มู่ชิงอีนั่งบนเก้าอี้พลางเปิดอ่านหนังสือที่เพิ่งให้จูเอ๋อร์ไปหยิบมาจากห้องหนังสืออย่างเพลิดเพลิน เนื่องจากนางเกิดมาจากตระกูลขุนนางชั้นสูงเลยถูกเลี้ยงดูให้มีนิสัยรักการอ่านมาตั้งแต่เด็กๆ สองวันมานี้หรงจิ่นเพิ่งมอบหนังสือหายากให้นางเล่มหนึ่งซึ่งเป็นหนังสือที่นางตามหามานานแล้วแต่ก็หาไม่เจอ ทว่ากลับยังไม่มีเวลาอ่านสักที เวลานี้ต้องมานั่งพูดคุยเรื่องไร้สาระน่าเหนื่อยหน่ายกับเชียนหลิง มู่ชิงอีเลยหยิบมาอ่านไปพร้อมกันโดยไม่ใส่ใจสักนิด
มู่ชิงอีอารมณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ ทว่าสีหน้าของเชียนหลิงกลับย่ำแย่ลงทุกที จูเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงอีจับจ้องเชียนหลิงอย่างระแวดระวังเพราะกลัวนางอดกลั้นความโกรธไว้ไม่ไหวจนทำอะไรคุณหนูเข้า ผ่านไปนานในที่สุดเชียนหลิงก็ทนไม่ไหวชิงเปิดปากขึ้นก่อนว่า “องค์หญิง ท่านกำลังอ่านอะไรอยู่หรือ”
มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นมาเหลือบมองนางแวบหนึ่งเอ่ย “พงศาวดารผิงหู แม่นางเชียนหลิงอยากอ่านหรือไม่เล่า”
สีหน้าอ่อนโยนของเชียนหลิงปรากฏความว่างเปล่าขึ้นมาชั่วขณะ แต่ไม่นานก็พยายามเค้นรอยยิ้มเอ่ย “องค์หญิงรับปากแล้วว่าจะคุยเป็นเพื่อนหม่อมฉัน เหตุใดถึงนั่งอ่านนิยายอยู่คนเดียวเล่าเพคะ”
มู่ชิงอีเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ามิได้อ่านนิยาย”
เชียนหลิงเบิกตาขึงมองนางพร้อมน้ำตาคลอเบ้าราวกับคาดโทษว่านางโกหก มู่ชิงอียกหนังสือในมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พงศาวดารผิงหูกล่าวถึงประวัติศาสตร์ระยะเวลาสี่ร้อยสิบแปดปีตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ในยุครุ่งเรืองจนกระทั่งล่มสลายซึ่งเขียนโดยชาวผิงหนานเมื่อหนึ่งพันสามร้อยปีก่อน ถึงแม้จะไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ แต่กลับเป็นหนึ่งในหลักอ้างอิงและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ผู้เรียนใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ยุคราชวงศ์รุ่งเรืองที่สำคัญที่สุด”
เชียนหลิงสีหน้าอมขาวอมเขียวด้วยความโมโห มู่ชิงอีเองก็รู้สึกว่าตนเหมือนจะรังแกสาวน้อยผู้นี้มากไปแล้วเลยหมดความสนใจไปชั่วขณะ เพียงปรายตามองเชียนหลิงแวบหนึ่งก็เข้าใจทันที ถึงแม้เชียนหลิงจะถนัดเรื่องการดีดพิณ เล่นหมากรุกหรือการวาดภาพแต่กลับจำกัดเพียงในแง่ของประเภทบทเพลงหรือกวีเท่านั้น สตรีอย่างนางย่อมไม่มีทางเสียเวลาไปศึกษาตำราประวัติศาสตร์หนาปึกเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำราเฉพาะด้านแบบนี้เลย
ความจริงสำหรับสตรีคนหนึ่งแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ถือว่าสลักสำคัญอะไรนัก ต่อให้จับบุตรสาวที่ถูกเลี้ยงดูจากตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงมาสักสิบคนก็คงมีสักเก้าคนที่ไม่รู้เรื่องพวกนี้เช่นกัน ขนาดตัวมู่ชิงอีเองยังไม่กล้าพูดว่าตนรอบรู้ทุกเรื่อง แต่เห็นได้ชัดว่าเชียนหลิงไม่ได้คิดเช่นนั้น นางรู้สึกเพียงว่ามู่ชิงอีจงใจตบหน้านางและเยาะเย้ยความรู้และภูมิหลังของนาง แน่นอนว่ามู่ชิงอีเองก็ยอมรับว่าตนก็มีเจตนานั้นอยู่บ้างจริงๆ
“องค์หญิง…เกลียดหม่อมฉันมากนักหรือเพคะ” เชียนหลิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างผิดหวัง ตนเกลียดเชียนหลิงจริงๆ เกลียดยิ่งกว่าจูหมิงเยียน องค์หญิงไหวหยาง กระทั่งพวกปากปราศรัยใจเชือดคอในเมืองหลวงทุกคน รวมถึงมู่เฟยหลวนและมู่อวิ๋นหรงรวมกันเสียอีก! หากเมื่อครู่เชียนหลิงคว้าแก้วชาบนโต๊ะโยนลงพื้น ไม่แน่มู่ชิงอีอาจจะมองนางใหม่บ้าง
“แม่นางเชียนหลิง ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เจ้าเป็นคู่หมั้นของคุณชายเว่ย ส่วนข้าเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหว หากว่ากันตามจริงข้ากับเจ้าไม่น่ามาบรรจบกันได้เลยด้วยซ้ำ เจ้าจะสนใจว่าข้าชอบเจ้าหรือเกลียดเจ้าไปเพื่ออะไรกัน” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก
เชียนหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือน้อยใจว่า “อู๋จี้บอกว่าหลังจากแต่งงานจะปักหลักอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นหวา หากเราผูกมิตรกันจะมีสิ่งใดผิดไปอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วแล้วเอ่ยชี้นำเสียงเรียบว่า “เจ้าคงมิอาจผูกมิตรกับทุกคนได้ อีกอย่างข้าว่าแม่นางเชียนหลิงเองก็ไม่ได้กระตือรือร้นอยากรู้จักทุกคนขนาดนั้น หากแม่นางเชียนหลิงอยากสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าสตรีในเมืองหลวงจริง ข้าแนะนำว่าเจ้าไปเข้าเฝ้าองค์หญิงและพระสนมของฝ่าบาทจะดีกว่า”
เชียนหลิงขบริมฝีปากเบาๆ แล้วเอ่ย “พวกนางล้วนดูแคลนข้า แล้วจะยอมผูกมิตรกับข้าได้อย่างไร”
หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่ดูแคลนเจ้าเลย? มู่ชิงอีหมดคำพูดแล้วจริงๆ
“แม่นางเชียนหลิง ข้าไม่สนว่าเหตุใดเจ้าถึงดื้อรั้นมาเซ้าซี้ข้านัก ข้าแค่อยากพูดประโยคหนึ่งว่าถึงมู่ชิงอีจะถูกฝ่าบาทแต่งตั้งเป็นองค์หญิง แต่ความจริงข้าก็เป็นเพียงบุตรสาวภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหวตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น คุณชายเว่ยมั่งคั่งร่ำรวยจนข้ามิอาจทัดเทียมได้ หากแม่นางเชียนหลิงทำทั้งหมดนี้เพราะคืนวันงานเลี้ยงของฝ่าบาทที่มู่ชิงอีจับจ้องคุณชายเว่ยนานไปละก็ ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ ตอนนั้นข้าแค่เหม่อลอยไม่ได้มีเจตนามองคุณชายเว่ยแต่อย่างใด และไม่มีทางคิดอะไรกับคุณชายเว่ยแน่นอน แบบนี้แม่นางเชียนหลิงวางใจได้หรือยัง” มู่ชิงอีอธิบายยืดยาวพลางจับจ้องไปยังเชียนหลิง
ถึงแม้สีหน้าของเชียนหลิงจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรแต่มู่ชิงอีกลับเห็นความสบายใจและความขุ่นเคืองพาดผ่านแววตาของนางอย่างชัดเจน ไม่ว่าเมื่อก่อนเชียนหลิงจะอยู่ในสถานะไหน แต่เดาว่าหลังจากที่นางเป็นคู่หมั้นของเว่ยอู๋จี้คงไม่มีใครหักหน้านางขนาดนี้มาก่อน
เชียนหลิงไม่ได้ดวงตาแดงก่ำน้ำตาคลอเบ้าดั่งก่อนหน้านี้อีกต่อไป นางเพียงกวาดตามองมู่ชิงอี ผ่านไปนานถึงถอนหายใจเอ่ยว่า “องค์หญิงเข้าใจผิดแล้ว เชียนหลิงก็แค่…อิจฉาองค์หญิงเท่านั้นเอง”
“อิจฉาหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยถาม
เชียนหลิงเอ่ยตอบ “เพคะ องค์หญิงเกิดมาเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของจวนโหว เกิดมาหน้าตางดงามสะสวย ปราดเปรื่องมากความสามารถ บัดนี้ยังเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ด้วย จุดเด่นทั้งหมด…บนโลกใบนี้องค์หญิงล้วนมีหมดแล้ว และมีเพียงคนอย่างองค์หญิงเท่านั้น…ถึงจะคู่ควรกับ…”
อิจฉาหรือ มู่ชิงอียิ้มเย็นชาผ่านแววตา หากเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่นางประสบมาให้เชียนหลิงฟัง พอนางรู้ถึงความเจ็บปวดที่อีเอ๋อร์เคยได้รับ ไม่รู้ว่านางจะยังอิจฉาอยู่หรือเปล่า และที่สำคัญเพียงเพราะความอิจฉาเลยทำให้เจ้าตามตอแยคนที่แสดงท่าทีว่าไม่ชอบเจ้าขนาดนี้เลยหรือ ความอิจฉาของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะยอมรับได้เลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเหล่าผู้โชคร้ายที่ถูกเจ้าอิจฉาก่อนหน้านี้จะเป็นเช่นใดบ้างแล้ว
มู่ชิงอีคร้านจะสนใจเชียนหลิงเลยก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ ถึงแม้เชียนหลิงจะแสร้งโง่เพียงใดก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามู่ชิงอีไม่ชอบนางจริงๆ อีกทั้งไม่อยากเกี่ยวข้องใดๆ กับตนด้วย ถึงแม้นางจะไม่ได้ชอบมู่ชิงอีมากขนาดนั้น แต่ท่าทีเย็นชาเช่นนี้ของมู่ชิงอีกลับทำให้นางรู้สึกไม่ชอบใจมากพอควร
ด้วยเหตุนี้นางเลยจงใจเข้าใกล้มู่ชิงอี เพราะครั้งแรกที่เจอกันสัญชาตญาณของนางรู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม นางมักรู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้จะแย่งทุกอย่างไปจากตน แต่วิธีการเหล่านั้นของนางกลับใช้กับมู่ชิงอีไม่ได้ผลสักนิด กระทั่งแม้แต่โอกาสลงมือยังไม่มีด้วยซ้ำ อีกอย่างสถานะองค์หญิงอันสูงส่งของมู่ชิงอีก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ถึงแม้อู๋จี้จะดีกับนางมากเพียงใดแต่ก็คงไม่ไปจัดการกับมู่ชิงอีเพียงเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคของนาง ความลำบากใจและความพ่ายแพ้ที่ไม่เคยได้รับมาก่อนก็ยิ่งทำให้เชียนหลิงมั่นใจว่ามู่ชิงอีไม่มีทางยอมเป็นสหายของตนแน่นอน
แต่ไหนแต่ไรมาของที่ตนครอบครองไม่ได้มีมากอยู่แล้ว ดังนั้นนางจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งทุกอย่างของตนไปเด็ดขาด!
เชียนหลิงเผยแววตาเคืองแค้นออกมาแต่มู่ชิงอีกลับไม่สังเกตเห็น แต่ความจริงไม่ว่าอย่างไรลำพังแค่ตัวเชียนหลิงย่อมไม่มีทางทำอันตรายใดนางได้อยู่แล้ว ที่พักพิงเพียงหนึ่งเดียวของนางก็คือเว่ยอู๋จี้ แต่คนอย่างเว่ยอู๋จี้…มู่ชิงอีรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนที่จะถูกคนข้างกายบงการได้ ถึงแม้เขาจะแทบเอาใจและรักใคร่เชียนหลิงมากเป็นพิเศษก็ตาม แต่หากเขาทำให้ตนลำบากใจเพราะเชียนหลิงขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ เช่นนั้นมู่ชิงอีก็คงทำได้แค่ยอมรับ ตนไม่อยากทรมานตัวเองทนผูกมิตรกับเชียนหลิงแม้แต่น้อย อีกอย่างด้วยสภาพจิตใจของตนแล้วคงไม่มีทางผูกมิตรกับนางจากใจจริงได้แน่นอน ต่อให้นางจะหาวิธีทำให้เชื่อใจได้แต่การคบสหายเช่นนี้นั้นได้ไม่คุ้มเสีย
“หากแม่นางเชียนหลิงไม่มีธุระอันใดแล้ว เช่นนั้นชิงอีขอไม่ไปส่งก็แล้วกัน” มู่ชิงอีออกปากไล่แขกโต้งๆ “หากแม่นางเชียนหลิงมีเวลามาระวังชิงอีสู้เอาเวลาไปพุ่งเป้าสนใจคนอื่นจะดีกว่า ในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทแม่นางเองก็เห็นแล้ว ในเมืองหลวง…มีหญิงสาวใบหน้างดงามฉลาดเฉียบแหลมและมาจากตระกูลมีความรู้สูงส่งก็ไม่น้อย ที่สำคัญก็คือ…พวกนางต่างปรารถนาอยากได้คุณชายเว่ยกันทั้งนั้น อีกอย่างไม่ว่าจะพวกมีอำนาจในแคว้นหวา แคว้นเย่ว์หรือแคว้นเป่ยฮั่นมักไม่ค่อยต้อนรับสตรีที่ทำตัวอ่อนแอนักหรอก ถึงอย่างไรเสียการวางตัวและบุคลิกของสตรีในตระกูลผู้ดีก็สำคัญกว่าการแสร้งทำท่าทางน่าสงสารอยู่มากโข”
ตอนต่อไป