ครั้นได้ยินเช่นนั้นจูเปี้ยนก็ชะงักไป เขานึกไม่ถึงความเป็นไปได้ที่ว่าจะมีคนคิดอยากสังหารบุตรสาวของตนเลย
เซ่าจิ่นพยักหน้าแล้วก้มหน้าอ่านเอกสารในมือพลางเอ่ยขึ้นว่า “ถึงแม้ดูจากรูปการณ์แล้วจูหมิงเยียนจะใช้เชือกรัดคอฆ่าตัวตายแต่เชือกที่ใช้รัดคอไม่ใช่เชือกที่มีในคุก เห็นได้ชัดว่ามีคนนอกเอาเข้ามา อีกอย่างแม้ว่านางจะถูกเชือกเส้นนั้นรัดคอจริงๆ แต่นางกลับดิ้นทุรนทุรายมากเกินไปไม่เหมือนคนที่คิดอยากตายเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือด้วยความสามารถของจูหมิงเยียนแล้วไม่มีทางเอาเชือกเส้นนั้นโยนขึ้นพาดบนคานนั้นได้” ดังนั้นหากคิดจะฆ่าตัวตายคงไม่ใช่เรื่องง่าย
“โดนคนสังหารหรือ…ใคร…ใครสังหารบุตรสาวข้ากัน” พระชายาผิงหนานเอ่ยงึมงำเสียงเบา
ถึงแม้การแดกดันเยาะเย้ยคนที่ถูกฆ่าตายคนหนึ่งจะดูไร้คุณธรรมไปบ้างแต่เซ่าจิ่นกลับเค้นความสงสารมาใช้เห็นอกเห็นใจจูหมิงเยียนและจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องไม่ได้จริงๆ ตำแหน่งขุนนางของเขามีความพิเศษและถูกลิขิตมาแล้วว่าต้องรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ เขาเลยยิ่งไม่คิดสงสารสามคนในตระกูลจูพวกนี้สักนิด เอ่ยเสียงเรียบว่า “ส่วนใหญ่เหตุผลในการฆาตกรรมก็เพื่อเงินทอง เพื่อผลประโยชน์ เพื่อการแก้แค้น และเพราะความรัก ไม่เช่นนั้นท่านทั้งสองลองนึกไตร่ตรองดูว่าใครมีความเป็นไปได้ที่จะฆ่าจูหมิงเยียนและยังมีความสามารถฆ่านางได้บ้าง”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เซ่าจิ่นก็พลันกลัดกลุ้มขึ้นมา ถึงแม้การป้องกันของคุกในศาลอิงเทียนฝู่จะไม่ได้แน่นหนานักแต่ถูกคนท้าทายเข้ามาฆ่านักโทษถึงในคุกเช่นนี้ สำหรับใต้เท้าอย่างเขาแล้วกลับไม่ใช่เรื่องคู่ควรไว้ใช้อวดใครเลย อีกอย่างเรื่องที่ทำให้เซ่าจิ่นรู้สึกทะแม่งๆ ก็คือไม่เพียงแค่จูหมิงเยียนตาย แต่ทหารอารักขาเฝ้าคุกทั้งสองคนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
คนที่อยากฆ่าจูหมิงเยียนและมีความสามารถจะฆ่านางได้อย่างนั้นหรือ พระชายาผิงหนานทำหน้าราวกับไม่รู้อะไรเลย ในสายตาของนางถึงแม้บุตรสาวอาจจะโอหังเอาแต่ใจไปบ้างแต่ก็คงไม่ถึงขั้นมีคนคิดอยากสังหารนาง จูเปี้ยนแน่นิ่งไปสักพักหนึ่ง ฉับพลันสีหน้าก็เปลี่ยนเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เซ่าจิ่นหรี่ตามองจูเปี้ยนแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “จวิ้นอ๋องคิดอะไรได้อย่างนั้นหรือ” จูเปี้ยนส่ายศีรษะกล่าว “เปล่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องขอมอบให้ใต้เท้าเซ่าช่วยจัดการแล้ว โปรดใต้เท้าเซ่าทวงความยุติธรรมมาให้นางในเร็ววันด้วยเถิด พระชายา พวกเรากลับกันเถิด” พระชายาผิงหนานคิดอยากจะถามอะไรอีกสักหน่อยแต่ถูกจูเปี้ยนลากตัวออกไปเสียก่อน
เซ่าจิ่นหรี่ตาจับจ้องเงาแผ่นหลังของจูเปี้ยนที่รีบจากไปอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็เลิกคิ้วพร้อมทำสีหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เห็นได้น้อยนัก จูเปี้ยนช่างภักดีต่อมู่หรงอวี้จริงๆ” ฉับพลันด้านหลังฉากกั้นลมในห้องทำงานก็ปรากฏบุรุษในชุดสีน้ำตาลเดินก้าวออกมาอย่างช้าๆ พร้อมเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ เซ่าจิ่นกวาดตามองผู้มาเยือนแวบหนึ่งด้วยสายตาเย็นชาแล้วเอ่ย “เหมือนว่าอานซีจวิ้นอ๋องเองก็มีใจภักดีต่อจื้ออ๋องเหมือนกันมิใช่หรือ ข้าเคยบอกแล้วว่าท่านไม่จำเป็นต้องมาโน้มน้าวข้า ตำแหน่งของข้า…ยังไม่ต้องพูดถึงว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้ เพราะต่อให้ข้าคิดก็ไม่มีความกล้านั้นแน่นอน”
ผู้มาเยือนก็คือจ้าวจื่ออวี้หรืออานซีจวิ้นอ๋อง จ้าวจื่ออวี้แค่นเสียงเย็นชาแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าเห็นว่าข้าโน้มน้าวเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เซ่าจิ่นเลิกคิ้วพร้อมคลี่ยิ้มออกมา เรื่องที่เขาพูดว่าจ้าวจื่ออวี้มีใจรักภักดีต่อจื้ออ๋องนั้นเป็นเพียงการหยอกเย้าเท่านั้น จวนอานซีจวิ้นอ๋องและจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องสามารถยืนหยัดอย่างไม่สั่นคลอนมาได้ตลอดหลายปีนี้เป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่ถือหางให้ท้ายใครก่อนนอกเสียจากจะมั่นใจมากจริงๆ จ้าวจื่ออวี้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเขาไม่หยอก บางคนอาจคิดว่าจ้าวจื่ออวี้คิดดึงเขาเข้าพวกเพื่อจื้ออ๋อง แต่ความจริงเป็นเช่นใดพวกเขาย่อมรู้แก่ใจตัวเองดี
“เรื่องจูหมิงเยียนเป็นฝีมือของมู่หรงอวี้จริงหรือ” จ้าวจื่ออวี้เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
เซ่าจิ่นยิ้มกล่าว “แม้แต่จูเปี้ยนยังพลอยสงสัยเขาไปด้วย แสดงว่าแรงจูงใจของเขามีมากที่สุดมิใช่หรือ หากหาตัวคนร้ายและหลักฐานมาไม่ได้จริงๆ ข้าอยากยัดข้อหาให้เขาด้วยซ้ำ” เขาเอ่ยว่าอยากใส่ความอ๋องผู้หนึ่งโดยไม่คิดเกรงกลัวว่าจะเป็นคำต้องห้ามและไม่มีท่าทีเป็นกังวลเลยสักนิด จากจุดนี้เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเซ่าจิ่นกับจ้าวจื่ออวี้ไม่ใช่เพียงดีธรรมดาแต่ดีมากต่างหาก
จ้าวจื่ออวี้หาที่นั่งตรงนั้นอย่างลวกๆ แล้วเอ่ยพลางมุ่นคิ้วว่า “ทางที่ดีเจ้าระวังตัวไว้หน่อย ระยะนี้ในเมืองหลวงวุ่นวายมากทีเดียว”
เซ่าจิ่นขมวดคิ้วพร้อมทำหน้าเอือมระอา “ก็เพราะวุ่นวายมากมิใช่หรือไร” ไม่รู้ว่าปีนี้เป็นปีชงอะไร เดือนนี้ในเมืองหลวงวุ่นวายจนใครๆ ต่างก็ยากจะรับมือได้ เรื่องแปลกๆ อะไรล้วนเกิดขึ้นได้หมด คุณชายรองของจวนซู่เฉิงโหวตายในสวนดอกไม้ในวัง จวิ้นจู่ของจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องตายในคุก เลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นถูกดักซุ่มทำร้ายแต่คนที่โดนลอบทำร้ายกลับบอกว่าประลองฝีมือกับสหายเท่านั้น อีกทั้งเรื่องที่หนิงอ๋องหายตัวไปก่อนหน้านี้ ตอนที่ส่งตัวกลับมาก็อาการปางตายแล้ว
“เหมือนว่า…สุดท้ายเรื่องพวกนี้จะชี้เป้าไปที่จวนกงอ๋องทั้งหมด” จ้าวจื่ออวี้เอ่ยเสียงเรียบ
เซ่าจิ่นย่อมมองออก พวกเขาที่เป็นคนนอกย่อมมองได้ชัดเจนกว่าคนในเหตุการณ์อยู่แล้ว เซ่าจิ่นชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนั้น…ยังเหลือใครในตระกูลกู้อีกหรือไม่”
จ้าวจื่ออวี้ถอนหายใจเสียงเบาเอ่ย “ใครจะไปรู้กันเล่า ตระกูลที่มีประวัติยาวนานอย่างตระกูลกู้ มีลูกหลานสืบทอดตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีต่อกันมาไม่รู้ตั้งกี่รุ่น ต่อให้ตระกูลกู้จะไม่เหลือใครแล้วจริงๆ แต่ก็ยากจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครมาสร้างความเดือดร้อนให้มู่หรงอวี้สักหน่อย”
เซ่าจิ่นเอ่ยอย่างแปลกใจ “หากกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าตอนนั้นมู่หรงอวี้ก็เป็นคนจัดการพวกตระกูลกู้จริงๆ อย่างนั้นหรือ”
จ้าวจื่ออวี้ยักไหล่แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ใครจะไปรู้ เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลกู้แน่นอน ตอนนั้นมู่หรงอานแทบจะพลิกเรือนชุ่ยเวยหาแล้ว” เดิมทีเรือนชุ่ยเวยเป็นเรือนที่คุณหนูใหญ่ของตระกูลกู้อาศัยอยู่ ภายหลังฮ่องเต้แคว้นหวาทรงพระราชทานให้แก่จ้าวจื่ออวี้ ถึงแม้ตอนนั้นจ้าวจื่ออวี้จะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงแต่หลังจากกลับมาย่อมต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
“ตระกูลกู้…ท่านจะบอกว่ามู่หรงอานกำลังหา…” เซ่าจิ่นมองไปทางวังหลวงแวบหนึ่งแล้วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก จ้าวจื่ออวี้แค่นเสียงเย็นชาเอ่ย “เจ้าโง่นั่นถูกใครบางคนหลอกเข้าแล้ว สมควรแล้วที่ตอนนี้นอนอาการปางตายอยู่บนเตียงเช่นนั้น” จ้าวจื่ออวี้ไม่ถูกกับมู่หรงอานมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาย่อมไม่พอใจคนที่กระทำการบุ่มบ่ามบุกมาถิ่นของตนโดยไม่บอกไม่กล่าวอย่างมู่หรงอานเป็นธรรมดา
เซ่าจิ่นอดสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยเสียงขรึมไม่ได้ว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง อีกฝ่ายต้องไม่ธรรมดาแน่นอน สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ…เนี่ยอวิ๋นก็พลอยถูกโยงเข้าไปเกี่ยวพันด้วย” นี่เป็นสาเหตุที่จ้าวจื่ออวี้วิ่งแจ้นมาหาเซ่าจิ่นตั้งแต่เช้าตรู่ ถึงแม้จะเกิดมาในตระกูลที่ต่างกัน แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าอิงเทียนฝู่อิ่นอย่างเซ่าจิ่น อานซีจวิ้นอ๋องอย่างจ้าวจื่ออวี้และหัวหน้าองครักษ์วังหน้าที่เป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวาอย่างเนี่ยอวิ๋นเป็นสหายกันมาตั้งแต่เด็ก ครั้งนี้เนี่ยอวิ๋นถูกฮ่องเต้สั่งลงโทษกักขัง จ้าวจื่ออวี้และเซ่าจิ่นต่างรู้ดีว่าเนี่ยอวิ๋นถูกโยงเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้โดยไม่มีความผิด กระทั่งกล่าวได้ว่าถูกฮ่องเต้แคว้นหวาพาลโกรธใส่ เนี่ยอวิ๋นมีใจรักภักดีต่อฮ่องเต้แคว้นหวามาก ดังนั้นเขาไม่มีทางจะทำอะไรจิ่วจ่วนหลิงหลงอยู่แล้ว ถ้าพูดอีกแง่หนึ่งก็คือหากเนี่ยอวิ๋นทำอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาคงหนีไปนานแล้วไม่รอให้พระองค์สั่งจับขังคุกเช่นนี้หรอก ด้วยวิทยายุทธของเขาแล้ว หากเขาคิดจะหนีคงไม่มีใครในเมืองหลวงขัดขวางได้
“นั่นสิ” จ้าวจื่ออวี้ขมวดคิ้วกล่าว ถึงแม้เขาจะสถานะสูงส่งและสามารถเอ่ยโน้มน้าวพระองค์ได้ แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่พระองค์ทรงกริ้วอยู่ แม้แต่เขาที่มีอำนาจในมือยังยากจะเอ่ยปาก เกรงว่าหากเขาเอ่ยปากช่วยพูดแทนเนี่ยอวิ๋น นอกจากจะช่วยเนี่ยอวิ๋นไม่ได้แล้วยังเป็นการทำร้ายตัวเขาเองอีกต่างหาก กระทั่งอาจทำให้ฮ่องเต้แคว้นหวาพลอยสงสัยตนไปด้วย
ตอนต่อไป