“พระสนมสนิทกับพระสนมอวิ๋นผินหรือไม่เพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยถามท่าทางไม่ใส่ใจนัก หรงเฟยชะงักไปแล้วมองมู่ชิงอีอย่างสงสัยราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ นางถึงถามถึงอวิ๋นเฟยขึ้นมาได้ มู่ชิงอีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้พระสนมอวิ๋นผินแวะเวียนมาหาข้าอยู่หลายครั้ง ข้าเลยรู้สึก…”
ครั้นเห็นท่าทีอึกอักของมู่ชิงอีเช่นนั้น ฉับพลันหรงเฟยก็คิดว่าตนนั้นเข้าใจแล้วเลยเอ่ยยิ้มปลอบว่า “ไม่ต้องคิดมากไป แต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นผินมีใจเมตตากับทุกคนและไม่ชอบก่อเรื่องอีกต่างหาก ถ้าเทียบกับบุตรชายทั้งสองของนางแล้วแตกต่างกันอย่างลิบลับ องค์หญิงเพิ่งเข้าวังมา นางเลยกลัวว่าตนจะบกพร่องส่วนใดไปเลยต้องแวะเวียนมาหลายครั้งหน่อยกระมัง”
มู่ชิงอีตกใจเล็กน้อย เพราะดูท่าทางมู่หรงจ้าวจะชิงชังมู่หรงอวี้มาก แต่หรงเฟยกลับไม่ได้มีอคติอะไรกับอวิ๋นผินเลย
ดูท่าแล้วอวิ๋นผินผู้นี้คงวางตัวดีไม่เบา ไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหญิงเท่านั้น เพราะแม้แต่หรงเฟยที่มองไม่เห็นหัวใครยังพลอยรู้สึกว่านางดีไปด้วยอีกคน ก็ไม่แปลกเพราะในวังมีเพียงนางที่ให้กำเนิดบุตรชายสองคนและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่กันหมดแล้ว ทว่าช่วงนี้อวิ๋นผินที่ทำอะไรราบรื่นมาโดยตลอดกลับพบเจอกับความโชคร้ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ มู่ชิงอีผุดรอยยิ้มเย็นชาพาดผ่านทางแววตา นางอยากรอดูความอดทนอดกลั้นของอวิ๋นผินเหลือเกิน
พอส่งหรงเฟยกลับไปแล้ว จู่ๆ เนี่ยอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านหลังเงียบๆ มาตลอดก็เอ่ยว่า “เหมือนว่าองค์หญิงจะสนใจพระสนมอวิ๋นผินมากเป็นพิเศษ”
มู่ชิงอีหันไปมองเนี่ยอวิ๋นแล้วคลึงหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้าเคยบอกแล้วว่าหัวหน้าองครักษ์เนี่ยไม่จำเป็นต้องรักในหน้าที่ขนาดนั้นก็ได้ นั่งลงเถิด” ตั้งแต่เมื่อวานที่เนี่ยอวิ๋นปรากฎตัวต่อหน้านางอีกครั้ง สายตาที่เขาใช้มองนางก็เปลี่ยนไป ถึงแม้มู่ชิงอีจะวิเคราะห์ไม่ออกในทันทีว่าสายตาที่เนี่ยอวิ๋นมองนางสื่อความหมายว่าเช่นไร แต่อย่างน้อยนางก็มั่นใจว่าเนี่ยอวิ๋นไม่ได้มีเจตนาร้ายกับตนแน่นอน กระทั่งดูเป็นห่วงนางเสียด้วยซ้ำ
เนี่ยอวิ๋นก้มหน้ากล่าว “กระหม่อมมิบังอาจ”
“เจ้าเป็นหัวหน้าองครักษ์ ไม่ใช่องครักษ์ติดตามข้าจริงๆ เสียหน่อย เจ้าแสดงท่าทีเคารพยำเกรงเช่นนี้…กลับทำให้ข้ารู้สึกทำตัวไม่ถูก ยิ่งไปกว่านั้น…อย่างไรเสียเจ้าก็สอนวิทยายุทธ์ให้ข้าด้วย ตามหลักแล้วข้าควรเรียกเจ้าว่าอาจารย์มากกว่ากระมัง” มู่ชิงอียิ้ม ประโยคสุดท้ายที่ควรเรียกว่าอาจารย์ย่อมเป็นการหยอกเย้าเท่านั้น เนี่ยอวิ๋นรีบเอ่ย “กระหม่อมมิบังอาจ”
“หัวหน้าองครักษ์เนี่ย!” มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่นอย่างจนใจแล้วกล่าว “ข้าสั่งให้เจ้านั่ง! ข้าไม่อยากเอาแต่แหงนหน้าคุยกับเจ้า”
เนี่ยอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ฟังคำสั่งแล้วนั่งลง มู่ชิงอีมองเขาครู่หนึ่งถึงเอ่ยยิ้ม “เจ้าพูดถูกแล้ว ข้ารู้สึกสนใจพระสนมอวิ๋นผินขึ้นมาจริงๆ หัวหน้าองครักษ์เนี่ยรู้เรื่องอันใดบ้างหรือไม่” เนี่ยอวิ๋นมุ่นคิ้วกล่าว “เรื่องในวังวุ่นวายซับซ้อน องค์หญิง…ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นเลยจะเป็นการดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” มู่ชิงอีขยิบตาแล้วยิ้มเอ่ย “หรือว่าพระสนมอวิ๋นผินมีจุดไหนที่ดูแปลกพิกลจนทำให้หัวหน้าองครักษ์เนี่ยปิดบังไม่กล้าพูดอย่างนั้นหรือ ข้าก็แค่ค่อนข้างประหลาดใจกับท่าทีของพระสนมอวิ๋นผินเท่านั้น อย่างไรเสีย…นางก็มานั่งคุยเป็นเพื่อนข้าทุกวี่วันอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล ทว่าคนที่ไม่คิดยั่วยุให้ข้าไปต่อกรกับคนอื่นเช่นนี้ช่างมีน้อยนัก เจ้าว่าเป็นเพราะพระสนมอวิ๋นผินชอบข้ามากใช่หรือไม่เล่า”
เนี่ยอวิ๋นเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยเสียงขรึมว่า “ทางที่ดีองค์หญิงอย่ายุ่งกับอวิ๋นผินมากเกินไปเลยจะดีกว่า” มู่ชิงอียิ้มตาหยี เนี่ยอวิ๋นรู้เรื่องไม่น้อยจริงๆ ด้วย แต่มู่ชิงอีรู้ว่าต้องค่อยๆ เข้าหาเขาเพราะถ้าอยากจะล้วงความลับทุกอย่างจากปากเนี่ยอวิ๋นในระยะเวลาอันสั้นแค่นี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน แต่นางเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ดังนั้นจึงแค่พยักหน้าแล้วอมยิ้มกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณหัวหน้าองครักษ์เนี่ยที่เตือนข้า”
ครั้นเห็นสีหน้าของนางเขาก็รู้ว่านางไม่ฟังเขาเลยสักนิด เขาติดตามอยู่ข้างกายมู่ชิงอีมาสองสามวันจึงทำให้เนี่ยอวิ๋นค้นพบว่าเขาไม่เข้าใจองค์หญิงผู้นี้เลยจริงๆ เหมือนว่าทุกครั้งที่เจอนางก็เอาแต่จิบชาอ่านหนังสือราวกับว่าว่างมาก หรือไม่ก็พูดคุยกับเหล่าพระสนมและองค์หญิงในวังบ้างประปรายราวกับไม่มีอะไรทำก็มิปาน แต่พอนึกคิดย้อนดีๆ ความจริงนางก็ทำอะไรไปไม่น้อยเช่นกัน อีกอย่างราวกับนางกำลังวางแผนทำอะไรบางอย่างอยู่ด้วย
“องค์หญิงมิควรทำให้คนอื่นๆ รู้สึกว่าองค์หญิงกับโหรวเฟยมีความสัมพันธ์ย่ำแย่ ในวังแห่งนี้…ไม่ควรอยู่นาน องค์หญิงขอร้องฝ่าบาทให้มีพระราชโองการให้องค์หญิงออกจากวังไปดีกว่า” เนี่ยอวิ๋นเอ่ยแนะนำเสียงหนักแน่น
มู่ชิงอีเงยใบหน้าอันงดงามขึ้นมาพร้อมยิ้มตาหยีมองเนี่ยอวิ๋น “หัวหน้าองครักษ์เนี่ยรำคาญที่ต้องติดตามข้าเลยไล่ข้าออกจากวังมากกว่ากระมัง หากตอนที่ข้าออกจากวังแล้วร้องขอฝ่าบาทให้เจ้าติดตามข้ากลับจวนไปด้วย เจ้าจะโกรธหรือไม่”
เนี่ยอวิ๋นนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ผ่านไปสักพักระหว่างที่มู่ชิงอีนึกว่าเขาโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ ถึงได้ยินเนี่ยอวิ๋นเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงรับสั่งเช่นใด กระหม่อมก็ล้วนทำตามทั้งนั้น”
เกลียดคนโง่ที่แสนจงรักภักดีนี่เสียจริง!
“ต่อให้ฝ่าบาทรับสั่งให้เจ้าไปตาย เจ้าก็จะไปตายอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามอย่างสงสัย
“พ่ะย่ะค่ะ” ทว่าเหมือนเนี่ยอวิ๋นจะไม่ใส่ใจแล้วขานตอบด้วยท่าทีเรียบนิ่ง
มู่ชิงอีกะพริบตาปริบๆ พลันนึกอิจฉาในความโชคดีของฮ่องเต้แคว้นหวาเหลือเกิน ขุนนางที่มีใจจงรักภักดีเช่นนี้ อีกทั้งยั้งเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ในใต้หล้าด้วย…เพียงแต่น่าเสียดายที่เหมือนว่าฮ่องเต้แคว้นหวาจะไม่รู้จักหวงแหนไว้บ้างเลย
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ฝ่าบาทให้เจ้าติดตามรับใช้ข้าแล้ว เจ้าก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า ข้าไม่ชอบโหรวเฟย ข้าชอบอวิ๋นเฟย ดังนั้นเจ้าก็ต้องไม่ชอบนางเหมือนกัน!” มู่ชิงอีเลิกคิ้วกล่าวอย่างติดเอาแต่ใจเล็กน้อย เนี่ยอวิ๋นมองนางอย่างเงียบๆ ท่าทีของท่านไม่เหมือนว่าจะชอบอวิ๋นผินเลยสักนิด อีกอย่าง…ข้าไม่มีทางชอบโหรวเฟย และยิ่งไม่มีทางชอบอวิ๋นผินอย่างแน่นอน
พอเห็นท่าทีสับสนของเนี่ยอวิ๋นเช่นนั้น มู่ชิงอีก็ผุดรอยยิ้มออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ นางเพียงแค่รู้สึกว่าใต้เท้าหัวหน้าองครักษ์วังหน้าผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
เมื่อเห็นรอยยิ้มสุขใจของมู่ชิงอี สีหน้าถมึงทึงของเนี่ยอวิ๋นก็อ่อนลงไม่น้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ผุดรอยยิ้มบางๆ ออกมาให้เห็น
“กราบทูลองค์หญิง กงอ๋องเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีนอกตำหนักรีบวิ่งเข้ามากราบทูล มู่ชิงอีลุกขึ้นแล้วหันไปถามเนี่ยอวิ๋นที่อยู่ข้างกายว่า “เจ้าเดาสิว่ามู่หรงอวี้มาทำอะไร”
เนี่ยอวิ๋นมองนางด้วยความแปลกใจแวบหนึ่งเอ่ย “กระหม่อมหารู้ไม่ บางทีอาจเป็นเพราะ…พระสนมอวิ๋นผิน?” นับตั้งแต่พระสนมอวิ๋นผินถูกถอดตำแหน่งก็ใช้ชีวิตไม่ค่อยราบรื่นนัก อย่างแรกคือหนิงอ๋องหมดสติไปไม่ฟื้นขึ้นมาสักที หลังจากนั้นพระชายากงก็ถูกถอดตำแหน่ง กระทั่งฆ่าตัวตายอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ความสัมพันธ์ระหว่างจวนกงอ๋องและตระกูลหลี่ก็ตึงเครียด หลายวันมานี้สุขภาพของอวิ๋นเฟยเองก็ไม่ค่อยจะดี สองวันมานี้ตอนที่มาเยี่ยมเยียนมู่ชิงอีก็ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
ยังไม่ทันออกไปต้อนรับ มู่หรงอวี้ก็เดินเข้าพระตำหนักมาแล้ว มู่ชิงอียิ้มบางๆ เอ่ย “คารวะกงอ๋องเพคะ” มู่หรงอวี้กวาดตามองมู่ชิงอีอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่งถึงเปิดปากเอ่ย “องค์หญิงหมิงเจ๋อไม่ต้องพิธีรีตองนักก็ได้”
มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เชิญกงอ๋องนั่งลงก่อนเถิด”
มู่หรงอวี้ไม่ได้พูดอะไรมากนัก หย่อนกายนั่งลงด้านข้างมู่ชิงอีอย่างเงียบๆ ครั้นเห็นเนี่ยอวิ๋นยืนอยู่อีกฝั่งก็ขมวดคิ้วมุ่น เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้แคว้นหวารับสั่งให้เนี่ยอวิ๋นคอยติดตามรับใช้มู่ชิงอี นี่จึงทำให้เขายิ่งตกตะลึงในความรักความชอบที่ฮ่องเต้แคว้นหวามีต่อหญิงสาวคนนี้เข้าไปใหญ่
จากนั้นเขาก็มองหญิงสาวใบหน้าเกลี้ยงเกลางดงามที่กำลังอมยิ้มบางๆ ในชุดผ้าเนื้อบางสีเหลืองนวลด้านข้าง นับว่าในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองเดือนสาวน้อยผู้นี้ก็เปลี่ยนไปจนเรียกได้ว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว จากบุตรสาวภรรยาเอกที่ไม่เตะตาใคร กระทั่งไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองใครทั้งนั้น แต่บัดนี้กลับเป็นองค์หญิงหมิงเจ๋อที่กำลังนั่งอมยิ้มบนเก้าอี้นี้เสียแล้ว หากไม่ใช่ว่าใบหน้านี้เป็นของมู่ชิงอี มู่หรงอวี้คงนึกว่ามู่ชิงอีถูกใครสลับตัวไปหรือเปล่าเสียด้วยซ้ำ
ตอนต่อไป