เซ่าจิ่นเอ่ยขึ้นด้วยความกังวลเล็กน้อย “ตอนนี้เนี่ยอวิ๋นเป็นเช่นใดบ้าง”
จ้าวจื่ออวี้ส่ายศีรษะกล่าว “ไม่เป็นอะไรมากนักหรอก ถึงอย่างไรเสียเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่ฝ่าบาททรงไว้ใจมากที่สุด คนในคุกไม่มีใครกล้าทรมานเขาจนกว่าฝ่าบาทจะมีรับสั่ง แต่…หากนานวันเข้าก็ไม่แน่ เพราะหลายปีมานี้เขาเองก็ล่วงเกินคนมาไม่น้อย”
เนี่ยอวิ๋น จ้าวจื่ออวี้และเซ่าจิ่นพวกเขาทั้งสามได้รับความเชื่อใจจากฮ่องเต้แคว้นหวาก็เพราะพวกเขาจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ แต่ก็เพราะเช่นนี้เลยทำให้หลายปีมานี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเหล่าตระกูลทรงอิทธิพลและเหล่าองค์ชายท่านอ๋องในเมืองหลวงสักเท่าไร นี่เป็นเพราะสาเหตุจากนิสัยของพวกเขา แต่ในขณะเดียวกันด้วยสถานะของเขาเองก็ไม่เหมาะจะผูกมิตรกับพวกตระกูลมีอิทธิพลเหล่านั้นเพราะในฐานะที่เขาเป็นขุนนางที่ฮ่องเต้ทรงเชื่อใจมากที่สุด ดังนั้นข้อต้องห้ามร้ายแรงที่สุดก็คือห้ามเข้าพรรคเข้าพวกกับใครทั้งสิ้น บางครั้งถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นหวาจะดูเลอะเลือนไร้ความสามารถแต่ด้วยสัญชาตญาณของฮ่องเต้เลยทำให้พวกเขารู้ว่าควรปฏิบัติหน้าที่ขุนนางเช่นใด
เซ่าจิ่นขมวดคิ้วด้วยความกลัดกลุ้มใจ “เช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไรดี” เขาเป็นอิงเทียนฝู่อิ่นซึ่งนับว่าเป็นดั่งขุนนางที่ปกครองความสงบในเมืองหลวง หรือกล่าวได้ว่าอิงเทียนฝู่อิ่นเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดในการดูแลปกครองแว่นแคว้นแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นขุนนางที่มีอำนาจอย่างจำกัดมากที่สุด ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเชื้อพระวงศ์เขาก็แทบยื่นมือเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องของเนี่ยอวิ๋นเพราะนี่เป็นพระราชโองการที่ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงตรัสด้วยพระองค์เอง
จ้าวจื่ออวี้มุ่นคิ้วเอ่ย “หากมีคนช่วยพูดแทนเขา บางทีอาจจะพอพลิกแพลงสถานการณ์ได้บ้าง” มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของเขาแล้วต่อให้เนี่ยอวิ๋นจะไม่ตาย แต่หลังจากออกมาก็คงมิได้รับตำแหน่งสำคัญใดแล้ว
เซ่าจิ่นยิ้มขมขื่นอย่างจนใจ “พูดมันก็ง่ายอยู่หรอก แต่เวลานี้จะไปหาใครที่พูดโน้มน้าวฝ่าบาทได้ อีกอย่างต้องเต็มใจช่วยพูดขอชีวิตให้เนี่ยอวิ๋นด้วย” พวกเขาสามคนสนิทสนมกันเรื่องนี้ฝ่าบาททรงรู้ดี ดังนั้นเขาและจ้าวจื่ออวี้จึงมิอาจไปร้องขอชีวิตแทนเนี่ยอวิ๋นได้ คนที่พอจะเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทภายใต้สภาวะเกรี้ยวโกรธเช่นนี้ได้ก็มีเพียงไทเฮา ฮองเฮาหรือไม่ก็พระสนม องค์ชายหรือองค์หญิงที่พระองค์ทรงโปรดมากเท่านั้น อีกอย่างพวกเขา…ไม่เคยสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนพวกนี้เลย
จ้าวจื่ออวี้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงขรึมว่า “มีคนหนึ่งที่พอจะลองได้ แต่ความหวังมีไม่มากนัก”
“ใครหรือ”
“องค์หญิงหมิงเจ๋อ”
ขณะที่เซ่าจิ่นและจ้าวจื่ออวี้วางแผนจะไปร้องขอความช่วยเหลือจากมู่ชิงอีนั้น ทางฝั่งมู่ชิงอีนั้นกำลังรับเทียบเชิญมาจากอิ๋งเอ๋อร์ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ รูปลักษณ์ของเทียบเชิญงดงามดูเป็นทางการ บนเทียบเชิญสีม่วงสบายตาประทับด้วยลวดลายดอกไม้สีทองเต็มไปหมดราวกับกลัวว่าคนที่ได้รับเทียบเชิญจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มุมล่างด้านขวาของเทียบเชิญประทับคำว่าเว่ยตัวสีทองและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิด้วย
อิ๋งเอ๋อร์ยกเทียบเชิญส่งให้นางด้วยสองมือแล้วเอ่ยด้วยท่าทีรังเกียจว่า “เทียบเชิญนี้ต้องเป็นฝีมือของแม่นางเชียนหลิงแน่นอนเพคะ”
มู่ชิงอีเปิดเทียบเชิญออก นางมองพลางเลิกคิ้วเอ่ย “ว่ามาสิ”
อิ๋งเอ๋อร์ติดตามเฝิ่งจื่อสุ่ยดูแลเรื่องเงินๆ ทองๆ ของตระกูลกู้มาตั้งแต่เด็ก จะมีของแบบไหนบ้างที่นางจะไม่เคยเห็นมาก่อน นางยู่ปากแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เทียบเชิญของคุณชายเว่ยทำได้งดงามและดูสบายตาดี อีกอย่างรูปแบบก็ไม่ธรรมดาแต่ดันใส่กลิ่นหอมของดอกมะลิลงไป ถึงแม้กลิ่นหอมของดอกมะลิจะบางเบามากแต่เมื่ออยู่บนเทียบเชิญสีม่วงลายดอกไม้สีทองเช่นนี้กลับชวนให้รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมชาติและดูไร้ราคา แม่นางเชียนหลิงไม่ใช่คนแคว้นหวาแน่นอนเจ้าค่ะ”
ในบรรดาแคว้นหวา แคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่น แคว้นที่พิถีพิถันประณีตที่สุดก็คือแคว้นหวา บุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ในแคว้นหวาจะติดต่อมีปฏิสัมพันธ์กับใคร เสื้อผ้าแบบไหนใส่เวลาใดหรือกระทั่งเครื่องประดับการแต่งหน้าแต่งตัวเช่นใดถึงจะเหมาะสมพวกนางต่างรู้เป็นอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก อีกอย่างความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบนเทียบเชิญเช่นนี้น้อยนักที่จะเกิดกับเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ในแคว้นหวา ทว่าแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่นกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก หากนำเทียบเชิญนี้ไปให้หย่งจยาจวิ้นจู่ดู เกรงว่าแม้แต่กลิ่นจางๆ ที่ลอยมาคืออะไรหย่งจยาจวิ้นจู่อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ
มู่ชิงอีหยิบเทียบเชิญตีอิ๋งเอ๋อร์เบาๆ ไปทีหนึ่งแล้วเอ่ยยิ้มบางว่า “เจ้าช่างเลือกช่างตินัก เจ้าภาพพอใจอยากใช้กลิ่นมะลิแล้วเกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วยเล่า ยิ่งไปกว่านั้น…จับคู่กันแบบนี้ก็ดูมีรสนิยมไปอีกแบบ”
อิ๋งเอ๋อร์กลอกตาใส่แวบหนึ่งแล้วยิ้มตาหยีกล่าว “ดูมีรสนิยมเฉกเช่นเดียวกับเวลาที่คุณชายเว่ยและแม่นางเชียนหลิงยืนอยู่ข้างกันใช่หรือไม่เจ้าคะ” เว่ยอู๋จี้ดูสง่างามสุขุม ใบหน้าหล่อเหลาเป็นมิตร ครั้นได้เห็นก็ชวนให้รู้สึกว่าเขาโดดเด่ดกว่าใคร ทว่าแม่นางเชียนหลิงกลับเป็นหญิงบอบบางดั่งต้นฝอยทอง[1]เพียงต้องลมก็แทบปลิวไปตามแรงลมแล้ว หนุ่มรูปงามเคียงคู่สาวงามเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะดูสมบูรณ์แบบเสมอไป แต่กลับชวนให้รู้สึกว่าพวกเขาไม่เหมาะสมกันมากกว่า
“คุณชายเว่ย...น่าจะเป็นแม่นางเชียนหลิงที่เชิญคุณหนูไปร่วมงานพบปะเล็กๆ ที่เรือนตระกูลเว่ยมากกว่า แบบนี้คุณหนูจะไปหรือไม่เจ้าคะ” อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยถาม
มู่ชิงอีวางเทียบเชิญลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ไปอยู่แล้ว” ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมู่ชิงอีก็ไม่อยากผูกมิตรกับแม่นางเชียนหลิงแม้แต่น้อย ไม่ว่าเจตนาที่เชียนหลิงแสดงออกมาในคืนวันงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวาจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือมีเจตนาแอบแฝงจริงๆ แต่นางกลับไม่คิดจะซักไซ้ไล่เลียงอะไรเรื่องนี้อีก ในเมื่อนางรู้สึกไม่ถูกชะตากับอีกฝ่ายก็อย่าเข้าใกล้เลยจะดีกว่า มู่ชิงอีไม่เข้าใจว่าทั้งๆ ที่แม่นางเชียนหลิงไม่ชอบนางแต่เหตุใดกลับมีความคิดจะผูกมิตรกับนางให้ได้
“เหมือนว่างานพบปะครั้งนี้ของตระกูลเว่ยจะเชิญคนไปไม่น้อย น่าจะเพราะคุณชายเว่ยอยากแนะนำเชียนหลิงให้เหล่าผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงรู้จัก หากคุณหนูไม่ไปจะดูไม่ดีหรือไม่เจ้าคะ” หากทุกคนไปหมดแต่มีเพียงคุณหนูคนเดียวที่ไม่ไปจะดูเหมือนคุณหนูจงใจตั้งตัวเป็นศัตรูกับคู่หมั้นของคุณชายเว่ยมากเกินไป ถึงแม้ในวังเมื่อสองวันก่อนเชียนหลิงจะทิ้งภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาเหล่าบรรดาสตรีผู้สูงศักดิ์ แต่ขอแค่นางเป็นคู่หมั้นของเว่ยอู๋จี้ นางก็จะเป็นเป้าหมายที่เหล่าผู้ทรงอิทธิพลมากมายในเมืองหลวงล้วนอยากผูกมิตรด้วยความระมัดระวัง
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วกล่าว “ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันก็แล้วกัน” มู่ชิงอีเพียงแค่ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์ใดกับเชียนหลิง ไม่ได้หวาดกลัวอะไรนาง แต่หากต้องไม่ถูกกับเว่ยอู๋จี้เพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวคงได้ไม่คุ้มเสีย แต่ไม่รู้ว่าทำไมมู่ชิงอีถึงมักรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าหากยังมีเชียนหลิงผู้นี้อยู่ ต่อให้นางจะไม่อยากผิดใจกับเว่ยอู๋จี้ก็คงยาก “เลิกพูดเรื่องนี้เถิด เรื่องจูหมิงเยียนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
อู๋ซินที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยตอบ “สองวันนี้ผิงหนานจวิ้นอ๋องไปโวยวายที่ศาลอิงเทียนฝู่ตลอด เหมือนว่าไม่นานก่อนหน้านี้ทางศาลอิงเทียนฝู่คิดว่าจูหมิงเยียนไม่ได้ฆ่าตัวตายแต่ถูกคนสังหาร ตอนนี้เซ่าจิ่นเริ่มลงมือตรวจสอบเรื่องนี้แล้วขอรับ”
“เซ่าจิ่นหรือ” มู่ชิงอีมุ่นคิ้ว นางเคยได้ยินชื่อเซ่าจิ่นผู้นี้มาก่อน เพราะตอนที่ตระกูลกู้ยังอยู่เขาก็ได้ขึ้นเป็นอิงเทียนฝู่อิ่นแล้ว เรียกได้ว่าในบรรดาลูกหลานตระกูลสูงส่งของเมืองหลวงเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถตั้งแต่วัยเยาว์เลยทีเดียว อีกอย่างความสามารถก็ไม่ธรรมดา หากเขาไล่สืบจนเจอพี่ใหญ่เข้าคงไม่ดีแน่
“จูเปี้ยนมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
อู๋ซินขมวดคิ้วกล่าว “จูเปี้ยนไม่ทำอะไรสักอย่าง แล้วยังพาพระชายากลับจวนทันทีขอรับ”
มู่ชิงอีนิ่งไป จากนั้นนางก็มุ่นคิ้วพลางตกอยู่ในห้วงความคิดอยู่พักหนึ่งถึงเข้าใจความคิดของจูเปี้ยน เกรงว่าในใจของจูเปี้ยนคงนึกสงสัยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับมู่หรงอวี้เข้าแล้ว จูเปี้ยนจะคิดเช่นใดนางไม่สน ขอแค่เรื่องพี่ใหญ่ไม่หลุดแพร่งพรายออกไปก็พอ ครั้นนึกถึงกู้ซิ่วถิง มู่ชิงอีก็นึกสงสัยแปลกๆ หลังจากหรงจิ่นมองตัวตนของนางออกนางก็รู้สึกเบาใจลงมากแต่ในขณะเดียวกันพอนึกย้อนไปนางก็หลุดพิรุธไปไม่น้อย เวลานี้นางค้นพบว่าเหมือน…พี่ใหญ่ก็เริ่มสงสัยในตัวนางแล้วเช่นกัน
ยามนางไปเยี่ยมพี่ใหญ่ที่จวนฉินในคืนนั้น เห็นได้ชัดว่าคำถามสุดท้ายที่พี่ใหญ่เอ่ยถามเป็นกับดัก เหตุเพราะนางไม่คิดระแวดระวังต่อพี่ใหญ่อยู่แล้วเลยไม่ได้เอะใจอะไร หากไม่ใช่เพราะเรื่องหรงจิ่น เกรงว่าจนถึงตอนนี้นางก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ดังนั้นสองวันมานี้นางเลยไม่ได้ไปเยี่ยมพี่ใหญ่ที่จวนฉิน นางไม่รู้จริงๆ ว่าหากเจอพี่ใหญ่แล้วตนควรจะพูดอะไรดี “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายเว่ยกับคุณหนูเชียนหลิงมาขอพบเจ้าค่ะ” ทันใดนั้น ก็มีเสียงผู้ดูแลเรือนรายงานขึ้นจากด้านนอกประตู
————————–
[1]ต้นฝอยทอง เป็นวัชพืชกาฝากที่ต้องอาศัยพืชชนิดอื่นถึงจะมีชีวิตอยู่ได้
ตอนต่อไป