เซ่าจิ่นได้ยินเช่นนั้นก็ลอบผ่อนลมหายใจ หากองค์หญิงหมิงเจ๋อไม่เชิญพวกเขานั่ง พวกเขาก็คงกระดากใจไม่กล้าขอนั่งร่วมวงด้วยเช่นกัน ในเมื่อไม่ว่าตนหรือจ้าวจื่ออวี้ต่างก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับองค์หญิงหมิงเจ๋อมาก่อน
มู่ชิงอีหลุบตาลงเล็กน้อยพลางขบคิดเจตนาของผู้มาเยือน คงเป็นดั่งสำนวนที่ว่า ‘หากไม่มีเรื่องร้อนใจคงไม่เข้าอุโบสถ[1]’ เพราะพวกเขาสองคนไม่เหมือนคนที่จะเข้ามาทักทายโดยไม่แฝงเจตนาใดทำนองนั้นเลย
ทว่าหย่งจยาจวิ้นจู่กลับไม่คิดเช่นนั้น นางขยิบตาพลางยิ้มตาหยีสำรวจจ้าวจื่ออวี้โดยลืมไปแล้วว่าสองวันก่อนนางเพิ่งเอ่ยเสียดสีว่าเขาเป็นหนุ่มหน้ามนคนเจ้าสำอางไปอย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าในสายตาของหย่งจยาจวิ้นจู่แล้วนั่นไม่ใช่การเสียดสีแต่เป็นการอธิบายความจริงต่างหาก
ครั้นถูกผู้หญิงคนหนึ่งจับจ้องเช่นนั้น ต่อให้เป็นคนที่มีพละกำลังแข็งแกร่งในสนามรบอย่างอานซีจวิ้นอ๋องก็คงมิอาจรับมือไหว จ้าวจื่ออวี้นั่งด้วยท่าทีเคร่งขรึม แต่กลิ่นอายบนกายกลับเย็นยะเยือกลงทุกที มู่ชิงอีจึงกระแอมไอเสียงเบาอย่างระอาใจแล้วเอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “ปิงเอ๋อร์”
“หืม?” หย่งจยาจวิ้นจู่ขานรับอย่างขอไปที
มู่ชิงอีอดกุมขมับไม่ได้ มิน่าจ้าวจื่ออวี้ถึงไม่ชอบ ต่อให้แม่นางในแคว้นหวาจะใจกล้าเพียงใดก็ไม่มีใครจับจ้องบุรุษไม่วางตาขนาดนี้
“เจ้ามองอันใดหรือ” ในที่สุดจ้าวจื่ออวี้ก็อดทนไม่ไหวเอ่ยพลางขมวดคิ้วมุ่นแล้วมองหย่งจยาจวิ้นจู่แน่นิ่ง หย่งจยาจวิ้นจู่กะพริบตาปริบๆ กล่าว “มองว่าเจ้าหล่อเหลาอย่างไรเล่า เป็นถึงบุรุษยังกลัวคนอื่นมองด้วยหรือ”
“แค่กๆ…” เซ่าจิ่นที่นั่งอยู่ตรงข้ามกลั้นไอเอาไว้ไม่อยู่ จ้าวจื่ออวี้ทนสายตาที่หย่งจยาจวินจู่ใช้กวาดมองตนไม่ไหวอีกต่อไป เขาไม่เคยเจอแม่นางคนใดตรงไปตรงมาขนาดนี้มาก่อน มู่ชิงอีส่งแก้วชาแก้วหนึ่งไปให้ด้วยท่าทีสบายๆ ทว่าเซ่าจิ่นกลับรีบยื่นมือเข้าไปรับพลางกล่าวขอบคุณนาง
มู่ชิงอีชินชากับนิสัยชอบแทะโลมทางสายตาของหย่งจยาจวิ้นจู่แล้ว ตอนอยู่จวนจื้ออ๋องยามเห็นหรงจิ่นนางก็จับจ้องเขาเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่หลังจากถูกฝีปากของหรงจิ่นจู่โจมไม่กี่ทีก็เลิกมองไป ถึงแม้จะดูเสียมารยาทแต่นางไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ เลย
“จวิ้นอ๋องกับใต้เท้าเซ่ามาที่นี่…” ครั้นเห็นว่าจ้าวจื่ออวี้เกือบนั่งไม่ติดที่ มู่ชิงอีถึงได้อมยิ้มเปิดบทสนทนาช่วยแก้สถานการณ์ให้เขา
เวลานี้จ้าวจื่ออวี้ถึงเลิกสนใจหย่งจยาจวิ้นจู่แล้วมองมู่ชิงอีพลางเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าขอพูดตามตรง พวกข้ามีเรื่องอยากขอให้องค์หญิงช่วย”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “”ช่วยหรือ จวิ้นอ๋องกับใต้เท้าเซ่าต่างก็เป็นขุนนางมากความสามารถเหนือใคร ถึงแม้ข้าจะถูกฝ่าบาทแต่งตั้งยศให้ แต่คนไร้อำนาจไร้อิทธิพลเช่นข้าจะสามารถช่วยอะไรพวกท่านได้
จ้าวจื่ออวี้มองสีหน้าใคร่รู้ของหย่งจยาจวิ้นจู่แวบหนึ่งแล้วเอ่ย “เพราะเรื่องของเนี่ยอวิ๋น”
“หัวหน้าองครักษ์เนี่ยหรือ” เนี่ยอวิ๋นเป็นหัวหน้าองครักษ์ของวังหน้าและเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวา นับตั้งแต่งานเลี้ยงในคืนนั้นที่ถูกฮ่องเต้แคว้นหวารับสั่งให้จับเขาขังคุกก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวของเขาอีก เซ่าจิ่นพยักหน้าเอ่ย “พวกเราสามคนเป็นสหายที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กจึงสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว ความจริงเรื่องของเนี่ยอวิ๋นครั้งนี้เป็นเรื่องใส่ร้ายกัน โปรดองค์หญิงช่วยทวงความยุติธรรมด้วยเถิด”
มู่ชิงอีย่อมรู้อยู่แล้วว่าเนี่ยอวิ๋นถูกใส่ความ แต่นางนึกไม่ถึงว่าระหว่างเนี่ยอวิ๋น เซ่าจิ่นและจ้าวจื่ออวี้จะมีความสัมพันธ์กันเช่นนี้ มู่ชิงอีขมวดคิ้วเอ่ย “เวลานี้…ชิงอียังไม่รู้ว่าความจริงเป็นเช่นใด ยิ่งไปกว่านั้น…ถึงข้าจะนับถือในวิทยายุทธ์อันแกร่งกล้าของหัวหน้าเนี่ย เกรงว่าต่อให้อยากช่วยก็คงไม่มีความสามารถนั้น”
จ้าวจื่ออวี้ถอนหายใจเสียงเบากล่าว “ความจริงเรื่องจิ่วจ่วนหลิงหลงเป็นเช่นใดฝ่าบาทย่อมกระจ่างแก่พระทัยดี เนี่ยอวิ๋นเองก็คงไม่ได้กังวลเรื่องความเป็นความตาย เพียงแต่…ด้วยนิสัยของฝ่าบาทแล้ว หากจบเรื่องนี้คงไม่ไยดีเนี่ยอวิ๋นแน่ หลังจากนั้น…” มู่ชิงอีเข้าใจในทันที ในฐานะที่เนี่ยอวิ๋นเป็นหัวหน้าองครักษ์วังหน้าที่ดีแต่เขาก็ล่วงเกินคนมาไม่น้อย ทันทีที่ถูกฝ่าบาทเขี่ยทิ้ง เกรงว่าวันในภายภาคหน้าของเนี่ยอวิ๋นคงทลายลงแน่
มู่ชิงอีลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ย “หัวหน้าเนี่ยเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวา ฝ่าบาทควรเสียดายในความสามารถถึงจะถูก คงไม่ถึงขั้น…”
เซ่าจิ่นยิ้มขมขื่นเอ่ยเสียงต่ำว่า “ตอนนั้นทั้งตระกูลกู้ก็ไม่ใช่เสาหลักของแคว้นหรืออย่างไร ยังโดน…”
“เซ่าจิ่น” จ้าวจื่ออวี้เอ่ยเตือนเสียงเบา
เซ่าจิ่นรู้ตัวว่าหลุดพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดไป จากนั้นก็ส่ายศีรษะอย่างจนใจ มู่ชิงอียกยิ้มที่มุมปากราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เซ่าจิ่นเอ่ยแล้วกล่าวต่อ “อานซีจวิ้นอ๋องหวังจะให้ข้าเอ่ยเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าจวิ้นอ๋องคงมาหาผิดคนแล้วล่ะ ถึงข้าจะมียศองค์หญิงแต่กลับเจอฝ่าบาทไม่กี่คราเท่านั้น ยิ่งตอนนี้อยู่นอกวังก็ยิ่งอับจนหนทาง จวิ้นอ๋องคงมิได้คิดจะให้ข้าเข้าวังเพราะเรื่องนี้หรอกกระมัง”
จ้าวจื่ออวี้ส่ายหน้ากล่าว “ข้าจะกล้าบังคับให้ท่านลำบากใจได้อย่างไร ข้าอับจนหนทางแล้วจริงๆ…เพียงแต่อยากขอร้ององค์หญิงว่าหากมีโอกาสช่วยพูดยกยอเนี่ยอวิ๋นต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทบ้างก็เท่านั้น”
นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร มู่ชิงอีเองก็ไม่อยากล่วงเกินจ้าวจื่ออวี้และเซ่าจิ่นเลยพยักหน้ากล่าว “หากมีโอกาสชิงอีจะพยายามอย่างเต็มที่ เพียงแต่หากฝ่าบาทมิทรงรับฟัง…”
จ้าวจื่ออวี้เอ่ย “หากพยายามสุดความสามารถแล้วก็คงต้องรอฟังคำลิขิตของสวรรค์ ข้ามิบังอาจตำหนิองค์หญิงหรอก”
มู่ชิงอีเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “หากคุยกันเรื่องเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทแล้ว เหล่าสตรีในวังหรือองค์ชายท่านอ๋องคนอื่นๆ ยังเกลี้ยกล่อมพระองค์ได้ดีกว่าข้า เหตุใดท่านทั้งสอง…” จ้าวจื่ออวี้ส่ายหน้าเอ่ย “ในฐานะที่เป็นองรักษ์วังหน้า ข้อต้องห้ามที่สำคัญที่สุดคือสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนในวัง หากไปขอร้องพวกเขา เนี่ยอวิ๋นก็ต้องติดหนี้ชีวิตพวกเขา หากวันหน้ามีเรื่องอะไร…”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง หัวหน้าเนี่ยอยู่ตำแหน่งนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ แต่ว่ายังมีองค์หญิงอีกพระองค์หนึ่ง เหตุใดอานซีจวิ้นอ๋องถึงไม่ลองดูเล่า”
จ้าวจื่ออวี้มุ่นคิ้วสงสัยพลันเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ย “องค์หญิงหมายถึงองค์หญิงหมิงเวยหรือ”
มู่ชิงอีพยักหน้า
จ้าวจื่ออวี้กล่าว “ความจริงองค์หญิงหมิงเวยเองก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากคนหนึ่ง เพียงแต่หลายปีมานี้องค์หญิงจดจ่ออยู่ในพระธรรมแทบจะไม่ยอมเจอใครเลย ก่อนหน้านี้ข้าไปลองมาแล้วแต่องค์หญิงก็ไม่ยอมเจอข้าเช่นกัน”
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างจนปัญญา ถึงแม้นางจะคุ้นเคยสนิทสนมกับองค์หญิงหมิงเวยอยู่บ้าง แต่ความสัมพันธ์ของนางกับจ้าวจื่ออวี้หรือเนี่ยอวิ๋นกลับไม่ได้ลึกซึ้งถึงขั้นจะแบกหน้าไปรบกวนองค์หญิงหมิงเวยได้
ครั้นเห็นว่ามู่ชิงอีตกลงรับปากแล้ว จ้าวจื่ออวี้และเซ่าจิ่นก็ไม่อยู่ต่อนานนัก “เช่นนั้นพวกเราไม่ขอรบกวนองค์หญิงแล้ว ขอแค่ช่วยเนี่ยอวิ๋นได้ก็ถือว่าจวนอานซีจวิ้นอ๋องติดหนี้บุญคุณขององค์หญิง”
มู่ชิงอีใจกระตุกวาบ งุดหน้าเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
กลับถึงจวน มู่ชิงอีก็เรียกอิ๋งเอ๋อร์และอู๋ซินมา วันนี้นางเจอคนมาไม่น้อย เรื่องในใจของนางมีมากขึ้นกว่าเดิมย่อมอยากถามให้กระจ่างโดยเร็วอยู่แล้ว “อิ๋งเอ๋อร์ ตกลงเชียนหลิงเป็นใครกันแน่”
อิ๋งเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ พลางเอ่ย “หลังจากงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวาพวกเราก็ส่งคนไปตามสืบแล้ว แต่เวลานี้กลับไม่รู้แน่ชัดว่าเชียนหลิงเป็นใคร และไม่รู้ว่านางมาจากไหนด้วย แต่ลำพังตัวของคุณชายเว่ยเองก็ลึกลับมากเช่นกัน ดังนั้นหากสืบหาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร พวกเราสืบหาเจอเพียงว่าเหมือนจู่ๆ เมื่อสามปีก่อนเชียนหลิงก็ปรากฏตัวข้างกายคุณชายเว่ย ปกติหากคุณชายเว่ยไปที่ใดก็จะพานางไปด้วยแต่กลับไม่เคยเปรยสถานะของนางให้คนนอกรู้เลย ดังนั้นคนนอกถึงไม่ได้สนใจนาง อีกอย่างสุขภาพของนางก็แย่มากจริงๆ ดังนั้นเวลาส่วนมากจึงรักษาตัวอยู่ในจวน อยู่ดีๆ ครั้งนี้คุณชายเว่ยก็พานางปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนถึงได้ตกเป็นเป้าสายตาของคนมากมายเช่นนี้”
“ไม่รู้สถานะแน่ชัดหรือ” มู่ชิงอีมุ่นคิ้ว ดูจากท่าทางของเชียนหลิงแล้วก็ไม่เหมือนเป็นภรรยาที่ดีของเว่ยอู๋จี้เท่าไรนัก หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือแทบจะเป็นตัวถ่วงอย่างสิ้นเชิง เว่ยอู๋จี้ต้องรักนางมากขนาดไหนถึงหอบหิ้วนางไปด้วยทุกที่ แต่ว่าเว่ยอู๋จี้เป็นคุณชายคลั่งรักเช่นนี้จริงๆ อย่างนั้นหรือ หากจะกล่าวว่าเชียนหลิงเสแสร้ง แต่ในสายตาของนาง ท่าทีหวงแหนเว่ยอู๋จี้ และเจตนาที่แสดงกับหญิงสาวคนอื่นกลับไม่ใช่เรื่องเสแสร้งเลยสักนิด
———————
[1]หากไม่มีเรื่องร้อนใจคงไม่เข้าอุโบสถ หมายถึงหากไม่มีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็คงไม่ถ่อมาหา
ตอนต่อไป