หากมู่ชิงอีแค่ตบหน้าอวิ๋นผินซึ่งๆ หน้า บางทีอวิ๋นผินอาจไม่สนใจด้วยซ้ำ แต่นางกลับทำให้กงอ๋องถูกฝ่าบาทตำหนิ การกระทำเช่นนี้ย่อมยั่วโมโหสตรีที่เอาแต่หลบความจริงอยู่ในมุมอับแสงดั่งผีเสื้ออยู่แล้ว มู่เฟยหลวนเลิกคิ้วงาม อารมณ์พลันดีขึ้นไม่น้อย มือข้างขวาลูบท้องน้อยที่ยังไม่นูนขึ้นมากนักอย่างเบามือพร้อมยิ้มกล่าว “เชิญพี่หญิงอวิ๋นผินเข้ามาเถิด”
สักพักอวิ๋นผินก็ถูกคนเชิญเข้ามา สาวนางในไม่กี่คนกำลังช่วยกันเก็บกวาดสิ่งของที่แตกกระจัดกระจายบนพื้นในพระตำหนัก อวิ๋นผินเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้นึกตกใจอะไร นางเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็มองมู่เฟยหลวนด้วยความเป็นห่วงเอ่ยว่า “โหรวเฟยเป็นอันใดไปหรือ” มู่เฟยหลวนยิ้มขมขื่นเอ่ย “ไม่มีเรื่องอันใดหรอก ข้าก็แค่อารมณ์ไม่ดีเท่านั้น พี่หญิงอวิ๋นผินเชิญนั่งก่อนเถิด” ครั้นเห็นใบหน้าเป็นห่วงของอวิ๋นผิน มู่เฟยหลวนก็แอบยิ้มเยาะในใจ นางไม่เชื่อว่าอวิ๋นผินจะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในสวนดอกไม้เมื่อครู่
รอกระทั่งอวิ๋นผินนั่งลง มู่เฟยหลวนถึงเปิดปากเอ่ย “หลายวันมานี้น้องหญิงรู้สึกกลัดกลุ้มใจนัก หากต้อนรับพี่หญิงได้ไม่ดีพอ โปรดพี่หญิงอย่าถือโทษโกรธกันเลยนะเพคะ”
ดวงตาของอวิ๋นผินเป็นประกายเล็กน้อยยิ้มเอ่ย “พวกเราสองพี่น้องไปมาหาสู่กันก็หลายปีแล้ว มีเรื่องใดต้องถือโทษโกรธเจ้าด้วยหรือ โหรวเฟยไม่ถือโทษที่ข้าแวะมาหาโดยพลการเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว เมื่อวานอวี้เอ๋อร์ไม่รู้ความเลยล่วงเกินองค์หญิงหมิงเจ๋อเข้า โปรดน้องหญิงโหรวเฟยเห็นแก่หน้าข้าช่วยพูดกับองค์หญิงหมิงเจ๋ออย่าถือความกันเลยเถิด” มู่เฟยหลวนยกยิ้มมุมปากกล่าว “คำพูดของพี่หญิงอวิ๋นผินทำเอาข้าลำบากใจเสียแล้ว บัดนี้มีใครในวังที่ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับองค์หญิงหมิงเจ๋อย่ำแย่บ้าง ในสวนดอกไม้เมื่อครู่ก็ทำเอาข้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว” มู่เฟยหลวนพูดพลางปาดน้ำตาไปด้วยราวกับน้อยเนื้อต่ำใจต่อเหตุการณ์ในสวนดอกไม้เมื่อครู่มากอย่างไรอย่างนั้น
อวิ๋นผินถอนหายใจกล่าว “เดิมทีข้าได้ยินว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อนิสัยอ่อนโยนใจเย็น ข้าก็นึกว่าเป็นคนผูกมิตรด้วยง่ายเลยรีบไปทักทายพูดคุยกับองค์หญิง คิดไม่ถึง…แม้แต่ข้าองค์หญิงยัง…” มู่เฟยหลวนปาดน้ำตาพลางกล่าวขึ้นว่า “จะนับประสาอะไรกับความน้อยเนื้อต่ำใจของข้าได้เล่า ยามนี้แม้แต่ท่านพ่อกับท่านย่า น้องหญิงสี่ก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย ก็ใช่ ตอนนี้นางเป็นองค์หญิงแล้ว เช่นนั้นจะเห็นคนในครอบครัวของจวนซู่เฉิงโหวอยู่ในสายตาได้เช่นใดเล่า”
ครั้นเห็นมู่เฟยหลวนร้องไห้ระบายความน้อยใจออกมา อวิ๋นผินก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร คอยนั่งปลอบนางอยู่ด้านข้างด้วยเสียงเบาโดยไม่นึกรำคาญใจเลยสักนิด ฉับพลันในพระตำหนักก็อบอวลไปด้วยมิตรภาพขึ้นมากกว่าเดิม
มู่ชิงอี หย่งจยาจวิ้นจู่และหรงจิ่นนั่งดื่มชากันในศาลาพักผ่อนนอกพระตำหนักเสียนเต๋อ ส่วนฮ่องเต้แคว้นหวากับพวกเกอซูฮั่นและหรงเหยี่ยนกำลังหารือเรื่องอภิเษกเกี่ยวดองกันอยู่ด้านในพระตำหนักเสียนเต๋อ พวกเขาสามคนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ย่อมรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นธรรมดาเลยขอตัวออกมาข้างนอกกัน และเพราะมีหย่งจยาจวิ้นจู่อยู่ด้วย ฮ่องเต้แคว้นหวาเลยไม่เป็นกังวลว่ามู่ชิงอีจะอยู่ใกล้กับหรงจิ่นเลยสักนิด เพราะได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างหย่งจยาจวิ้นจู่และองค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์ดีไม่น้อย อีกทั้งเขาเองก็สื่อความหมายไปอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่ให้องค์หญิงหมิงเจ๋อไปเกี่ยวดองกับแคว้นใด ดังนั้นเลยคิดว่าองค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์คงเข้าใจจุดนี้ดี
หย่งจยาจวิ้นจู่ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะแล้วหันไปมองมู่ชิงอีที่นั่งอยู่ด้านขวาของตน จากนั้นก็มองหรงจิ่นที่นั่งฝั่งตรงข้ามพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เกอซูปิงที่แต่ไหนแต่ไรมาหยิ่งทะนงในความงามของตน แต่หลังจากมาแคว้นหวาถึงเข้าใจคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าที่เขาพูดกันนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะสองคนตรงหน้าใบหน้างดงามเกลี้ยงเกลาเกินมาตรฐานมนุษย์มนาไปมากโข หนุ่มรูปงามหล่อเหลา รอยยิ้มที่แต่งแต้มหางตาและปลายคิ้วช่างดึงดูดให้คนอดหลงใหลไม่ได้เลยจริงๆ ส่วนความงดงามสุขุมและบุคลิกสง่างามสูงส่งของหญิงสาวนั้นไม่ได้น่าหลงใหลราวกับต้องมนตร์สะกดในแวบแรกที่เห็นเสียทีเดียว แต่พอมองไปนานๆ กลับชวนให้อดนึกละอายใจที่ตนเทียบนางไม่ได้เสียมากกว่า แม้แต่คนช่างเลือกบนโลกใบนี้ยังหารอยตำหนิจากพวกเขาสองคนนี้ไม่ได้เลย สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือพวกเขาสองคนนั่งอยู่เบื้องหน้าของนาง…มู่ชิงอียังพอว่า แต่เหตุใดบุรุษคนหนึ่งอย่างหรงจิ่นถึงต้องวางท่าโอหังขนาดนี้ด้วย
“ยัยอัปลักษณ์ ต่อให้เจ้าควักดวงตาออกมาข้าก็ไม่มองเจ้าหรอก” หรงจิ่นยักคิ้วพลางเอ่ยเสียงเอื่อยๆ
หย่งจยาจวิ้นจู่เกือบพ่นน้ำชาในปากใส่หน้าหรงจิ่นแล้ว นางไออย่างหนักหน่วงอยู่นานจนกระทั่งในที่สุดก็ดีขึ้นเลยกลอกตาใส่พลางพ่นคำสบถด่าออกไป “หากไม่หลงตัวเองหน่อยจะตายหรืออย่างไร ข้าคงตาบอดหากต้องตาเจ้ามากกว่า หากต้องอภิเษกกับบุรุษเจ้าสำอางอย่างเจ้า ข้ายอมส่องกระจกเอาตัวเองเสียยังดีกว่า!”
“พรูด! แค่กๆ…” มู่ชิงอีที่นั่งอยู่ด้านข้างมองสองคนนี้พลางสำลักไออย่างเหนื่อยหน่ายใจไปพร้อมกัน เพราะขนบธรรมเนียมต่างกัน? แต่พวกท่านสองคนก็ไม่น่าใจเด็ดกล้าพูดถึงขนาดนี้หรือไม่เล่า แบบนี้จะทำให้สตรีที่โตมาในแคว้นหวาและเจอโลกมาน้อยอย่างนางใช้ชีวิตต่อไปเช่นใดเล่า
“ชิงชิงเป็นอันใดไปหรือ เร็วเข้า…ข้าช่วยลูบหลังให้เจ้าเอง” หรงจิ่นเอ่ยอย่างเป็นห่วง หย่งจยาจวิ้นจู่คว้าตัวใครบางคนออกด้วยฝ่ามือเดียว จากนั้นก็ลูบหลังมู่ชิงอีอย่างเบามือด้วยความรู้สึกผิดกล่าว “ชิงอีเป็นอันใดไปหรือ” มู่ชิงอีส่ายศีรษะอย่างหมดเรี่ยวแรง “ไม่เป็นอะไร อาจเป็นเพราะข้า…ความรู้ตื้นเขินนัก” หรงจิ่นรินชาให้นางอีกแก้วอย่างเอาใจ จากนั้นก็เหลือบมองหย่งจยาจวิ่นจู่พลางกล่าวอย่างได้ใจ “ก็แค่ยัยอัปลักษณ์เห็นข้าแล้วนึกละอายใจที่สู้ข้าไม่ได้กระมัง”
“…” หย่งจยาจวิ้นจู่รู้สึกว่าตนยอมแล้วจริงๆ บนโลกนี้คงมีแต่คนที่ไร้ยางอายมากกว่า แต่คงไม่มีคนที่ไร้ยางอายที่สุดในโลกกระมัง!
แต่ไหนแต่ไรมาหย่งจยาจวิ้นจู่ก็ปะทะฝีปากสู้หรงจิ่นตรงหน้าไม่ได้อยู่แล้วเลยไม่สนใจเขาอีก จากนั้นก็หมุนตัวมาสนทนากับมู่ชิงอี องค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์ก็เป็นแค่หนุ่มขี้โรค นางจะรังแกบุรุษเจ้าสำอางร่างกายอ่อนแอและพละกำลังน้อยไม่ได้ เช่นนั้นก็เมินเขาไปเลยดีกว่า
“ชิงอี เหตุใดเจ้าถึงมาพักอยู่ในวังได้เล่า ข้าไปหาเจ้าที่จวนซู่เฉิงโหวถึงได้รู้ว่าเจ้าไม่อยู่ที่นั่น ในวังน่าเบื่อจะตายไป” หย่งจยาจวิ้นจู่เอ่ยขึ้น
มู่ชิงอียิ้มพลางพูดอย่างจนใจ “เป็นไปตามพระราชโองการของฝ่าบาท มิเช่นนั้นเจ้าเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้าในวังก็ได้นะ สองวันก่อนฝ่าบาทก็ทรงตรัสว่าจะเชิญเจ้าเข้ามาอยู่ในวังด้วยเหมือนกัน” หย่งจยาจวิ้นจู่รีบกระเถิบออกห่างจากนางโดยมิกล่าวเหตุผลใดทั้งสิ้น “ข้าไม่เอาด้วยหรอก ข้าเกลียดวังหลวงที่สุดแล้ว ข้าไม่เข้ามาอยู่ในวังหรอก”
หรงจิ่นพยักหน้าเห็นด้วย “คำพูดนี้ของเจ้าฟังดูเข้าหูที่สุดแล้ว แต่ว่าข้ายินดีมาอยู่เป็นเพื่อนชิงชิงนะ”
สาวน้อยทั้งสองต่างกลอกตามองบนใส่อย่างพร้อมเพรียง ใครอยากให้เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อน อย่าเข้าข้างตัวเองให้มากนักจะได้ไหม
“ช่วงนี้ชิงอีชื่อเสียงโด่งดังไม่เบา แต่…พี่สิบเอ็ดบอกว่าแบบนี้ไม่ดีเลย” หย่งจยาจวิ้นจู่มองมู่ชิงอีพลางเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล นางรู้ดีว่าตนไม่ได้ฉลาดหลักแหลมเท่าไรนัก แต่พี่สิบเอ็ดมักพูดถูกเสมอ มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยถาม “ชื่อเสียงโด่งดังหรือ” หย่งจยาจวิ้นจู่พยักหน้ากล่าว “ใช่แล้ว เมื่อวานข้ากับท่านพี่สิบเอ็ดไปดื่มชากันที่ศาลาชิงอานเลยเผลอได้ยินคนอื่นคุยกันเรื่องชิงอี พวกเขาว่าเจ้า…” หย่งจยาจวิ้นจู่มองนางอย่างชั่งใจเพราะไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่ ทว่าหรงจิ่นกลับเอ่ยตอบพร้อมยิ้มยียวนโดยไม่สนใจเลยสักนิด “บอกว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อไม่เห็นหัวใคร อาศัยว่าเป็นคนโปรดของฝ่าบาทเลยไม่เห็นเหล่าพระสนมและองค์ชายอยู่ในสายตา กระทั่งแม้แต่ท่านพ่อและท่านย่าแท้ๆ ยังจองหองใส่”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เป็นข่าวที่จวนซู่เฉิงโหวกุขึ้นมามากกว่า”
หรงจิ่นยิ้มกล่าว “น่าจะเป็นคนอื่นกระมัง ช่วงนี้ชิงชิงเองก็ล่วงเกินคนไปไม่น้อย” แต่มู่ชิงอียิ่งหาเรื่องคนมากเท่าไรเขาก็ยิ่งดีใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะนี่สื่อว่าชิงชิงไม่คิดจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไปในระยะยาว มิเช่นนั้นชิงชิงคงไม่แผลงฤทธิ์ขนาดนี้ ต่อให้อยากแก้แค้นแต่ชิงชิงไม่ใช่คนที่ใจร้อนบุ่มบ่าม ซึ่งนั่นก็หมายความว่า…ชิงชิงเต็มใจไปกับเขาแล้วสินะ “หากชิงชิงต้องการความช่วยเหลือเรื่องใดก็ให้รีบบอกข้ามาได้เลย” องค์ชายหรงจิ่นกล่าวอย่างชอบใจ ทว่าหย่งจยาจวิ้นจู่กลับพ่นคำด่าออกมาอย่างไม่ลังเล “เจ้ามีความสามารถใดจะช่วยชิงอีได้ หากมีเรื่องลำบากใจใดให้บอกข้า ข้าจะไปบอกพี่สิบเอ็ดเอง พี่สิบเอ็ดย่อมช่วยเจ้าอยู่แล้ว ข้ากับพี่สิบเอ็ดเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนอย่างที่พวกเขาว่ากันหรอก!”
ตอนต่อไป