มู่ชิงอีเห็นความเกรี้ยวโกรธและความชั่วร้ายฉายขึ้นมาในแววตาของมู่หรงอวี้ซึ่งหายไปในชั่วพริบตาเดียว ราวกับไอสังหารที่ผุดขึ้นในแววตาของเขาเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นางอดชื่นชมความสามารถในการข่มอารมณ์ของมู่หรงอวี้ไม่ได้ ขณะเดียวกันนางเองก็เฝ้ารอคอยว่า…หากความพยายามทุกอย่างของเขาในตลอดหลายปีมานี้ละลายหายไปกับน้ำ เขาจะยังจะนิ่งสุขุมเช่นนี้ได้อีกหรือไม่
มู่หรงอวี้กลับไปแล้ว เนี่ยอวิ๋นมองสาวน้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แสดงท่าทีราวกับไม่ใส่ใจพลันก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “องค์หญิงมิควรจงใจยั่วโมโหกงอ๋องเช่นนั้น” มู่ชิงอีคลี่ยิ้มกว้าง “ยั่วโมโหหรือ เจ้าคิดว่ามู่หรงอวี้ถูกยั่วโมโหเข้าแล้วอย่างนั้นหรือ”
“เมื่อครู่มีไอสังหารแผ่ออกมาจากตัวกงอ๋อง” เนี่ยอวิ๋นเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง ยอดฝีมืออันดับหนึ่งอย่างเขา ถึงแม้ไอสังหารจะแผ่ออกมาจากตัวเขาแค่แวบเดียวแต่ไม่มีทางเล็ดลอดผ่านสายตาของเนี่ยอวิ๋นไปได้ เนี่ยอวิ๋นยังสังเกตพบว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อผู้นี้นั้นถนัดกระตุ้นอารมณ์ต่างๆ ของคนอื่นได้ดี เดิมทีในสายตาของเนี่ยอวิ๋นแล้ว มู่หรงอวี้ไม่ใช่คนโมโหง่าย ในขณะเดียวกันฮ่องเต้แคว้นหวาเองก็ไม่ใช่คนที่จะเอาใจได้ง่ายๆ เช่นกัน แต่เหมือนว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อกลับมีวิธีรับมือได้อย่างชำนาญนัก
ครั้นนึกถึงจุดนี้เนี่ยอวิ๋นก็ขมวดคิ้วทรงดาบของตนอย่างกระวนกระวายใจ เขารู้สึกได้ว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อผู้นี้ไม่ได้ธรรมดาดั่งภายนอกที่เห็น เหมือนว่าวันๆ นางอยู่ในวังไม่ทำอะไรแต่ความจริงแอบทำเรื่องบางอย่างที่เขาไม่อาจรู้ได้อยู่ นี่เลยทำให้หัวหน้าองครักษ์วังหน้าที่ชินชากับอันตรายรู้สึกได้ถึงภัยอันตรายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ข้ารู้แก่ใจดี” ครั้นเห็นสีหน้าเป็นกังวลอย่างปิดไม่มิดของเนี่ยอวิ๋น มู่ชิงอีเลยเอ่ยปลอบเสียงเบา
“กระหม่อมเพียงหวังว่าองค์หญิงจะไม่จงใจก่อเรื่องอันตรายไร้สาระใดขึ้นก็เท่านั้น” เนี่ยอวิ๋นเอ่ยเสียงขรึม มู่ชิงอีเงียบไป ผ่านไปนานถึงเงยหน้ามองเนี่ยอวิ๋นกล่าว “เรื่องที่ข้าทำ ในสายตาของหัวหน้าองครักษ์เนี่ยเป็นแค่เรื่องที่ไร้สาระอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น…เหตุใดหัวหน้าองครักษ์เนี่ยถึงไม่กราบทูลฝ่าบาทเล่า”
เนี่ยอวิ๋นเงียบไป มู่ชิงอีฉีกยิ้มสดใสจับจ้องเขาเอ่ย “ถึงแม้ข้าจะไม่ได้พูดออกมา แต่ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของหัวหน้าองครักษ์เนี่ยคงพอจะเดาได้ห้าถึงหกส่วนแล้ว สิ่งเหล่านี้…เพียงพอให้หัวหน้าองครักษ์เนี่ยไปกราบทูลฝ่าบาททรงทราบแล้วมิใช่หรือ พอถึงตอนนั้นไม่แน่ฝ่าบาทอาจประทับใจในความจงรักภักดีของหัวหน้าองครักษ์เนี่ยจนลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น จากนั้นก็โยกย้ายหัวหน้าองครักษ์เนี่ยกลับไปติดตามพระองค์ดังเดิมก็ได้”
เนี่ยอวิ๋นมองมู่ชิงอีด้วยสายตาลึกล้ำอยู่นาน น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก “กระหม่อม…หวังเพียงว่าองค์หญิงจะไม่เข้าไปพัวพันกับเรื่องอันตรายใด” มู่ชิงอีมองเนี่ยอวิ๋นด้วยสายตาขึงขังเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าก็แค่ทำเรื่องที่ข้าสมควรทำ หัวหน้าองครักษ์เนี่ยเองก็สามารถทำเรื่องที่ตัวเองควรทำได้เช่นกัน หัวหน้าองครักษ์เนี่ยกราบทูลฝ่าบาทได้ทุกเมื่อ แต่ข้าหวังว่าก่อนจะถึงตอนนั้น…เจ้าอย่ามาก้าวก่ายเรื่องของข้าเลยดีกว่า” พูดจบ มู่ชิงอีก็หมุนตัวเดินเข้าตำหนักไปโดยไม่สนใจเนี่ยอวิ๋นอีก
“ทำเรื่องที่ข้าควรทำอย่างนั้นหรือ” เนี่ยอวิ๋นนั่งอยู่ในพระตำหนักเพียงลำพังอย่างเหม่อลอย จ้องมองสองมือที่วางอยู่ตรงข้างเข่าอย่างเงียบๆ อะไรคือเรื่องที่เขาควรทำอย่างนั้นหรือ เขา…จะทำอะไรได้อีก เนี่ยอวิ๋นรู้มาโดยตลอด ถึงแม้เขาจะมีพรสวรรค์ในเส้นทางวิทยายุทธ์อย่างที่คนทั่วไปใช่ว่าจะมีได้ง่ายๆ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่ใช่บุคคลน่าทึ่งโดดเด่นอะไร หากเทียบกับยอดฝีมืออันดับหนึ่งเช่นเดียวกับเขาอย่างเกอซูฮั่นหรือหนานกงเจวี๋ยแห่งแคว้นเย่ว์ ไม่ว่าจะเป็นแผนการหรือความสามารถ จนกระทั่งความน่าเกรงขามพวกเขาล้วนมีมากกว่าทั้งนั้น เหตุเพราะอยู่ในวังเจอเรื่องสกปรกที่สุดมืดมนที่สุดบนโลกใบนี้มาหลายปี หัวใจจึงค่อยๆ ด้านชาจนลืมความตั้งใจในตอนแรกที่เรียนวิทยายุทธ์ไปแล้ว
เรื่องที่มู่ชิงอีมีเรื่องขัดแย้งกับมู่หรงอวี้ได้แพร่งพรายไปถึงหูบรรดาพวกสนมวังหลังอย่างรวดเร็ว เพราะเหตุนี้อวิ๋นผินเลยรีบขอเข้าพบมู่ชิงอี แต่มู่ชิงอีไม่ได้พบนาง แล้วเรื่องที่นางกล่าวปฏิเสธไม่ให้อวิ๋นผินเข้าพบอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดก็รับรู้โดยทั่วกัน จากนั้นก็เล่าลือว่าความสัมพันธ์ขององค์หญิงหมิงเจ๋อและจวนกงอ๋องไม่ดีเท่าไรนัก
และเพราะมู่ชิงอีทำเช่นนี้ แม้แต่คนที่ไม่สนใจเรื่องในวังอย่างฮ่องเต้แคว้นหวายังหาเวลามาถามด้วยพระองค์เอง มู่ชิงอีไม่ได้พูดจาว่าร้ายมู่หรงอวี้แต่อย่างใด เพียงแค่เอ่ยประมาณว่านางยังคงติดใจค้างคาเรื่องอภิเษกกับมู่หรงอานในตอนแรก อีกทั้งมู่หรงอวี้ยังคิดจะดึงตนเข้าพวกแต่ถูกตนปฏิเสธไป หลังจากฮ่องเต้แคว้นหวาออกจากเรือนรับรองหมิงฟังไปก็ทรงเสด็จไปพระตำหนักอวิ๋นผินด้วยพระองค์เอง หลังจากออกมามู่ชิงอีก็มั่นใจว่าครั้งนี้อวิ๋นผินต้องโกรธแค้นนางมากแน่นอน เพราะได้ยินมาว่าฮ่องเต้แคว้นหวาด่าทอนางต่อหน้านางกำนันและขันทีมากมายไปยกหนึ่ง
ถึงแม้อวิ๋นผินจะไม่ได้เป็นที่โปรดปรานมานานแล้วแต่ก็ใช้ชีวิตอยู่ในวังเป็นอย่างดี นางไม่ชอบออกหน้าและชิงดีชิงเด่นกับใคร ดังนั้นจึงมีคนน้อยนักที่จะชิงชังนาง ครั้งนี้นับว่าอวิ๋นผินเสียหน้าครั้งใหญ่ในรอบยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ แต่มู่ชิงอีกลับโดดเด่นผงาดขึ้นมาอีกครั้ง เวลานี้มู่ชิงอีถึงได้รับรู้ถึงข้อดีของการเป็นองค์หญิง พอมีตำแหน่งนี้คอยค้ำหัว ทุกคนก็แค่มองว่าฝ่าบาททรงรักใคร่ให้ความสำคัญองค์หญิงคนใหม่นี้เท่านั้น หากไม่มีตำแหน่งนี้ละก็ มู่ชิงอีมั่นใจว่าทุกคนคงคิดว่านางเป็นปีศาจสาวตัวกาลกิณี เพราะอย่างน้อยแววตาที่มู่เฟยหลวนมองนางก็สื่อความหมายเช่นนั้น
“ชิงชิง” ฉับพลันเสียงทุ้มต่ำแฝงความเกียจคร้านเล็กน้อยก็ดังแว่วมาในหูของมู่ชิงอี จากมุมที่ไม่ไกลนักในสวนดอกไม้ มู่ชิงอีหันหน้าไปก็เห็นใครบางคนที่มองนางด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางก็อดมุ่นคิ้วเอ่ยไม่ได้ว่า “ท่านมาได้เช่นใดกัน”
หรงจิ่นกวาดตามองเนี่ยอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ฉีกยิ้มตาหยีแล้วค่อยๆ สาวเท้าเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ เอ่ยว่า “ชิงชิงไร้หัวใจเสียจริง หลังจากแยกย้ายในวันงานเลี้ยงของฝ่าบาท…ข้าก็เอาแต่คิดถึงชิงชิงอยู่ตลอดเลย”
มู่ชิงอีแอบกลอกตาใส่ไปทีแล้วเอ่ย “ชิงอีไร้ค่านัก คงไม่คู่ควรให้องค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์ต้องคิดถึงหรอกเพคะ” ทว่าหรงจิ่นกลับไม่สนใจท่าทีเย็นชาและห่างเหินของมู่ชิงอีเลยสักนิด เขายังคงเดินเข้ามาหาพลางกล่าว “ชิงชิงช่างไร้หัวใจนัก ข้าตั้งใจมาเยี่ยมชิงชิงถึงในวังเลยนะ” มู่ชิงอีหันไปหาเนี่ยอวิ๋นข้างกาย เนี่ยอวิ๋นเอ่ยเสียงขรึมว่า “วันนี้ฝ่าบาททรงเชิญขุนนางทูตของแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่นมาหารือเรื่องเกี่ยวดองระหว่างแว่นแคว้นพ่ะย่ะค่ะ” ซึ่งความหมายก็คือสิ่งที่องค์ชายเก้าบอกว่าตั้งใจมาเยี่ยมอะไรนั่นเป็นเพียงคำพูดซี้ซั้วเท่านั้น หรงจิ่นเหลือบมองเนี่ยอวิ๋นด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เหตุใดชิงชิงถึงมีคนเพิ่มมาอีกคนได้เล่า อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวาเลยด้วย”
มู่ชิงอีขึงตาใส่เขาอย่างเอือมระอาแวบหนึ่ง ท่านคิดจะก่อเรื่องอีกแล้วใช่หรือไม่
หรงจิ่นกะพริบตาปริบๆ มองมู่ชิงอีด้วยรอยยิ้มโดยไม่พูดอะไรเป็นเชิงว่า เขายังปะทะฝีมือกับเกอซูฮั่นยังไม่หนำใจอยู่พอดี เนี่ยอวิ๋นเองก็ดีไม่หยอก เพื่อเลี่ยงไม่ให้ใครบางคนเกิดบ้าขึ้นมาแล้วหาโอกาสก่อเรื่องวุ่นวายอีก มู่ชิงอีเลยรีบรับสั่งให้เนี่ยอวิ๋นออกไปก่อน ถึงแม้เนี่ยอวิ๋นจะไม่วางใจให้มู่ชิงอีพูดคุยกับองค์ชายแคว้นเย่ว์บ้าๆ บอๆ ผู้นี้สักเท่าไร แต่เขาก็รู้ว่าด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดขององค์หญิงหมิงเจ๋อคงไม่เป็นอันตรายใดในวัง ฮ่องเต้แคว้นหวาให้ตนคอยติดตามองค์หญิงหมิงเจ๋อก็จริงแต่ใช่ว่าจะให้ตามประกบเป็นเงาไม่ห่างเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานะของตนแล้ว อีกแง่หนึ่งคงพูดได้ว่าหากไม่เจอคงรู้สึกสบายตามากกว่าด้วยซ้ำ
รอกระทั่งอยู่กันตามลำพังแล้วสีหน้าของหรงจิ่นก็ดูจริงจังขึ้นไม่น้อย เขาเหลือบมองมู่ชิงอีแวบหนึ่งอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงชิงยังโกรธอยู่หรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว องค์ชายเก้าไปหาข้อสรุปที่ว่านางกำลังโกรธอยู่มาจากที่ใดกัน องค์ชายเก้ากระแอมเสียงเบาอย่างเคอะเขินทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไม่กี่วันก่อนชิงชิงไล่ข้าไปแล้วก็เข้ามาอยู่ในวัง มิใช่เพราะโกรธข้าอย่างนั้นหรือ”
ตอนต่อไป