“ตัวกาลกิณีมาแล้ว” หย่งจยาจวิ้นจู่เอ่ยพลางบุ้ยปาก พอมู่ชิงอีหันกลับไปก็เห็นเว่ยอู๋จี้กำลังประคองเชียนหลิงเดินมาทางนี้ อีกอย่างครั้นเห็นแววตาของเชียนหลิงก็รู้เลยว่ากำลังมองมาทางพวกนางอยู่
หย่งจยาจวิ้นจู่ลากตัวมู่ชิงอีเดินเบียดขึ้นไปข้างหน้าพลางหันมาอธิบายว่า “ท่านพี่สิบเอ็ดบอกว่าอยู่ให้ห่างหญิงขี้โรคอ่อนแอนั่นไว้หน่อย หญิงผู้นั้นตัวปัญหาเชียวล่ะ”
“ตัวปัญหา?” มู่ชิงอีเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ นางประหลาดใจกับความคิดที่เกอซูฮั่นมีต่อเชียนหลิงอยู่บ้าง
หย่งจยาจวิ้นจู่ขมวดคิ้วเอ่ย “ขี้โรคขนาดนั้นยังเพ่นพ่านไปทั่วแล้วจะไม่ใช่ตัวปัญหาได้เช่นไร หากคุยกับเจ้าอยู่ดีๆ แล้วกระอักเลือดขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า เว่ยอู๋จี้ต้องโทษว่าเราทำให้นางกระอักเลือดแน่ แล้วถ้าเกิดจู่ๆ นางเกิดเป็นลมขึ้นมาจะทำเช่นไร คนอื่นต้องนึกว่าเรารังแกนางแน่ ไม่สนล่ะ พวกเราหนีกันก่อนเถิด”
มู่ชิงอีพยักหน้าเห็นด้วย “เข้าใจแล้ว”
ถึงแม้ท้องฟ้าจะมืดมิดแต่สองสาวก็จับมือกันเบียดฝ่าฝูงชนที่กำลังอยู่ในงานเลี้ยงออกมาได้อย่างสบายๆ ทว่าเว่ยอู๋จี้ที่ประคองเชียนหลิงร่างกายอ่อนแอขี้โรคกลับไม่ได้สะดวกสบายขนาดนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเว่ยอู๋จี้ไปปรากฏตัวที่ใดก็ต้องตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนเลย ลำพังแค่คนที่เขาประคองอยู่ก็ทำให้เขาไม่กล้าเบียดฝ่าฝูงชนตามใจชอบแล้ว ดังนั้นเพิ่งจะเดินมาทางพวกนางได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นพวกนางทั้งสองจับมือวิ่งจากลานชมการแสดงทางฝั่งนี้ไปอีกฝั่งเต็มสองตา
“เหมือนว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อจะไม่ค่อยชอบข้าเท่าไร” ครั้นเห็นเงาแผ่นหลังของแม่นางทั้งสองเดินไปไกลอย่างเริงร่า เชียนหลิงก็เอ่ยขึ้นอย่างปวดใจ
เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงเรียบว่า “ก็แค่องค์หญิงที่เพิ่งถูกแต่งตั้งเท่านั้น ไม่ต้องไปสนใจนางหรอก” เชียนหลิงหันไปแล้วมองเว่ยอู๋จี้อย่างอ่อนโยนพร้อมเอ่ย “แต่…ข้าชอบนางมากนี่นา องค์หญิงหมิงเจ๋อ…เห็นแล้วยิ่งทำให้อยากรู้จักนาง นางไม่เหมือนหญิงคนอื่นๆ สักนิด”
เว่ยอู๋จี้ถอนหายใจอย่างระอา แล้วเอ่ยอย่างเห็นใจว่า “วันหลังข้าค่อยพาเจ้าไปเยี่ยมนางที่จวนซู่เฉิงโหวดีหรือไม่เล่า”
“แล้ว…องค์หญิงหมิงเจ๋อจะยอมเจอข้าหรือไม่ ข้ารู้สึกว่านางไม่ค่อยชอบข้าเท่าไร”
“ยอมอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลไปหรอก หืม?”
“อืม อู๋จี้ เจ้าดีกับข้าที่สุดแล้ว”
“ถ้าข้าไม่ทำดีกับเจ้า แล้วข้าจะไปทำดีกับใครได้เล่า” เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงอ่อนโยนแล้วรั้งเชียนหลิงเข้ามาในอ้อมอกพร้อมกระชับเสื้อคลุมผ้าเนื้อบางบนเรือนร่างนางอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็แหงนหน้าดูพลุที่เบ่งบานประดับประดาเต็มท้องฟ้า ใบหน้างดงามแฝงไปด้วยรอยยิ้มจางๆ เหม่อมองบนท้องฟ้าแต่รอยยิ้มเจือความอ่อนโยนนั้นปรากฏขึ้นเพียงแวบเดียวเท่านั้น ทว่าชั่ววินาทีนั้นกลับงดงามสะกดใจกลบทุกคนรอบข้างจนมิด
“ไอ๊หยา นี่หย่งจยาจวิ้นจู่มิใช่หรือ พาสาวงามมาด้วยหรือนี่” หย่งจยาจวิ้นจู่ลากตัวมู่ชิงอีพลางมองพลุบนท้องฟ้าด้วยท่าทีใคร่รู้ไปด้วย พลุที่งดงามยิ่งใหญ่เช่นนี้ถึงแม้จะอยู่ที่เป่ยฮั่น กระทั่งในฐานะจวิ้นจู่อย่างนางก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน ขณะที่ชมอย่างมีความสุขด้านหลังก็มีเสียงเหนื่อยหน่ายดังแว่วขึ้นมา
หย่งจยาจวิ้นจู่หมุนตัวไปด้วยสีหน้าบึ้งตึงแล้วถลึงตามองคนด้านหลังแรงๆ ไปที ภายใต้พลุอันงดงามและท่ามกลางฝูงชนพลุกพล่าน ถึงแม้จะเป็นสถานที่เสียงดังวุ่นวายอึกทึกครึกโครม แต่ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดกลับชวนให้รู้สึกสงบและเวิ้งว้างโดยไม่รู้ตัว หรงจิ่นผู้นี้มักทำให้อารมณ์ของหย่งจยาจวิ้นจู่ซับซ้อน แง่หนึ่งนางรู้สึกว่าตนชอบเขา ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าหล่อเหลานั่นก็อดทำให้นางหน้าแดงใจสั่นไม่ได้ แต่อีกแง่หนึ่งแค่หรงจิ่นเปิดปากพูด นางก็อดไม่ได้คิดอยากจะตบหน้าเขาสักฉาด บางครั้งนางยังอดจินตนาการไม่ได้ว่าหากสามารถถอดใบหน้าอันงดงามนั้นกลับเป่ยฮั่นไปด้วยได้จะดีขนาดไหนนะ วันหลังคงไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับชายที่น่ารังเกียจปากไม่ดีคนนี้อีก!
“เกี้ยวสาวงามมาได้อีกคนแล้วหรือ หย่งจยาจวิ้นจู่ สตรีอย่างเจ้าลงมือว่องไวกว่าข้าทุกครั้งเลย เจ้าไม่อายบ้างหรือไร” หรงจิ่นมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
หย่งจยาจวิ้นจู่ยิ้มเย็นชา “องค์ชายอยากได้สาวงาม เหตุใดไม่กลับห้องไปหากระจกมาส่องตัวเองแทนเล่าเพคะ”
หรงจิ่นไม่โกรธสักนิดแต่กลับฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม “เจ้าเองก็ยอมรับว่าหน้าตาดีสู้ข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นยังไม่รีบส่งตัวสาวงามมาให้ข้าอีก อย่าทำให้สาวงามของข้าต้องตกใจ ยัยอัปลักษณ์!”
ใบหน้าเรียวสวยของหย่งจยาจวิ้นจู่บูดบึ้งขึ้นมาชั่วขณะ ไม่ว่ามองจากความงามจากมุมไหน หย่งจยาจวิ้นจู่ก็ถือว่าเป็นสาวงามลำดับต้นๆ ถึงแม้เทียบกับสาวงามล่มเมืองเหล่านั้นอาจจะห่างชั้นอยู่สักหน่อย แต่หย่งจยาจวิ้นจู่คิดว่าตนก็ยังอยู่ในระดับปกติและไม่ได้ห่างชั้นมากขนาดนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าตั้งข้อกังขากับรูปโฉมของนาง เวลานี้ต่อให้เขาจะเป็นหนุ่มรูปงามจนทำให้นางหวั่นไหวหรือองค์ชายผู้สูงศักดิ์มีบุคลิกเฉพาะตัวอะไรเหล่านั้นมันก็ได้มลายหายสิ้นไปหมดแล้ว เวลานี้หย่งจยาจวิ้นจู่เห็นเขาเป็นเพียงศัตรูบนโลกนี้และเป็นคู่แค้นคู่อาฆาตที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้!
“องค์ชายเก้า! หม่อมฉันอยากดวลกับท่าน!” โชคดีที่ไม่มีดาบในมือ หากเมื่อครู่หรงจิ่นบังอาจทำตัวสามหาวกับนางในพระตำหนัก นางก็กล้าใช้ดาบแทงเขาไปสักทีเช่นกัน
องค์ชายเก้าเอ่ยเสียงเนิบนาบว่า “ตามใจเถิด ปล่อยตัวสาวงามไปก่อน ขาแขนกำยำของยัยอัปลักษณ์อย่างเจ้าอย่าได้ใช้ทำร้ายนางเป็นอันขาด ข้าคงปวดใจน่าดู”
“หรงจิ่น!” หย่งจยาจวิ้นจู่โกรธจนเจ็บไปทั้งหัวใจหมดแล้ว ครั้นเห็นว่าหย่งจยาจวิ้นจู่ใกล้ระเบิดอารมณ์ออกมาเต็มที มู่ชิงอีเลยตวัดสายตาตักเตือนไปแล้วดึงหย่งจยาจวิ้นจู่มาพร้อมอมยิ้มกล่าว “อย่าโกรธไปเลย หากเทียบกับองค์ชายเก้าแล้วพวกเราก็เป็นสาวอัปลักษณ์หมดแหละ”
หากเปรียบกับใบหน้าของหรงจิ่นแล้วสาวทั่วทั้งใต้หล้าคงมีไม่กี่คนที่จะกล้าพูดว่าตนเป็นสาวงาม ไม่ใช่ว่าหรงจิ่นหน้าตาเหมือนสตรีหรือเขาไม่ได้หน้าตาหล่อเหลาวิเศษอะไรขนาดนั้น มู่ชิงอีเคยเห็นตอนเขาทำหน้าถมึงทึงซึ่งขับให้เขาเหมือนปลายมีดอันแหลมคมก็ไม่ปาน แต่ไม่ว่าจะมองเช่นใดหรงจิ่นก็ชวนให้รู้สึกว่าเขาสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แน่นอนว่าเบื้องบนย่อมไม่มีทางให้คนๆ หนึ่งเกิดมาสมบูรณ์แบบจนไร้ที่ติขนาดนี้หรอก นี่จึงเป็นผลให้นิสัยของเขาแย่ไปถึงไหนไม่รู้แล้ว
หย่งจยาจวิ้นจู่ชะงักไปแล้วกวาดตามองหรงจิ่นที่ไม่มีทีท่าจะแสดงอารมณ์เดือดดาลสักทีเลยพยักหน้ายิ้มตาหยีกล่าว “นั่นสิ ชิงอีพูดถูก แพ้ให้…องค์ชายเก้าก็ไม่ได้น่าอายอะไร ต่อให้องค์ชายเก้าจะว่าข้าอัปลักษณ์ ไม่แน่ข้าอาจจะสวยเป็นอันสองหรืออันดับสามในใต้หล้าก็ได้ ใช่หรือไม่ชิงอี”
เพื่อเอาใจหย่งจยาจวิ้นจู่นางก็ต้องตอบว่า “ใช่แล้ว” อีกอย่างมู่ชิงอีเองก็ไม่อยากเห็นสาวน้อยดีๆ คนหนึ่งต้องถูกคนเลวๆ ปากพล่อยอย่างหรงจิ่นยั่วโมโหจนร้องไห้ในงานเลี้ยงเช่นนี้เลยจริงๆ
“น้องเก้า”
“พี่เก้า”
ภายใต้แสงไฟสว่างวูบวาบเป็นพักๆ กลับปรากฏสีหน้าลังเลชั่งใจขององค์ชายเก้า เพราะเขากำลังไตร่ตรองว่าจะโกรธดีหรือไม่ทว่ากลับถูกสองเสียงที่กำลังเรียกเขาจากด้านหลังแทรกมาขัดจังหวะเสียก่อน หรงเหยี่ยนพาองค์หญิงไหวหยางที่ตาแดงเล็กน้อยมาด้วย นัยน์ตาของหรงจิ่นฉายแววรำคาญใจพาดผ่านแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าไปมองพวกเขาสองคนแล้วกล่าว “มีอันใดหรือ” หรงเหยี่ยนเหลือบไปเห็นหย่งจยาจวิ้นจู่และมู่ชิงอีจับมือกันแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “เปล่าหรอก ไม่เจอน้องเก้าเลยมาตามหา น้องเก้าสุขภาพไม่ดีต้องระวังหน่อย”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาแล้วพูดจาคลุมเครือว่า “คงลำบากแย่ที่ต้องเป็นห่วง หากพี่สี่ว่างนักเป็นห่วงน้องหกไปดีกว่า อับอายขายหน้าจริงๆ ข้าไม่กล้าออกไปเจอใครแล้ว โชคดีที่ที่นี่ไม่ใช่แคว้นเย่ว์ของเรา ถึงอย่างไรเสียอีกไม่กี่วันข้าก็ต้องกลับแล้ว หากอยู่ที่แคว้นเย่ว์ล่ะก็ ข้าคงไม่ต้องออกตำหนักไปเจอหน้าใครแล้ว”
ตอนต่อไป