระหว่างองค์ชาย นอกจากออกงานเลี้ยงใหญ่โตแล้วในยามปกตินางแทบไม่ก้าวเท้าออกนอกพระตำหนัก บางทีอาจเป็นเพราะการมองข้ามเรื่องผลประโยชน์และชื่อเสียงนอกกายของไทเฮาเลยทำให้ฮ่องเต้และฮองเฮานับถือไทเฮาองค์นี้มาก
“ขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” ทุกคนหยัดกายขึ้นพร้อมเอ่ยขอบพระทัย ฮ่องเต้แคว้นหวานั่งบนที่นั่งที่ตั้งอยู่สูงสูด พระองค์มองเห็นทุกคนอยู่ในสายตาได้จากมุมสูง ยามเห็นมู่ชิงอีที่นั่งอยู่ข้างองค์หญิงหมิงเวย ฮ่องเต้แคว้นหวาก็พยักหน้าให้องค์หญิงหมิงเวยอย่างพอใจ เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงชอบใจการผูกมิตรกันระหว่างพระธิดาและมู่ชิงอีเป็นอย่างมาก ทว่าองค์หญิงหมิงเวยกลับมีสีหน้าเรียบนิ่ง
ตนผูกมิตรกับมู่ชิงอีไม่ใช่เพราะว่าฮ่องเต้แคว้นหวาให้ความสำคัญกับมู่ชิงอี คนที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญมีอยู่ถมเถไป ในฐานะที่ตนเป็นองค์หญิงใหญ่คงไม่จำเป็น…ต้องไปผูกมิตรกับทุกคนกระมัง เพียงแต่เพราะครั้งแรกที่เจอกันตนก็รู้สึกถูกชะตากับมู่ชิงอีแล้ว
ทุกคนถวายพระพรแด่ฮ่องเต้แคว้นหวาอย่างพร้อมเพรียง ฮ่องเต้ทรงเบิกบานยิ่งนัก จากนั้นก็ตรัสประกาศว่างานเลี้ยงเริ่มขึ้นแล้ว
ชั่วพริบตาเดียวในพระตำหนักก็มีเสียงเครื่องดนตรีดังขึ้น นางรำในชุดหลากสีสันค่อยๆ ก้าวเข้างานแล้ววาดลวดลายท่วงท่าร่ายรำอย่างคล่องแคล่ว เหล่านางในยกผลไม้นานาชนิดพร้อมสุราชั้นเลิศรสเดินกันขวักไขว่พร้อมคอยส่งของที่ต้องการให้แขกเหรื่อในงาน
ความจริงแล้วงานเลี้ยงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเรื่องหนึ่ง ตอนที่ยังเป็นกู้อวิ๋นเกอนางเองก็ต้องติดตามกู้ฮูหยินไปร่วมงานเลี้ยงนับครั้งไม่ถ้วนทุกๆ ปี ถึงแม้งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ดูแล้วจะยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแต่กลับไม่ได้สนุกขึ้นเลยสักนิด ทว่ามู่ชิงอีรู้ดีว่างานเลี้ยงในค่ำคืนนี้มีเรื่องที่แตกต่างกันออกไปควรค่าแก่การเฝ้ารอคอย แต่คงต้องอยู่รอจนถึงตอนสุดท้าย ก่อนถึงตอนนั้นอย่างน้อยนางก็คงต้องทนเบื่อไปอีกสองชั่วยาม
แม้มู่ชิงอีจะนั่งข้างองค์หญิงหมิงเวยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ทว่าความคิดกลับล่องลอยไปไกลนานแล้ว
อู๋ฉิงจะพาตัวมู่หลิงไปจัดการถึงไหนแล้ว ถ้าไม่ต้องมาร่วมงานเลี้ยงที่น่าเบื่อแบบนี้คงฉวยโอกาสทำอะไรได้บ้าง
จากนั้นก็นึกถึงจูหมิงเยียนที่คลุ้มคลั่งอยู่ในคุกเทียนอิงฝูและพี่ใหญ่ที่อยู่ในจวนฉินเพียงลำพัง สงสัยใคร่รู้ว่าเขาจะพักผ่อนไปแล้วหรือยัง
“ฉังหนิง ฉังหนิง?” เสียงขององค์หญิงหมิงเวยดังขึ้นข้างหู มู่ชิงอีถึงตื่นจากภวังค์ กะพริบตาแล้วหันไปหาองค์หญิงหมิงเวยด้วยท่าทีนิ่งสงบว่า “องค์หญิง มีเรื่องอันใดหรือ”
องค์หญิงหมิงเวยเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าเอาแต่จ้องตลอดเลย…คุณชายเว่ยมีอันใดอย่างนั้นหรือ”
หา?
พอมู่ชิงอีหันหน้าไปมองก็เห็นเว่ยอู๋จี้กำลังมุ่นคิ้วมองตนอยู่ ในขณะเดียวกันยังมีเชียนหลิงที่นั่งอยู่ข้างกายเว่ยอู๋จี้ด้วย คิ้วงามขมวดเข้าหากันเล็กน้อยพร้อมน้ำตาคลอเบ้า เวลานี้มู่ชิงอีถึงรู้ตัวว่าตอนที่นางสติล่องลอยคงเอาแต่จับจ้องไปทางเว่ยอู๋จี้ ครั้นเห็นสีหน้าของเชียนหลิง มู่ชิงอีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชาวาบขึ้นในหัว
เชียนหลิงคงไม่ได้คิดว่านางมีความรู้สึกดีๆ ให้เว่ยอู๋จี้หรอกกระมัง
มู่ชิงอีมีลางสังหรณ์ว่าหากไปหาเรื่องสตรีที่มีนามว่าเชียนหลิงเข้า เกรงว่าจะวุ่นวายกว่าหาเรื่ององค์หญิงไหวหยางและองค์หญิงหมิงฮุ่ยเสียอีก
นางยิ้มให้เชียนหลิงอย่างรู้สึกผิด มู่ชิงอีหันกลับมาเอ่ยยิ้มๆ กับองค์หญิงหมิงเวยว่า “เปล่าเพคะ เมื่อครู่ข้าเหม่อลอยเผลอคิดอะไรบางอย่างอยู่” องค์หญิงหมิงเวยถึงได้พรูลมหายใจ
นางนึกกังวลจริงๆ ว่ามู่ชิงอีจะถูกตาต้องใจเว่ยอู๋จี้ไปด้วยอีกคน หลังจากเห็นสิ่งที่องค์หญิงหมิงฮุ่ยเจอ ด้วยความฉลาดของมู่ชิงอีคงไม่เดินตามรอยองค์หญิงหมิงฮุ่ยซ้ำหรอกกระมัง
กระนั้น องค์หญิงหมิงเวยก็ขอยอมรับว่าเว่ยอู๋จี้มีความมั่งคั่งและความสามารถที่ดึงดูดสตรีได้จริงๆ “คิดอะไรอยู่หรือถึงได้เหม่อลอยขนาดนั้น”
มู่ชิงอียิ้มเจื่อนอย่างจนใจแล้วเอ่ย “ข้าเข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยรู้สึกเบื่อหน่ายเพคะ”
องค์หญิงหมิงเวยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “งานเลี้ยงแบบนี้น่าเบื่อมากจริงๆ” นอกจากเหล่าพระสนมหรือเหล่าองค์หญิงน้อยที่ขังตัวอยู่แต่ในวังไม่ได้ทำอะไรตลอดทั้งปีคงรู้สึกว่างานเลี้ยงแบบนี้น่าสนุก แต่ความจริงคนมากมายกลับรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย เพียงแต่ไม่ว่าจะเบื่อหน่ายหรือสนุก พวกเขาก็ต้องแสดงสีหน้ารู้สึกเป็นเกียรติตลอดงานเลี้ยงเช่นนี้ “ช่วงกลางงานจะมีการจุดพลุ ถึงตอนนั้นออกไปเดินเล่นข้างนอกได้”
ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงที่ฝ่าบาททรงเชิญเหล่าขุนนางมาย่อมมิอาจเอาแต่ดูแลเฉพาะคนในพระตำหนักได้ ในเมื่อคนที่มาร่วมงานและเข้ามาในพระตำหนักได้มีไม่มากนัก คนส่วนมากนั้นอยู่นอกพระตำหนัก ดังนั้นพอถึงช่วงกลางงานฮ่องเต้แคว้นหวาต้องออกไปดื่มสุรากับเหล่าขุนนางทั้งหมด จากนั้นก็ชมการแสดงจุดพลุยิ่งใหญ่ไปพร้อมกัน ได้ยินมาว่าฝ่ายทำพลุในครั้งนี้เตรียมงานถึงครึ่งค่อนปี ไม่เพียงแต่คนในวังเท่านั้นที่เห็นเพราะราษฎร์เกือบทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนเห็นกันหมดซึ่งถือว่าเป็นการร่วมฉลองกันทั้งแคว้นด้วย
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ขอบพระทัยองค์หญิงที่บอกเพคะ”
“ทูลฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญเป็นหมื่นๆ ปี องค์หญิงหมิงจูแห่งแคว้นเกาจวี้ตั้งใจเตรียมการแสดงมาให้พระองค์โดยเฉพาะเลยพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอย่างเบื่อหน่าย ขุนนางทูตแห่งแคว้นเกาจวี้ก็ลุกขึ้นกราบทูล แคว้นเกาจวี้เป็นเพียงเกาะเล็กๆ ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นหวา บ้านเมืองเล็กประชาชนอ่อนแอ เหล่าประชาราษฎร์ถนัดสิ่งทอจากไข่มุกแต่ไม่เก่งเรื่องวิทยายุทธ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นแคว้นภายใต้การปกครองที่แข็งแกร่งในเขตที่ราบลุ่มมาตลอด บัดนี้ถือว่าเป็นประเทศราชของแคว้นหวา ครั้งนี้พวกเขาพาตัวองค์หญิงองค์หนึ่งมาด้วย เพียงแต่แคว้นเกาจวี้สำคัญเทียบกับแคว้นเป่ยฮั่นและแคว้นเย่ว์ไม่ได้ จึงไม่มีองค์หญิงแคว้นหวาคอยรับรองด้วยตัวเอง แม้แต่ลำดับที่นั่งในงานเลี้ยงก็อยู่ห่างแคว้นเป่ยฮั่นและแคว้นเย่ว์ไกลไม่น้อย
ฮ่องเต้แคว้นหวายกมือขึ้น จากนั้นเสียงดนตรีในพระตำหนักก็หยุดลง เหล่านางรำทยอยออกจากลาน ฮ่องเต้แคว้นหวาเลิกคิ้วสรวล “แต่ไหนแต่ไรมา แคว้นเกาจวี้ก็ชำนาญเรื่องเต้นระบำ เราเองก็อยากเห็นการแสดงขององค์หญิงจากเกาจวี้เช่นกัน” ครั้งนี้ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงมีพระชนมายุห้าสิบชันษา สาเหตุสำคัญที่สุดที่แต่ละแคว้นมาร่วมอวยพรก็เพราะสามแคว้นอย่างแคว้นหวา แคว้นเป่ยฮั่นและแคว้นเย่ว์เพิ่งร่วมลงนามสร้างความสันติไม่นานมานี้ และตอนนี้กำลังถือโอกาสในวันคล้ายวันพระราชสมภพเกี่ยวดองเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับข้อตกลงการลงนามสันติครั้งนี้ ผลคือแถบละแวกอื่นๆ ก็ไม่ยอมแพ้เช่นกันเพราะหากไม่ส่งองค์หญิงมาเพื่อเกี่ยวดองก็ต้องส่งสาวงามของแคว้นตนมาเป็นของขวัญให้พระองค์ แคว้นเกาจวี้กลับส่งองค์หญิงหมิงจูที่โดดเด่นที่สุดในแคว้นมา เพียงแต่สองแคว้นต่างกันเกินไปเลยไม่ถือว่าเป็นการเกี่ยวดองกันอย่างเป็นทางการ หากองค์หญิงไหวหยางหรือหย่งจยาจวิ้นจู่เข้าวังคงได้ขึ้นเป็นตำแหน่งเฟย แต่เกรงว่าหากเป็นองค์หญิงหมิงจูอย่างมากคงเป็นได้แค่ตำแหน่งกุ้ยเหรินเท่านั้น
ในเมื่อเดิมทีเป็นการเกี่ยวดองกัน ฮ่องเต้แคว้นหวาเลยให้คนอื่นดูด้วยอย่างไม่ใส่ใจอะไร อีกทั้งยังทรงเสนอให้เหล่าองค์หญิงจวิ้นจู่คุณหนูทุกคนที่มีฝีมือในการแสดงทำการแสดงให้ไทเฮาดูสักครั้ง ไทเฮาย่อมเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของฮ่องเต้แคว้นหวาอยู่แล้วว่าไม่ได้ทำเพื่อสร้างความสุขให้ตนเท่านั้นแต่คงแฝงเจตนาอื่นๆ ด้วยเลยพยักหน้าโดยไม่คัดค้านอะไร
แน่นอนว่าคนแรกที่ขึ้นแสดงก่อนย่อมเป็นองค์หญิงหมิงจูจากแคว้นเกาจวี้อยู่แล้ว องค์หญิงหมิงจูผู้นี้แต่งเพลงเองย่อมเสียแรงไปไม่น้อย นางเปิดการแสดงด้วยเพลงหย่าเย่ว์[1]โดยนักดนตรีแห่งแคว้นเกาจวี้ จากนั้นองค์หญิงหมิงจูที่อยู่ในชุดสีแดงเข้มก็ค่อยๆ เดินเข้ามาพร้อมเหล่านางในที่กำลังล้อมรอบนางอยู่
ถึงแม้แคว้นเกาจวี้จะเป็นแคว้นเล็กๆ ประชาชนอ่อนแอทว่ากลับเป็นแคว้นที่ชำนาญเรื่องการเต้นระบำดั่งประโยคที่ฮ่องเต้แคว้นหวาว่าไว้จริงๆ ถึงแม้จะเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์แต่กลับมีฝีมือการเต้นรำที่ไม่ธรรมดาเลย นี่อาจเป็นผลลัพธ์ขององค์หญิงหมิงจูที่ตั้งใจฝึกซ้อมเพราะถูกส่งตัวมาแคว้นหวาก็เป็นได้ สำหรับเหล่าหญิงสาวแคว้นหวาแล้วนี่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ เพราะในแคว้นหวาพวกจวนตระกูลสูงศักดิ์ย่อมเล่นฉิน เล่นหมากรุก วาดเขียนได้อยู่แล้วแต่เรื่องเต้นรำพวกนี้กลับทำได้เฉพาะคนเท่านั้น ครั้นเห็นองค์หญิงหมิงจูร่ายรำท่วงท่างดงามอ่อนพริ้วในพระตำหนัก ถึงแม้บนใบหน้าของคนส่วนมากจะฉายแววไม่พอใจ แต่กลับพูดได้ยากว่าแฝงความอิจฉาริษยาไว้ด้วยหรือไม่
——————-
[1]หย่าเย่ว์ เป็นเพลงประจำแคว้นที่ใช้ถวายพระพรกษัตริย์หรือบูชาฟ้าดินเป็นส่วนมาก
ตอนต่อไป