ถึงแม้มู่ชิงอีจะไม่คิดอะไรมากนัก ทว่าเนี่ยอวิ๋นกลับเห็นท่าทีผิดหวังอย่างมากของนาง ดังนั้นเขาจึงเงียบไปพักหนึ่งแล้วเสนอขึ้นมาด้วยท่าทีจริงจังว่า “หากองค์หญิงอยากเรียนจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นก็เรียนพวกแผนลวงค่ายกลและวิชาตัวเบาอะไรทำนองนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ”
มู่ชิงอีได้ฟังเช่นนั้นก็ดวงตาเป็นประกาย นางเลิกคิ้วแสร้งยิ้มผิดหวังเอ่ย “ข้านึกว่าหัวหน้าองครักษ์เนี่ยจะบอกว่าใช้วิชาถ่ายทอดผ่านทางหัวส่งต่อไปยังเส้นชีพจรลมปราณให้ข้าได้เสียอีก” เนี่ยอวิ๋นแสดงท่าทีกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย “เรื่องนี้…กระหม่อมความรู้น้อยนักเลยไม่เคยได้ยินวิทยายุทธ์พวกนี้มาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นเห็นเนี่ยอวิ๋นเอ่ยอย่างซื่อสัตย์เช่นนั้น มู่ชิงอีก็อดฉีกยิ้มออกมาไม่ได้ ฉับพลันมู่ชิงอีก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเส้นทางของเนี่ยอวิ๋นถึงแตกต่างไปจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เกิดมาจากตระกูลและสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน ทว่านิสัยกลับเป็นปัจจัยหลักมากกว่า
ครั้นเห็นสาวน้อยในชุดสีเหลืองตรงหน้าหัวเราะร่า เนี่ยอวิ๋นก็ยิ่งกระอักกระอ่วนใจตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเลยเอ่ยถามว่า “องค์หญิงยังอยากเดินเล่นในสวนอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
มู่ชิงอีปิดปากยิ้มส่ายศีรษะแล้วกล่าว “ไม่ต้องแล้ว ไปดูเรือนรับรองหมิงฟังกันดีกว่า”
“พ่ะย่ะค่ะ” เนี่ยอวิ๋นเอ่ยเสียงขรึม
“…” เมื่อในสวนดอกไม้อยู่ในความสงบ มู่ชิงอีก็เอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “หัวหน้าองครักษ์เนี่ยโปรดนำทางเถิด เพราะข้า…ไม่รู้ทาง”
เนี่ยอวิ๋นมองมู่ชิงอีเงียบๆ แวบหนึ่งแล้วถึงเดินนำหน้าไป มู่ชิงอีกับอิ๋งเอ๋อร์ที่เดินตามอยู่ด้านหลังสบตากันแล้วลอบขำ ต่างก็เห็นว่าใบหูของเนี่ยอวิ๋นขึ้นสีแดงระเรื่อ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวาช่างหน้าบางนัก หากเทียบกับองค์ชายเก้าล่ะก็คงแพ้ราบคาบทีเดียว เพราะอย่างน้อยเขาก็หน้าบางกว่าคนๆ นั้นเยอะ
มู่ชิงอีอยู่ในเรือนรับรองหมิงฟังอย่างอิสระ เหล่าองค์หญิงเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจว่าอะไรควรหรือไม่ควร ถึงแม้พวกนางจะไม่ได้ตีซี้สนิทสนมกับผู้มาเยือนโดยกะทันหันคนนี้แต่ก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาเกินกว่าเหตุ นอกจากองค์หญิงไหวหยางที่ถูกส่งตัวมาอยู่ในวังจะดูซึมๆ ไปบ้างเท่านั้น เห็นได้ชัดว่านางรู้กำหนดการเรื่องการอภิเษกของตนแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกว่านางจะอารมณ์บุ่มบ่ามฉุนเฉียวกว่าเมื่อก่อนเมื่อเทียบกับตอนเจอกันไม่กี่ครั้งก่อนหน้านี้มาก และเห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจเรื่องการอภิเษกของตนเองแต่ก็ไร้ความสามารถจะคัดค้านได้ เดิมทีขอบเขตในการเลือกสรรขององค์หญิงที่มาเกี่ยวดองมักถูกจำกัดไว้อยู่แล้ว เช่นนั้นจะมีอิสระได้มากเพียงใดกัน
บ่ายวันนั้นเนี่ยอวิ๋นก็ไปหาหนังสือเกี่ยวกับค่ายกลและกลลวงมาให้นางอ่าน รวมถึงยังถือโอกาสสอนวิธีการเล่นกลลวงพื้นฐานง่ายๆ และกลลวงที่เห็นได้บ่อยๆ ไม่กี่อย่างให้ด้วย นางพลันรู้สึกอดชื่นชมเขาไม่ได้ ความจริงแล้วเนี่ยอวิ๋นถือเป็นอาจารย์ที่ดี ทว่าความรู้ทางด้านศิลปะการต่อสู้นี้ไม่อาจแทรกซึมเข้าสมองอันชาญฉลาดของมู่ชิงอีได้เลย เดิมทีเนี่ยอวิ๋นเตรียมจะสอนกระบวนท่าดาบสักท่าให้ แต่ในขณะเดียวกันกระบวนท่าที่เนี่ยอวิ๋นทำให้ดูเจ็ดแปดรอบนางกลับเรียนรู้ทำตามไม่ได้แม้แต่น้อย กระทั่งอิ๋งเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นว่าน่าสนุกดีจึงเข้ามาร่วมวงด้วยยังเรียนรู้ทำตามได้เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว แต่มู่ชิงอีกลับยังคงทุลักทุเลทำไม่ได้เหมือนเคย มู่ชิงอีเชื่อว่าหากนางไม่ใช่องค์หญิง เนี่ยอวิ๋นตรงหน้าคงตราหน้านางว่าเป็นไม้ผุที่สลักไม่ได้[1] ไปแล้ว
ณ จวนเนี่ย เมืองหลวง
ถึงแม้เดิมทีเนี่ยอวิ๋นจะเกิดมาจากตระกูลผู้ดีซึ่งถือว่ามีหน้ามีตาในสังคมเมืองหลวง ทว่าหลังจากเนี่ยอวิ๋นไหว้ท่านพ่อของอานซีจวิ้นอ๋องขอเป็นศิษย์จึงถูกตัดขาดจากครอบครัว เห็นได้ชัดว่าเนี่ยอวิ๋นที่เกิดมาจากตระกูลสูงส่งผู้มีความรู้ที่แสนน่าภาคภูมิใจนี้แต่เขากลับไม่รับการสืบทอด แต่กลับตัดสินใจเรียนวิทยายุทธ์ที่ดูหยาบกระด้างแทน ถึงแม้นั่นอาจจะทำให้พวกเขาสามารถมีความเกี่ยวดองกับท่านอ๋องที่มีคุณงามความดีเชิดหน้าชูตาในเมืองหลวงได้ แต่คนในตระกูลนี้กลับหัวโบราณเอาแต่รักในความภาคภูมิและศักดิ์ศรีของตนเองเลยขับไล่บุตรชายภรรยาเอกที่เห็นแล้วขัดหูขัดตาอย่างเนี่ยอวิ๋นออกจากจวนไป ถึงแม้เนี่ยอวิ๋นจะมีนิสัยสุขุมเยือกเย็น แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไข่อ่อนที่ใครๆ ก็บีบย่ำยีเขาได้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ก้าวเข้าไปเหยียบประตูจวนของตระกูลเนี่ยอีก ถึงแม้เขาจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าองครักษ์ของวังหน้าแล้วก็ตามแต่ก็ไม่ได้กลับไปคืนดีกับครอบครัว บัดนี้จวนที่ใช้พักพิงกายก็คือจวนที่ฮ่องเต้แคว้นหวาพระราชทานให้หลังจากที่เขาได้ขึ้นเป็นหัวหน้าองครักษ์นั่นเอง
เนี่ยอวิ๋นกลับมายังจวนของตน เซ่าจิ่นและจ้าวจื่ออวี้รออยู่ข้างในก่อนแล้ว พวกเขาทั้งสามคนสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว พวกเขาสองคนนับว่าเป็นแขกประจำจวนเนี่ยไปแล้ว ต่อให้เจ้าบ้านจะไม่อยู่แต่บ่าวรับใช้ที่อยู่ในจวนก็เปิดประตูต้อนรับขับสู้อย่างดี ทว่าครั้นเนี่ยอวิ๋นเห็นพวกเขาสองคนกลับตกใจเล็กน้อย “พวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน”
เซ่าจิ่นยกถ้วยชาในมือขึ้น จากนั้นก็ใช้น้ำชาแทนเหล้ากล่าวขึ้นว่า “ก็มาแสดงความยินดีที่ในที่สุดเจ้าก็หลุดพ้นจากการถูกปรักปรำเสียที”
เนี่ยอวิ๋นส่ายศีรษะอย่างระอาใจ จ้าวจื่ออวี้เอียงศีรษะมองเขาแล้วเอ่ย “ฝ่าบาทตรัสว่าอะไรบ้าง ข้าได้ยินว่าเจ้าถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกเลยนึกว่าจะรีบตรงกลับจวนมาเลยเสียอีก คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะให้เจ้าอยู่ในวังต่อ” พวกเขาต่างรู้แก่ใจดีว่าเนี่ยอวิ๋นไม่เป็นอะไรแล้ว กลัวก็แต่จะถูกฮ่องเต้แคว้นหวาตัดหางปล่อยวัดช่วงหนึ่งมากกว่า แต่ได้ออกมาเร็วขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ศัตรูของเนี่ยอวิ๋นเองก็ไม่น้อย หากอยู่ในคุกนานวันเข้าใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่
เนี่ยอวิ๋นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “องค์หญิงหมิงเจ๋ออยู่ในวังเป็นการชั่วคราว ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าคอยดูแลคุ้มกันนาง”
“องค์หญิงหมิงเจ๋อหรือ” เซ่าจิ่นและจ้าวจื่ออวี้สบตากัน จากนั้นก็หยัดกายนั่งตัวตรงมองไปทางเนี่ยอวิ๋น
“ทำไมหรือ” เนี่ยอวิ๋นเลิกคิ้วถาม
จ้าวจื่ออวี้เงียบไปครู่หนึ่งถึงเปิดปาก “เมื่อวาน…ข้ากับเซ่าจิ่นไปขอร้องให้องค์หญิงหมิงเจ๋อช่วยออกหน้าพูดเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้ปล่อยเจ้าไป” เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อจะกระทำการรวดเร็วถึงเพียงนี้ เมื่อวานเพิ่งขอร้องไป วันนี้ก็ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว สำหรับฝ่าบาทแล้วความสำคัญขององค์หญิงหมิงเจ๋อเหนือกว่าเหล่าองค์หญิงตัวจริงเหล่านั้นเสียอีก
“เหตุใดฝ่าบาทถึงให้เจ้าติดตามองค์หญิงหมิงเจ๋อได้เล่า เป็นเพราะ…องค์หญิงหมิงเจ๋อร้องขออย่างนั้นหรือ” เซ่าจิ่นลังเลอยู่พักหนึ่งถึงได้เอ่ยถามออกมา เนี่ยอวิ๋นส่ายศีรษะ “ไม่น่าใช่ ตอนที่ฝ่าบาทมีรับสั่ง เหมือนว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อจะตกใจด้วยซ้ำ” อีกอย่างถึงแม้องค์หญิงหมิงเจ๋อจะดูอ่อนหวานยิ้มแย้ม แต่เนี่ยอวิ๋นติดตามรับใช้ฮ่องเต้แคว้นหวามานานหลายปีแล้วจึงจับสังเกตหน้าตาและคำพูดคำจาของนางได้ว่าความจริงแล้วองค์หญิงหมิงเจ๋อไม่ได้ชอบให้เขาติดตามดูแลนางเท่าไรนัก
“ขอบใจพวกเจ้ามาก” เนี่ยอวิ๋นมองเซ่าจิ่นและจ้าวจื่ออวี้พลางขบคิดบางอย่าง ตนถูกฝ่าบาทจับขังคุก ทั่วทั้งเมืองหลวงคนที่เป็นเดือดเป็นร้อนวิ่งเต้นช่วยตนจากใจจริง คาดว่าคงมีเพียงจ้าวจื่ออวี้และเซ่าจิ่นกระมัง
จ้าวจื่ออวี้ยิ้มกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “พี่น้องกันเอง เจ้าจะพูดเช่นนี้ทำไมกัน แต่ว่า…องค์หญิงหมิงเจ๋อนั่น ทางที่ดีเจ้าให้นางระวังตัวหน่อยจะดีกว่า”
เนี่ยอวิ๋นเลิกคิ้วจับจ้องจ้าวจื่ออวี้ จ้าวจื่ออวี้ถอนหายใจเสียงเบาท่าทางเหนื่อยใจแล้วเอ่ยขึ้น “เรื่องเมื่อสามปีก่อน…เจ้ายังจำได้หรือไม่”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น เนี่ยอวิ๋นก็อดสีหน้าเปลี่ยนไม่ได้ตนเป็นองครักษ์ติดตามฮ่องเต้แคว้นหวามานาน ถึงแม้มีเรื่องมากมายที่ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่อยากให้เขารู้แต่ความจริงกลับยากจะปกปิดเขาได้ เพียงแต่เพราะเขาเป็นขุนนาง อีกทั้งยังเป็นขุนนางที่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้แคว้นหวามากอีกด้วย เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือควรรู้ว่าเรื่องใดควรจำเรื่องใดควรลืม เรื่องใดควรฟังเรื่องใดไม่ควรฟัง แต่เรื่องบางเรื่องใช่ว่าบทจะลืมก็ลืมได้
เมื่อเห็นเนี่ยอวิ๋นมีสีหน้าย่ำแย่ขึ้นมาชั่วขณะเช่นนั้น เซ่าจิ่นก็ขมวดคิ้วมุ่นแต่กลับไม่ได้ถามอะไร เรื่องบางเรื่อง การไม่รู้อะไรเลยก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่เสมอไป
“นางคือ…”
“เจ้าไม่รู้หรือ นางเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหว” จ้าวจื่ออวี้เอ่ยเสียงไม่ยี่หระเท่าไรนัก “แต่เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข้าว่าฝ่าบาท…น่าจะเห็นนางเป็นดั่งพระธิดามากกว่า” ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นหวาจะคิดอะไรกับนางแต่ย่อมไม่มีทางแต่งตั้งมู่ชิงอีให้เป็นองค์หญิงแน่นอน อีกอย่างยังพระราชทานราชทินนามให้ว่าหมิงเจ๋อด้วย เพียงแต่น่าเสียดายถึงแม้จ้าวจื่ออวี้จะคาดเดาความคิดของฮ่องเต้แคว้นหวาออกแต่กลับคาดเดาความคิดของมู่ชิงอีไม่ออกเสียอย่างนั้น
———————–
[1]ไม้ผุที่สลักไม่ได้ สำนวนนี้แปลว่าสอนแล้วไม่จำหรือก็คือโง่นั่นเอง
ตอนต่อไป