กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้ว ถึงแม้เขาจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกแต่สีหน้ากลับแสดงให้เห็นว่าเขาไม่แปลกใจกับท่าทีทุกข์ทรมานใจของจูหมิงเยียนเลย ผ่านไปนานในที่สุดจูหมิงเยียนก็สงบสติลงได้จับจ้องกู้ซิ่วถิงแล้วกล่าว “เจ้าอยากได้ความลับของมู่หรงอวี้อย่างนั้นหรือ คิดจะแก้แค้นแทนตระกูลกู้หรือ แล้วเหตุใดข้าต้องบอกเจ้าด้วย”
กู้ซิ่วถิงขมวดคิ้วพลางขบคิดแล้วเอ่ย “บางทีข้าอาจ…ช่วยฆ่ามู่หรงอวี้หรือหลี่จืออี๋แทนท่านได้?”
บนใบหน้าของจูหมิงเยียนผุดความว่างเปล่าขึ้นมาชั่วขณะ ฆ่ามู่หรงอวี้หรือฆ่าหลี่จืออี๋อย่างนั้นหรือ นางย่อมอยากฆ่าหลี่จืออี๋ให้ตายโดยไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว ทว่า…วินาทีที่อยากเปิดปากพูดออกไปนางเกิดลังเลขึ้นมา ฆ่าหลี่จืออี๋แล้วมีประโยชน์อะไร เฉกเช่นที่หลี่จืออี๋เคยกล่าวกับตนว่าต่อให้ฆ่าหลี่จืออี๋ตายแต่สุดท้ายก็คงมีจางจืออี๋จ้าวจืออี๋โผล่มาอยู่ดี
ผ่านไปนานในที่สุดจูหมิงเยียนก็ส่ายศีรษะกล่าว “ไม่ล่ะ…ข้าไม่อยากฆ่าพวกเขา ขอแค่เจ้าปล่อยจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องไป ข้าก็จะบอกความลับอย่างหนึ่งของมู่หรงอวี้กับเจ้า เรื่องของมู่หรงอวี้…ข้ารู้ไม่มากนัก แต่เรื่องนี้…เจ้าต้องอยากรู้มากแน่” ครั้นพูดถึงตรงนี้นางก็ยิ่งรู้สึกแย่จับใจ นางอภิเษกอยู่กินกับมู่หรงอวี้มาสามปีกว่า ร่วมมือช่วยเขาทำร้ายมหาเสนาบดีในราชสำนักและทำร้ายองค์รัชทายาทคนหนึ่ง แต่เวลานี้นางเพิ่งค้นพบว่านางแทบไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับตัวสามีของนางเลย ถึงแม้อยากจะขายความลับของมู่หรงอวี้แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเริ่มจากตรงไหน
กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วแต่กลับไม่เอ่ยอะไร จูหมิงเยียนมองพวกเขาสามคนตรงหน้าพลางรู้แก่ใจดีว่ากู้ซิ่วถิงกล้าปรากฏตัวต่อหน้านางก็แสดงว่าเขาไม่เกรงกลัวจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องเลยสักนิด ตอนนี้จะพูดหรือไม่เกรงว่าคงเอาตามใจตนว่าไม่ได้ ผ่านไปสักพักจูหมิงเยียนถึงกัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “ฮองเฮา…อดีตฮองเฮาถูกจูอวิ๋นเฟยฆ่าตาย” จูหมิงเยียนรู้เรื่องของมู่หรงอวี้ไม่มากนัก แต่เรื่องนี้นางเผลอไปได้ยินบทสนทนาของมู่หรงอวี้และอวิ๋นผินเข้าถึงได้รู้
ครั้นกู้ซิ่วถิงเห็นหญิงสาวในคุกมีสีหน้าหดหู่ใจ ก็เผยสีหน้าเย็นชาดั่งน้ำ จากนั้นเขาก็หมุนตัวแล้วเดินออกไปอย่างช้าๆ เมื่อเห็นเขาขยับฝีเท้าเดินก้าวออกไป ฉับพลันจูหมิงเยียนก็รู้สึกแปลกๆ พิกลเลยกรีดร้องอย่างหวาดกลัวว่า “เจ้าอย่าเพิ่งไป! สิ่งที่ข้ารู้ก็พูดออกไปหมดแล้ว ขอร้องเจ้าปล่อยข้าไปเถิด”
กู้ซิ่วถิงหันกลับมาแล้วมองนางพลางยิ้มบางกล่าว “ท่านเป็นสตรีที่โง่เง่าเสียจริง ท่านคิดว่าข้ามาถามหาหลักฐานที่มู่หรงอวี้ทำร้ายตระกูลกู้จริงๆ หรือ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว รื้อคดีขึ้นมาแล้วมีความหมายอะไร ในเมื่อตระกูลกู้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว” จูหมิงเยียนมองเขาอย่างตื่นตระหนก “เช่นนั้นเจ้า…” เช่นนั้นเจ้ามาทำอะไร
กู้ซิ่วถิงยิ้มแล้วเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองอีก
มีคนรออยู่นอกคุกอยู่แล้ว ครั้นเห็นกู้ซิ่วถิงออกมาก็รีบปรี่ตัวเดินเข้าไปหาอย่างนอบน้อม “คุณชายใหญ่” กู้ซิ่วถิงพยักหน้าเล็กน้อยเอ่ยขึ้นว่า “งานเลี้ยงในวังใกล้เสร็จสิ้นแล้วหรือ”
ผู้มาเยือนเอ่ยพลางพยักหน้าว่า “ใกล้แล้วขอรับ คุณชายใหญ่ เมื่อครู่มีข่าวลือมาจากในวังว่าคนๆ นั้น…แต่งตั้งคุณหนูเป็นองค์หญิงหมิงเจ๋อแล้วขอรับ”
กู้ซิ่วถิงเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ชิงอีรู้อยู่แก่ใจดี ไม่ต้องเป็นห่วงไป”
“ขอรับ”
เขาไม่ลืมหันกลับไปมองวังหลวงแวบหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แสงจันทร์ของคุณชายซิ่วถิงดูเย็นชาทว่ากลับเจือความอ่อนโยนออกมาจางๆ
เกอเอ๋อร์ เจ้ายังฉลาดเหมือนเคย ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับจูหมิงเยียนเช่นใด เช่นนั้นก็ให้พี่ใหญ่เป็นคนช่วยเจ้าจัดการเองเถิด
บนถนนอีกสายในเมืองหลวง รถม้าของขุนนางทูตเป่ยฮั่นกำลังมุ่งหน้าไปทางสถานทูตแห่งเป่ยฮั่นอย่างช้าๆ หย่งจยาจวิ้นจู่พิงอยู่ข้างกายของเกอซูฮั่นด้วยท่าทีสะลึมสะลืออยากหลับเต็มทีอย่างเหนื่อยหน่าย ครั้นนึกบางอย่างขึ้นได้นางก็รีบหยัดกายขึ้นนั่งตรงเอ่ยเตือนว่า “พี่สิบเอ็ด ต่อให้ชิงอีจะไม่ชอบท่าน ท่านก็ห้ามไปอภิเษกกับผู้หญิงอย่างองค์หญิงไหวหยางเด็ดขาด! ความจริงองค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าก็ไม่เลวเหมือนกันนะเพคะ”
เกอซูฮั่นที่กำลังงุดหน้าขบคิดเหตุการณ์ที่จู่ๆ เกิดขึ้นในช่วงตอนท้ายของงานเลี้ยงถูกน้องสาวเอ่ยเตือนขึ้นมาฉับพลันเช่นนั้นก็นิ่งชะงักไป จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าที่ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใดกัน องค์หญิงไหวหยางต้องอภิเษกเกี่ยวดองกับแคว้นหวาต่างหาก” ถึงแม้ตอนนี้ทั้งสามแคว้นจะไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่ความแค้นระหว่างแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่นร้ายแรงกว่าแคว้นหวานัก พวกเขาต่างรู้อยู่แก่ใจดีว่ามิอาจไกล่เกลี่ยความบาดหมางนี้ได้ ดังนั้นเรื่องเกี่ยวดองย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเหตุนี้ก่อนหน้านี้เกอซูฮั่นเห็นน้องสาวตนมีความรู้สึกดีๆ ให้องค์ชายเก้าของแคว้นเย่ว์จึงไม่เห็นด้วยเลยสักนิด โชคดีที่เกอซูปิงปล่อยวางได้และไม่ไปคิดถึงเรื่องนี้อีก
หย่งจยาจวิ้นจู่กลอกตาใส่เอ่ย “ท่านคิดว่าเหตุใดคืนนี้องค์หญิงไหวหยางถึงหาเรื่ององค์หญิงหมิงเจ๋อเล่า” ต่อให้องค์หญิงไหวหยางจะสมองมีปัญหาแต่ก็คงไม่ถึงขั้นเห็นหน้าก็เข้าไปกัดเช่นนั้นหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สิบเอ็ดของตนให้ความสำคัญกับองค์หญิงหมิงเจ๋อขนาดนั้นล่ะก็นะ
ครั้นเอ่ยถึงมู่ชิงอี เกอซูฮั่นก็เลี่ยงอดใจลอยไม่ได้ ยัยเด็กคนนั้น…แตกต่างจากครั้งวัยเยาว์อย่างสิ้นเชิง ใครจะไปคิดว่ายัยเด็กขี้อายในวัยเยาว์คนหนึ่งจะกล้าแต่งกลอนเหน็บแนมเช่นนั้นต่อหน้าคนทั้งพระตำหนักมากมายขนาดนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาหรือความกล้าต่างก็น่าทึ่งทั้งนั้น หากกล่าวว่ามู่ชิงอีที่เคยเห็นในจวนซู่เฉิงโหวเหมือนดั่งหยกเม็ดงามที่อ่อนโยนสง่างามชิ้นหนึ่ง ทว่ามู่ชิงอีในตอนนี้ก็เหมือนดั่งไข่มุกสุกสกาวที่เปล่าแสงเจิดจรัสหนึ่งเช่นกัน
ครั้นเห็นพี่สิบเอ็ดจิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หย่งจยาจวิ้นจู่ก็อดปิดปากแอบขบขันไม่ได้ ขยิบตาเอ่ยถามว่า “พี่สิบเอ็ด หรือว่าท่านจะชอบ…”
พลั่ก! เกอซูฮั่นดวงตาวาววับผลักตัวหย่งจยาจวิ้นจู่ออก ได้ยินเพียงเสียงลมแผ่วเบาพัดผ่านไหล่ของหย่งจยาจวิ้นจู่ไปแล้วทะลุผ่านเกี้ยวรถม้าด้านหลัง หย่งจยาจวิ้นจู่ตกใจจนหน้าซีด
หากพี่สิบเอ็ดไม่ผลักนางหลบล่ะก็ ไม่แน่นางไม่เพียงแต่ถูกแทงทะลุ แม้แต่พี่สิบเอ็ดที่นางกำลังนั่งพิงอยู่ก็คงพลอยบาดเจ็บไปด้วย เมืองหลวงแคว้นหวา…มียอดฝีมือเช่นนี้ด้วยหรือ!
“อยู่ในนี้ไม่ต้องออกมา!” เกอซูฮั่นเอ่ยเสียงขรึมแล้วลุกขึ้นปัดม่านเดินออกจากรถม้าไป เพราะการจู่โจมกะทันหันเมื่อครู่รถม้าเลยจอดสนิท ถนนว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตามีบุรุษชุดดำยืนอยู่คนหนึ่ง ภายใต้แสงจันทร์บนเสื้อผ้าสีดำปักด้วยลวดลายริ้วเมฆสีทองอ่อนรางๆ แต่กลับบ่งบอกตัวตนของผู้มาเยือน
เกอซูฮั่นมองผู้มาเยือนเบื้องหน้า ใบหน้าถูกปิดด้วยเส้นผมครึ่งหน้าพร้อมทั้งใส่หน้ากากลายริ้วเมฆสีทองพื้นสีดำแบบเดียวกัน เขาเพียงผุดยกยิ้มบางๆ ที่มุมปากเล็กน้อย “คุณชายอวิ๋นอิ่น เป็นเกียรตินัก”
หากกล่าวว่าท่าทีลึกลับของเว่ยอู๋จี้อยู่ที่เรื่องปิดบังตบตาเก่งแล้วล่ะก็ เช่นนั้นคุณชายอวิ๋นอิ่นก็คงได้รับสมญานามว่าผีไร้เงาแล้ว บนโลกนี้มีคนรู้จักเว่ยอู๋จี้มากมายแต่คนที่รู้ว่าเขามีวิทยายุทธนั้นน้อยนัก ทว่าในทางกลับกันหากขอแค่คนบนโลกนี้ได้ยินชื่อของคุณชายอวิ๋นอิ่นผู้นี้ พวกเขาต่างก็รู้กันถ้วนหน้าว่าฝีมือวิทยายุทธของเขาสุดยอดไร้ใครเทียมแต่กลับไม่มีใครเคยได้ยินภูมิหลังของเขาอย่างชัดเจนนัก กระทั่งชื่อของเขา ชื่อของเขาย่อมไม่ใช่อวิ๋นอิ่นอยู่แล้ว เพียงแต่ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวมักจะสวมหน้ากากลวดลายริ้วเมฆสีทองเช่นนี้เพื่อปกปิดใบหน้าของตน ดังนั้นจึงถูกคนอื่นๆ ตั้งฉายาให้ว่าอวิ๋นอิ่นนั่นเอง
เกอซูฮั่นเองก็ไม่เคยเจอคุณชายอวิ๋นอิ่นมาก่อนเช่นกัน กระทั่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะปรากฏตัวในเมืองหลวงของแคว้นหวาเช่นนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าทันทีที่ลงมือก็จะปล่อยกระบวนท่าสังหารอย่างไร้ความปรานีเช่นนี้แล้ว “ข้าจำได้ว่า หาได้มีความแค้นใดกับคุณชายมาก่อนไม่ เหตุใดคุณชายถึงต้องทำร้ายข้าเช่นนี้เล่า”
อวิ๋นอิ่นจับจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา แววตาทั้งสองข้างภายใต้หน้ากากปล่อยไอสังหารและความเหี้ยมโหดออกมา “เปล่าหรอก ข้าเพียงเห็นเจ้าแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาก็เท่านั้น”
ตอนต่อไป