“เอาล่ะ พวกท่านบอกมาตรงๆ เถิด…ว่าต้องการสิ่งใดก็พอแล้ว” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างหมดความอดทน หรงจิ่นยังนอนอยู่ในห้องของนาง นางไม่อยากให้เจ้าบ้านั่นตื่นมาแล้วหาเรื่องเดือดร้อนให้นางอีก
ภายในห้องโถงเงียบขึ้นมาชั่วขณะมู่ฉังหมิงถึงเอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “พี่รองของเจ้าตายแล้ว ข้าคิดว่าจะรับน้องสามของเจ้ามาอุปถัมภ์ภายใต้อาณัติของฮูหยินเจ้าคิดเห็นเช่นใด”
“ท่านแม่ของข้าไม่ต้องการทายาท” มู่ชิงอีกล่าวปฏิเสธโดยไม่คิดลังเลสักนิด
มู่ฉังหมิงสีหน้าย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมกัดฟันเอ่ย “ข้าหมายถึงสะใภ้ซุน!” มู่ชิงอีมองสีหน้าทุกคนด้วยท่าทีเคร่งขรึม ฉับพลันก็เปล่งเสียงหัวเราะร่าออกมาแล้วเอ่ยอย่างขบขันว่า “เอาบุตรของอนุภรรยามาเป็นทายาทให้อนุภรรยาอย่างนั้นหรือ ท่านพ่อคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ หากมารดาแท้ๆ ของน้องสามมีบุตรหลายคนยังว่าไปอย่าง แต่นางมีน้องสามเป็นบุตรเพียงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้อนุเฉินก็เป็นอนุภรรยาเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นนางก็เป็นอนุภรรยาที่มาจากตระกูลผู้ดี ท่านพ่อเอาบุตรชายของเขามาเป็นทายาทให้หญิงที่ไต่เต้ามาจากบ่าวรับใช้คนหนึ่งเช่นนี้คิดจะทำสิ่งใดกันแน่เจ้าคะ อีกอย่างกระดูกของพี่รองยังไม่ทันเย็นเลย…ท่านพ่อก็มาจัดการเรื่องนี้ตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว พวกท่านไม่กลัวพี่รองตายตาไม่หลับแล้วมาตามหลอกหลอนกันบ้างหรือ”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น สะใภ้ซุนก็อดสะท้านเฮือกไม่ได้ ความจริงครั้งนี้นางไม่ได้รีบร้อนอยากรับบุตรสักคนมาอุปถัมภ์เลยสักนิดในเมื่อนางเองก็รักบุตรชายของตนมากจริงๆ อีกอย่างถึงคุณชายสามมู่เคอจะอายุเพียงสิบขวบแต่ก็เป็นช่วงอายุที่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว ถึงจะรับมาอุปถัมภ์ก็ใช่ว่าจะเลี้ยงดูได้แน่นอน เพียงแต่มู่ฮูหยินผู้เฒ่าและมู่ฉังหมิงร้อนใจอย่างมาก
มู่ฉังหมิงเอ่ยอย่างเกรี้ยวโกรธว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมายุ่ง!”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดท่านพ่อถึงวิ่งแจ้นมาหาข้าตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้เล่า” ในเมื่อไม่ได้คิดจะมาฟังความเห็นของนาง มู่ชิงอีก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนพวกนี้มาหานางทำไมกัน มู่ฉังหมิงกัดฟันเอ่ย “ข้าจะให้สะใภ้ซุนขึ้นเป็นภรรยาเอกแล้วจัดการเรื่องเคอเอ๋อร์ไปพร้อมกันด้วยเลย!”
เวลานี้มู่ชิงอีถึงเข้าใจขึ้นมาในทันที เพราะการจากไปอย่างกะทันหันของมู่หลิงจะส่งผลต่อโหรวเฟยที่อยู่ในวังไปด้วย การดึงสะใภ้ซุนขึ้นมาเป็นภรรยาเอกก็เพื่อให้โหรวเฟยวางใจ แต่ด้วยอายุของสะใภ้ซุนในตอนนี้ยากจะตั้งครรภ์ได้อีก ดังนั้นหากรับมู่เคอมาเลี้ยงในฐานะบุตรภรรยาเอกก็จะช่วยชดเชยเรื่องการตายของมู่หลิงได้ เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างนี้ไม่ได้ทำเพื่อสะใภ้ซุนแต่ทำเพื่อมู่เฟยหลวนที่ใกล้จะได้ขึ้นเป็นกุ้ยเฟยแล้วต่างหาก เพียงแต่เรื่องที่จะให้มู่เคอมาเป็นบุตรในอุปถัมภ์ของสะใภ้ซุนนั้นง่ายดายนัก แต่คิดจะแต่งตั้งให้สะใภ้ซุนเป็นภรรยาเอกนั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่าย หากบุตรภรรยาเอกอย่างมู่ชิงอีผู้นี้คัดค้านก็ยิ่งยาก นอกเสียจากฝ่าบาทจะทรงมีพระราชโองการบังคับลงมา มิเช่นนั้นต่อให้ภพหน้าสะใภ้ซุนก็อย่าหวังจะได้ขึ้นเป็นภรรยาเอกแห่งจวนซู่เฉิงโหวได้เลย
“ไล่พวกนางออกไปให้หมด!” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบนิ่งด้วยสีหน้าขึงขัง
ทุกคนในห้องโถงต่างนิ่งชะงักไป มู่ฉังหมิงตวาดใส่นาง “เจ้าพูดอะไรกัน!”
มู่ชิงอีเองก็ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ใส่เขาเช่นกันแล้วแค่นเสียงเย็นชาเอ่ยว่า “ข้าเคยพูดนานแล้วว่าหากซู่เฉิงโหวแต่งฮูหยินคนอื่นเข้ามาข้าไม่ขัดขวางอยู่แล้ว แต่หากคิดจะยกบ่าวรับใช้ต่ำต้อยคนหนึ่งมาทัดเทียมสถานะกับท่านแม่ของข้า เลิกคิดไปได้เลย! ท่านพ่อ…ท่านพ่ออยากสร้างความอัปยศให้ท่านแม่ของข้า หรือว่า…อยากสร้างความอับอายให้ตัวท่านพ่อเองกันแน่” ครั้นเห็นสายตาแดกดันของมู่ชิงอี มู่ฉังหมิงก็ไฟโทสะปะทุขึ้นมาจนหน้าเขียวแต่ก็พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
“เจ้า…ลูกทรพี! ข้าไม่มีบุตรสาวอย่างเจ้า!” ผ่านไปเนิ่นนาน มู่ฉังหมิงถึงเอ่ยคำรามด้วยความโมโห มู่ชิงอีแสยะยิ้มเอ่ย “พอดีเลยเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่มีท่านพ่อเช่นนี้เหมือนกัน เหตุใดท่านพ่อถึงไม่ประกาศให้คนอื่นรู้แล้วขับไล่ลูกทรพีอย่างข้าออกจวนไปเลยเล่า ข้ารออยู่”
ไล่ออกจากจวน? มู่ฉังหมิงอยากทำเช่นนั้นใจจะขาด แต่…เขาไม่กล้า!
เมื่อไล่พวกที่มาก่อกวนวุ่นวายถึงเรือนตั้งแต่เช้าตรู่กลับไปหมดแล้ว มู่ชิงอีก็มองมู่เชินที่สุดท้ายก็ไม่ได้ตามพวกเขาออกไปแล้วเลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดพี่ใหญ่ถึงยังไม่กลับไปด้วยเล่า” มู่เชินส่ายศีรษะอย่างจนใจแล้วถอนหายใจเอ่ย “ตลอดชีวิตนี้ท่านพ่อจะมองเห็นแค่พวกแม่ลูกสะใภ้ซุนอยู่ในสายตาเท่านั้นหรือ” มู่เชินผิดหวังในตัวบิดาอย่างมู่ฉังหมิงอีกครั้ง
มู่หลิงตายไปแล้ว มู่ฉังหมิงยังคิดจะให้มู่เคอมาเป็นทายาทของสะใภ้ซุนแต่กลับไม่เคยเหลียวแลบุตรชายคนโตอย่างเขาเลย
มู่ชิงอีส่ายศีรษะยิ้มกล่าว “ไม่หรอก เขาไม่ได้คิดถึงพวกแม่ลูกสะใภ้ซุนแต่…เป็นเรื่องผลประโยชน์ต่างหาก เพื่อโหรวเฟยที่อยู่ในวัง หรือจะพูดได้ว่า…เพื่อองค์ชายน้อยในท้องของโหรวเฟย หากพี่ใหญ่ยังจำคำพูดของข้าได้ก็รีบวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ เถิด” มู่เชินพยักหน้าเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้…ข้าคงไม่มีหวังอะไรแล้ว เมื่อก่อนข้ามองเพียงว่ามู่หลิงเป็นศัตรูของข้า ขนาดตอนนี้มู่หลิงตายไปแล้วเขายังไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลย ข้ายังมีอะไรให้ต้องพูดอีกเล่า”
มู่ชิงอียิ้มอย่างไม่ใส่ใจและเมินเฉยต่อท่าทีปวดใจและผิดหวังของเขา มู่เชินถอนหายใจเอ่ย “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ามู่หลิงจะ…ตายง่ายๆ เช่นนี้”
มู่เชินเคยจินตนาการจุดจบของมู่หลิงมานับครั้งไม่ถ้วน อย่างเช่นเขาล่วงเกินมู่ชิงอีจนถูกทรมานตาย งานในราชสำนักไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาหวังจนตรอมใจตาย หรือกระทั่งหลังจากตนช่วงชิงตำแหน่งจากจวนซู่เฉิงโหวมาได้เขาก็ตกใจจนตาย ทว่ากลับไม่เคยคิดเลยว่ามู่หลิงจะตายเพราะดื่มหนักเกินไปจนจมน้ำตายอย่างน่าประหลาดเช่นนี้
ใช่แล้ว ผลการตรวจของหมอหลวงในวังบอกว่าเขาดื่มหนักจนจมน้ำตาย ตามร่างกายของมู่หลิงก็ไม่มีร่องรอยบาดแผลหรือร่องรอยดิ้นรนเอาตัวรอดแต่อย่างใด อีกอย่างมีคนมากมายเป็นพยานว่าเขาดื่มหนักแล้วเดินออกจากงานไปเพียงลำพัง อีกทั้งในหมู่เขาปลอมริมทะเลสาบก็เจอขวดเหล้าที่ดื่มหมดแล้วกองเต็มไปหมด หลักฐานเหล่านี้ย่อมเป็นตัวยืนยันว่ามู่หลิงอารมณ์ไม่ดีจนดื่มหนักแล้วก้าวพลาดตกน้ำไป เพียงแต่จุดที่เขาตกน้ำมีคนสัญจรไปมาน้อยมากเลยไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเขาตกน้ำและไม่มีใครช่วยเขาไว้ได้ จากนั้นศพก็ลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำในวันที่สองถึงมีคนเห็นเข้า
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านขันทีผู้ถ่ายทอดพระราชโองการจากในวังมาเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลเรือนด้านนอกประตูรีบเข้ามารายงาน มู่ชิงอีเลิกคิ้วแล้วลุกขึ้น “ไปดูกันเถิด”
ในโถงกลางของจวนซู่เฉิงโหวทุกคนต่างอยู่กันพร้อมหน้า คนที่สวมเครื่องแบบขันทีกำลังนั่งดื่มชาอยู่ ครั้นเห็นมู่ชิงอีก้าวเข้ามาเขาก็รีบลุกขึ้น จากนั้นก็เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยอย่างเอาใจว่า “ถวายบังคมองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ชิงอีโบกมือแล้วกล่าว “ท่านขันทีไม่ต้องพิธีรีตองนักหรอก ท่านขันทีมาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ”
ขันทีข้าหลวงในวังเอ่ยพลางอมยิ้มว่า “เมื่อคืนกะทันหันนัก ฝ่าบาททรงตรัสว่ากลัวองค์หญิงน้อยพระทัยเลยทรงรับสั่งให้กระหม่อมมาถ่ายทอดพระราชโองการ พระองค์มีบางอย่างพระราชทานแก่องค์หญิง” ครั้นพูดจบท่านขันทีก็ล้วงหยิบราชสาส์นสีเหลืองออกมาคลี่ออกแล้วกล่าวเสียงสูงว่า “องค์หญิงหมิงเจ๋อน้อมรับพระราชโองการ”
ทุกคนในจวนซู่เฉิงโหวแม้แต่มู่ชิงอีต่างก็คุกเข่ารอรับพระราชโองการ
“ฉังหนิงจวิ้นจู่มู่ชิงอี สุขุมเยือกเย็น ผ่านการบ่มเพาะสั่งสอนเรื่องมารยาทเป็นอย่างดี ฉลาดหลักแหลมมากความสามารถจึงได้ถูกเลื่อนขั้นให้เป็นองค์หญิงโดยพระราชทานนามให้ว่าหมิงเจ๋อ อีกทั้งยังทรงพระราชทานเรือนข้างแม่น้ำหยางหลิวให้หนึ่งหลัง ไร่นาอีกสามพันหมู่[1] เงินตำลึงอีกห้าหมื่นชั่ง ร้านค้าอีกสิบสองร้าน เรือนหลังงามสามหลัง…” อีกทั้งยังมีอัญมณีเงินทองและของล้ำค่าโบราณอีกนับไม่ถ้วน พวกเขาได้ยินเพียงเสียงของท่านขันทีอ่านรายการสิ่งของอยู่นานพอสมควร ทุกคนไม่เพียงแต่อิจฉาในความมั่งคั่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังตกใจกับความโปรดปรานที่ฮ่องเต้แคว้นหวามีต่อองค์หญิงคนใหม่ด้วย มิน่าแม้แต่ท่านขันทีที่ติดตามพระองค์ยังให้ความเคารพยำเกรงต่อมู่ชิงอี สิ่งที่พระองค์พระราชทานให้ถึงแม้ว่าจะเป็นองค์หญิงที่ได้รับพระราชทานนามแล้วก็ถือว่าได้ไปไม่น้อยเลย ตอนที่องค์หญิงหมิงเวยอภิเษกนอกจากสินเดิมแล้ว ฮ่องเต้แคว้นหวากลับแค่พระราชทานไร่นาให้พันหมู่ ร้านค้าสิบสองร้าน เรือนหลังงามสามหลังเท่านั้น แต่นี่กลับเป็นของพระราชทานหลังจากการแต่งตั้งเท่านั้น หากฮ่องเต้แคว้นหวาทรงโปรดนางต่อไปเช่นนี้ วันหน้าหากมู่ชิงอีอภิเษกคงมีสินเดิมให้นางอีก เกรงว่ารวมๆ กันแล้วจะมากกว่าองค์หญิงหมิงเวยด้วยซ้ำ
————————–
[1]หมู่ เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีน โดย 1 หมู่จะมีขนาดประมาณ 666.67 ตารางเมตร
ตอนต่อไป