ฮ่องเต้แคว้นหวาขบคิดครู่หนึ่งถึงเอ่ยตรัส “หลายวันมานี้องค์หญิงหมิงเจ๋อจะต้องเข้ามาอยู่ในวัง นางไม่ค่อยคุ้นชินกับวังนัก ช่วงนี้เจ้าคอยติดตามดูแลนางก่อนก็แล้วกัน”
และเป็นไปตามคาด ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นหวาจะปล่อยเนี่ยอวิ๋นแล้ว แต่เวลานี้กลับยังไม่อยากให้เขากลับมาติดตามรับใช้ตนเหมือนเคย หากเขาเคยทำเรื่องน่าอายเอาไว้สักเรื่องแล้วถูกใครบางคนเห็นอยู่ในสายตามาตลอด จนกระทั่งวันที่เขารู้ตัวก็ย่อมเป็นการยากที่จะให้คนๆ นี้คอยติดตามอยู่ข้างกายต่อไป เพราะทุกครั้งที่เห็นเขาก็จะนึกถึงเรื่องโง่เขลาของตนเอง
เห็นทีเนี่ยอวิ๋น...จะไม่ได้โชคร้ายธรรมดาๆ เท่านั้นแล้ว
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” เนี่ยอวิ๋นเอ่ยอย่างนอบน้อม บนใบหน้าไร้ซึ่งความไม่พอใจใดๆ ทั้งสิ้น
หลังจากรับสั่งเรื่องมู่ชิงอีเสร็จก็เหมือนว่าฮ่องเต้แคว้นหวาจะไม่อยากเห็นเนี่ยอวิ๋นเท่าไรนัก เขาลุกขึ้นเตรียมเสด็จกลับ “เรายังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการต่อ หมิงเจ๋อ หากเจ้าไม่มีธุระใดก็เดินเล่นก่อนเถิด เราให้ฮองเฮาส่งคนไปจัดแจงเรือนรับรองหมิงฟังแล้ว หากขาดเหลือสิ่งใดก็ถามฮองเฮากับโหรวเฟยได้เลย”
มู่เฟยหลวนรีบยิ้มกล่าว “ฝ่าบาททรงเมตตานัก หม่อมฉันจะดูแลองค์หญิงเป็นอย่างดีเลยเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาพยักหน้าแล้วหมุนตัวเสด็จออกจากพระตำหนักหวาหยางไป
มู่เฟยหลวนและมู่ชิงอีใช้สายตาชิงชังฟาดฟันกัน ในเมื่อมู่เฟยหลวนไม่ได้เป็นคนเรียกนางเข้าเฝ้า ฮ่องเต้แคว้นหวาก็เสด็จกลับไปแล้ว มู่ชิงอีย่อมไม่อยู่ต่อนาน ครั้นมู่เฟยหลวนเห็นมู่ชิงอีหมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ใบหน้างดงามของมู่เฟยหลวนพลันบึ้งตึงขึ้นมาทันที กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นพร้อมทั้งดึงกระชากมันอย่างไม่รู้ตัว
“พระสนมเพคะ อย่าทรงกริ้วไปเลย องค์ชายน้อยสำคัญกว่า” หลายวันนี้มู่เฟยหลวนมักจะอารมณ์ร้อนฉุนเฉียว หลายครั้งที่เกรี้ยวโกรธจนเกิดอาการปวดท้อง นางในอาวุโสที่คอยดูแลข้างกายเห็นสีหน้าบูดบึ้งของนางก็เป็นกังวลจนรีบพูดเกลี้ยกล่อมทันที
“มามา[1] เจ้าว่าฝ่าบาททำเช่นนี้กับมู่ชิงอีหมายความว่าอย่างไร” มู่เฟยหลวนเอ่ยเสียงขรึม
มามาผู้นี้ก็คือคนสนิทและเป็นคนที่มู่เฟยหลวนไว้วางใจที่สุด นับตั้งแต่มู่เฟยหลวนเข้าวังมาก็คอยติดตามดูแลรับใช้นางมาตลอด ฉะนั้นมามาผู้นี้จึงรู้เหตุการณ์ในตอนนั้นไม่น้อย นางเองก็งงงวยกับท่าทีของฮ่องเต้แคว้นหวาเช่นกันจึงเอ่ยอย่างลังเลว่า “หากฝ่าบาททรงถูกตาต้องใจองค์หญิงหมิงเจ๋อขึ้นมาจริงๆ เรื่องแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ย่อมไม่มีทางแต่งตั้งเป็นถึงองค์หญิงแน่นอนเพคะ”
มู่เฟยหลวนแค่นเสียงเย็นชาออกมาทีหนึ่งแล้วเอ่ย “มู่ชิงอีมิใช่พระธิดาของฝ่าบาทสักหน่อย! อีกอย่างใบหน้านั้นของนาง…ทำเอาข้าอดฝันร้ายไม่ได้อยู่ร่ำไป! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าด้วยนิสัยของฝ่าบาทแล้วจะเอาบุตรสาวของคนอื่นมาเป็นพระธิดาของพระองค์ได้จริงๆ!” นิสัยโดยแท้ของฮ่องเต้แคว้นหวาเยือกเย็นไร้ความปรานี แม้แต่พระธิดาของพระองค์เองยังมิเห็นจะทรงรักใคร่เท่าใดเลย แล้วพระองค์จะรักบุตรสาวของคนอื่นจากใจจริงได้อย่างไร นางไม่เชื่อหรอก!
“พระสนมเพคะ…” มามาดูเป็นห่วงไม่น้อย พระสนมอย่าทรงทำเรื่องที่โง่เขลาเพราะอารมณ์ชั่ววูบเลย
มู่เฟยหลวนยกยิ้มที่มุมปากเอ่ยเสียงเย็นชา “มามาอย่ากังวลไปเลย ข้ารู้ว่าควรทำเช่นใด”
ในสวนดอกไม้
มู่ชิงอีสาวเท้าเดินไปเบื้องหน้า จูเอ๋อร์และอิ๋งเอ๋อร์ตามอยู่ด้านหลัง ส่วนเนี่ยอวิ๋นเดินตามรั้งท้ายด้วยท่าทีเงียบขรึม เมื่อเทียบกับมู่ชิงอีและอิ๋งเอ๋อร์ที่เดินด้วยท่วงท่าสบายๆ แล้ว จูเอ๋อร์กลับดูเป็นกังวลและหวาดกลัวเล็กน้อย ถึงแม้นางจะเป็นเพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่ง แต่นางย่อมเคยได้ยินชื่อองครักษ์ผู้มีสมญานามว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวาอยู่แล้ว อีกทั้งเวลานี้บุคคลสำคัญผู้นี้ได้กลายเป็นองครักษ์ติดตามของคุณหนูอีกต่างหาก…ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง แน่นอนว่า…บัดนี้คุณหนูของตนมีสถานะเป็นองค์หญิงแล้วและมีสถานะสูงส่งกว่าเนี่ยอวิ๋นมาก แต่จูเอ๋อร์ที่ชินกับการเป็นบ่าวรับใช้ตัวน้อยๆ ที่ไม่เข้าตาใครกลับต้องมาเดินอยู่เบื้องหน้าบุคคลเก่งกาจเช่นนี้ นางเลยอดไม่ได้ที่จะทำตัวไม่ถูก
มู่ชิงอีเดินทอดน่องในสวนอย่างเนิ่บนาบไร้จุดหมายปลายทาง ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงเจตนาดีถึงให้นางเข้ามาอยู่ในวัง นางจึงเอ่ยปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เป็นโอกาสที่ไม่เลวที่จะทำให้นางได้เข้าใกล้จูอวิ๋นผินและมู่เฟยหลวน ความจริงมีเนี่ยอวิ๋นผู้นี้เป็นองครักษ์ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือคาดว่าคงไม่มีใครจะกล้าหาเรื่องนาง ส่วนข้อเสียก็คือนางเองก็จนปัญญาจะหาวิธีไปหาเรื่องคนอื่นได้เช่นกัน
มู่ชิงอีชะงักฝีเท้าลงแล้วหันไปมองเนี่ยอวิ๋นที่เดินตามติดอยู่ด้านหลังตนโดยไม่พูดไม่จาสักคำ เนี่ยอวิ๋นเองก็ชะงักฝีเท้าลงแล้วเอ่ยเสียงนอบน้อมว่า “องค์หญิงมีอันใดรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ชิงอีส่ายศีรษะ กวาดตามองเนี่ยอวิ๋นอยู่นานถึงเอ่ย “ฝ่าบาทให้หัวหน้าองครักษ์เนี่ยมาคอยติดตามดูแลข้าเช่นนี้ช่างเป็นการใช้งานไม่ถูกคนเลยจริงๆ หัวหน้าองครักษ์เนี่ยไม่น้อยใจบ้างหรือ”
เนี่ยอวิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ทั้งคำกล่าวโทษและคำชมเชยล้วนเป็นดั่งพระมหากรุณาธิคุณของกษัตริย์ เนี่ยอวิ๋นทำได้เพียงปฏิบัติตามพระราชโองการของฝ่าบาทเท่านั้น กระหม่อมจะน้อยใจได้อย่างไร”
“ขุนนางที่จงรักภักดีอย่างหัวหน้าองครักษ์เนี่ยช่างหาได้ยากนัก” มู่ชิงอียิ้มกล่าว
มู่ชิงอีพอจะรู้เรื่องภูมิหลังของเนี่ยอวิ๋นมาก่อนหน้านี้แล้ว เขาเป็นบุตรชายภรรยาเอกที่ไม่ค่อยเป็นที่โปรดปรานนักของตระกูลผู้มีความรู้ในเมืองหลวง ทว่าเขากลับทิ้งความรู้ทางตำรามาเอาดีทางวิทยายุทธ์แทน โดยเรียนวิทยายุทธ์มาจากอดีตยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแคว้นหวาอย่างบิดาของอานซีจวิ้นอ๋องจ้าวจื่ออวี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับจ้าวจื่ออวี้เลยก็ว่าได้ ไม่คิดว่าบิดาของอานซีจวิ้นอ๋องจะสอนบุตรชายให้เป็นยอดฝีมือแห่งยุคไม่ได้แต่กลับสอนลูกศิษย์ที่ฝีมือเก่งกาจอย่างเขาได้ แต่ก็เพราะเหตุนี้เนี่ยอวิ๋นและตระกูลเนี่ยถึงสายสัมพันธ์ขาดสะบั้น เนี่ยอวิ๋นถูกฝ่าบาทจับขังคุกครั้งนี้ก็ไม่มีใครออกหน้าช่วยเขาสักคน และด้วยมิตรภาพนี้ ก็ไม่แปลกที่จ้าวจื่ออวี้ถึงกับยอมเปลืองแรงเพื่อช่วยเขามากขนาดนี้
มู่ชิงอีย่อมไม่พูดเรื่องที่ตนเป็นคนเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้แคว้นหวาเพื่อช่วยเนี่ยอวิ๋นอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้หากตนพูดออกมากลับจะดูเหมือนเป็นการขอความดีความชอบมากกว่า นางเชื่อว่าขอแค่เนี่ยอวิ๋นอยากรู้ เขาก็ต้องรู้ให้ได้แน่นอน
“ข้าอยากเรียนรู้วิธีการป้องกันตัว ไม่รู้ว่าหัวหน้าองครักษ์เนี่ยจะช่วยสอนให้ข้าได้หรือไม่” มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว
เนี่ยอวิ๋นผงะไป เขานึกไม่ถึงว่าองค์หญิงที่ฝ่าบาทเพิ่งแต่งตั้งยศให้ผู้นี้จะเอ่ยคำขอนี้ขึ้นมา ตัวของฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้ อีกทั้งในเมืองหลวงเองก็ไม่ได้มีธรรมเนียนเรียนการต่อสู้ในเหล่าตระกูลผู้รากมากดีเช่นกัน แม้แต่เหล่าองค์หญิงในวังเองก็ไม่มีใครให้ความสนใจ
เนี่ยอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ย “องค์หญิงมีสถานะสูงส่งย่อมต้องมีองครักษ์คอยติดตามคุ้มกันอยู่แล้ว เหตุใดองค์หญิงถึงอยากเรียนเองเล่าพ่ะย่ะค่ะ หากองค์หญิงไว้ใจกระหม่อม กระหม่อมก็ยินดีช่วยองค์หญิงเลือกองครักษ์ข้างกายให้”
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “หาปลาให้กินหรือจะสู้ตกปลากินเอง ถึงแม้จะคนละเรื่องกันแต่ก็เป็นหลักการเดียวกัน ถึงแม้องครักษ์จะมีวรยุทธ์ที่แกร่งกล้า แต่ใครจะรับประกันได้ว่าข้าจะมีองครักษ์คอยตามติดตัวตลอดเล่า” มู่ชิงอีมีความคิดนี้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่นางไม่ได้คลั่งไคล้ปรารถนาอยากเรียนมันมากนัก เพราะนางรู้ดีว่าจุดเด่นของนางไม่ได้อยู่ที่การต่อสู้ อีกอย่างนางไม่ได้สนใจจอมยุทธ์ยอดฝีมือที่เอาชนะคนเป็นสิบได้อะไรนั่นเลย คุณหนูใหญ่ตระกูลกู้เล่นแต่ดนตรีเล่นแต่หมากรุก กลยุทธ์ลูกไม้แพรวพราว แค่นี้ก็ทำเอาคนมากมายปวดเศียรเวียนเกล้ากันแล้ว แต่นางกลับไม่คัดค้านหากจะเก็บไผ่ไม้ตายไว้กับตัวเองบ้าง ประจวบกับตอนอยู่ในวังคงมีช่วงระยะเวลาที่แสนน่าเบื่อและบังเอิญนางก็มียอดฝีมือคนหนึ่งคอยติดตามนางอยู่พอดี
เนี่ยอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ย “องค์หญิง…เลยช่วงอายุที่จะฝึกฝนได้แล้ว อีกทั้งยังไม่มีพื้นฐานติดตัวด้วย อีกอย่าง…เหมือนว่าสุขภาพเองก็ใช่ว่าจะดีนัก หากเริ่มเรียนตั้งแต่ต้นคงลำบากไม่น้อย…และผลลัพธ์ที่ได้ก็คงไม่ดีเท่าไรนัก” มู่ชิงอีเข้าใจ ปกติการเรียนศิลปะการต่อสู้ทางที่ดีควรจะเริ่มเรียนตั้งแต่ช่วงวัยเยาว์ ขนาดช่วงอายุสิบสองสิบสามก็ถือว่ามากสุดแล้ว เนี่ยอวิ๋นเอ่ยปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม หากอิงจากคุณสมบัติของนาง เกรงว่าจะเป็นการลงแรงไปมากแต่กลับได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควรมากกว่า
ทว่ามู่ชิงอีกลับไม่ได้ผิดหวังกับเรื่องนี้เลย หากวันใดนางต้องอาศัยศิลปะป้องกันตัวมากกว่าอาศัยสมองของตัวเองแล้ว เช่นนั้นก็แสดงว่าสถานการณ์ย่ำแย่มากทีเดียว
———————-
[1]มามา ใช้เรียกนางกำนัลอาวุโสในวัง
ตอนต่อไป