“ข้า…ข้าเองก็อับจนหนทางแล้วเช่นกัน” มู่เฟยหลวนกล่าว
ภายในพระตำหนักตกอยู่ในความเงียบสักพักใหญ่ถึงมีเสียงแฝงความชิงชังของมู่อวิ๋นหรงดังขึ้นว่า “ในเมื่อข้าต้องใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นสุข มู่ชิงอีก็อย่าหวังจะได้อยู่อย่างเป็นสุขเลย! ข้าไม่มีทางปล่อยนางไปหรอก!”
มู่เฟยหลวนดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย เอ่ยพลางถอนหายใจเสียงเบาอย่างรักใคร่ว่า “น้องหญิงสาม ใช่ว่าพี่หญิงไม่อยากช่วยเจ้าหรอกนะ แต่ตอนนี้พี่หญิงเองก็ตกที่นั่งลำบากเหมือนกัน”
“มู่ชิงอี! ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
ถึงแม้องค์หญิงและจวิ้นจู่ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งใหม่จะไม่ได้ของพระราชทานมากมายเฉกเช่นครั้งที่องค์หญิงหมิงเจ๋อได้รับการแต่งตั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ถือว่าพวกนาง ‘ยอมเสียสละเพื่อแว่นแคว้น’ หลังจากองค์หญิงหมิงเหอและมู่อวิ๋นหรงค่อนข้างคุ้นเคยกับวังมากขึ้นแล้ว ฮองเฮาก็ทรงจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับองค์หญิงและจวิ้นจู่ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งใหม่นี้ งานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ได้เชิญเหล่าสตรีตระกูลผู้ดีมาร่วมงานด้วยแต่กลับมีเพียงเหล่าองค์หญิงและพระสนมเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เหล่าองค์หญิงในวังต่างเป็นมิตรกับมู่อวิ๋นหรงและองค์หญิงหมิงเหอทั้งสิ้น ในเมื่อทุกคนล้วนรู้ดีแก่ใจว่าอีกแง่หนึ่งพวกนางสองคนไปเพื่อเกี่ยวดองแทนพวกนาง
ตัวขององค์หญิงหมิงเหอเกิดมาในเชื้อพระวงศ์ ด้วยสถานะและแหน่ง ท่าทีของนางจึงวางตัวเข้ากับคนอื่นได้อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งยังยิ้มรับท่าทีเป็นมิตรของเหล่าองค์หญิงคนอื่นๆ ด้วย ทุกคนเองต่างก็รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก ทว่ามู่อวิ๋นหรงกลับทำใจยอมรับไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น นางมักรู้สึกว่าเหตุที่นางต้องถูกจับอภิเษกไปแคว้นเป่ยฮั่นเพราะไปแทนมู่ชิงอี สำหรับน้องสาวที่นางอิจฉาชิงชังมาตั้งแต่เด็ก แต่ไหนแต่ไรมานั้นมู่อวิ๋นหรงแค่อยากกดหัวนางไว้เท่านั้น แล้วจะอดทนยอมรับว่าวันหนึ่งตนจะต้องมาเป็นตัวแทนของนางได้อย่างไรกัน หากเป็นมู่อวิ๋นหรงยามปกติย่อมรับมือกับองค์หญิงคนอื่นๆ อย่างระมัดระวัง กระทั่งพูดจาเอาใจเยินยอพวกนางอยู่แล้ว แต่ในเมื่อนางถูกกำหนดให้อภิเษกไปอยู่แคว้นเป่ยฮั่น แล้วนางจะพูดจาเยินยอเหล่าองค์หญิงที่ยังเสวยสุขอยู่ในเมืองหลวงไปทำไมเล่า
เพราะเหตุนี้คนทั่วทั้งเรือนรับรองหมิงฟังจึงเห็นเพียงสีหน้าเคียดแค้นบึ้งตึงราวกับยายแก่ของมู่อวิ๋นหรงตลอดทั้งวัน อีกทั้งยังแสดงท่าทีไม่สนใจใครทั้งนั้นด้วย แม้แต่องค์หญิงที่เดิมทีอยากเข้ามาพูดคุยกับนางสักหน่อยก็ยังต้องหมุนตัวเดินหนี พวกนางเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ต่อให้มู่อวิ๋นหรงไปเกี่ยวดองต่างแคว้นแทนพวกนางจริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่บุตรสาวของขุนนางพึงกระทำอยู่แล้วมิใช่หรือ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าชักสีหน้าใส่พวกนางด้วย
“หมิงเจ๋อถวายบังคมฮองเฮาเพคะ” มู่ชิงอีฉีกยิ้มสดใสให้ฮองเฮาที่นั่งอยู่ด้านบน ณ ศาลาริมน้ำในสวนดอกไม้
“องค์หญิงมิต้องพิธีรีตองนักหรอก นั่งลงเถิด” ฮองเฮาที่นั่งอยู่ด้านบนอมยิ้มพูดคุยพลางกวาดตามององค์หญิงหมิงเจ๋อที่นั่งอยู่ด้านล่าง ฮองเฮาให้เกียรติองค์หญิงที่ถูกโปรดปรานผู้นี้อยู่ห่างๆ ก็เพราะฮ่องเต้แคว้นหวา ฮองเฮาไม่เคยทำให้นางลำบากใจเลยและไม่ว่ามีอะไรดีๆ ก็มักให้นางเสมอ แต่แค่ไม่เป็นฝ่ายเข้าหานางก่อนเท่านั้น สำหรับฮองเฮาที่ไร้ทายาทคนหนึ่งกับองค์หญิงที่ไม่ได้มีสายเลือดเชื้อกษัตริย์คนหนึ่ง แบบนี้นับว่าเป็นระยะห่างที่เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่ถึงกระนั้นฮองเฮาก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ เมื่อก่อนนางไม่เคยสังเกตองค์หญิงผู้นี้ดีๆ เลยสักครั้ง พอเวลานี้ได้สังเกตดูอย่างละเอียดก็พบว่าองค์หญิงผู้นี้ไม่มีท่าทีเย่อหยิ่งโอหังเลยสักนิด ไม่ว่าจะการแต่งหน้าแต่งตัวหรือกระทั่งสีหน้าแววตากลับไม่ปรากฏท่าทีเหลิงได้ใจที่จู่ๆ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงโผล่มาเลย เกรงว่าลำพังแค่ใบหน้าสะสวยเกลี้ยงเกลาและบุคลิกกิริยาสง่างามเช่นนี้ หากบอกว่าเป็นองค์หญิงที่เติบโตมาจากในวังคงมีคนเชื่อด้วยซ้ำกระมัง
“หมิงเจ๋อ” องค์หญิงหมิงเวยที่นั่งอยู่ด้านหน้ากวักมือเรียกมู่ชิงอีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วเดินตรงไปนั่งตรงตำแหน่งถัดลงมาจากองค์หญิงหมิงเวย องค์หญิงหมิงเวยอมยิ้มเอ่ยเสียงต่ำว่า “ได้ยินว่าหลายวันมานี้ในวังคึกคักมากอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอียิ้มอย่างรู้สึกผิด “ชิงอีละอายใจนักเพคะ…” เรื่องราวในวังไม่กี่วันมานี้แพร่งพรายเป็นข่าวดังอยู่นอกวังนานแล้ว หากองค์หญิงหมิงเวยรู้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร เพียงแต่มู่ชิงอีค่อนข้างจะเป็นกังวลต่อท่าทีขององค์หญิงหมิงเวยมากกว่า ถึงอย่างไรเสียองค์หญิงหมิงเวยก็เป็นหนึ่งในองค์หญิงที่ฝ่าบาทโปรดปราน คิดว่านางเองก็คงไม่อยากให้องค์หญิงที่เพิ่งถูกแต่งตั้งใหม่คนหนึ่งก่อเรื่องวุ่นวายอะไรในวังนักหรอก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงหมิงเวยจะไม่ใส่ใจใดๆ อย่างสิ้นเชิง นางเพียงแค่กล่าวยิ้มๆ เสียงเบาว่า “ต่อให้ไม่มีเรื่องวุ่นวายใด พวกคนในวังก็หาเรื่องจนได้อยู่ดี ช่วงนี้เจ้าระวังตัวหน่อยแล้วกัน”
“ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงเตือนหม่อมฉันเพคะ” มู่ชิงอีรีบกล่าวขอบคุณ
“โหรวเฟยเสด็จ! เหอหรงจวิ้นจู่เสด็จ!” เสียงแหลมแสบหูกราบทูลรายงานดังมาจากด้านนอกพระตำหนัก โหรวเฟยถูกสาวนางในประคองเข้ามาอย่างช้าๆ พร้อมมู่อวิ๋นหรงในชุดของแคว้นหวาแต่งหน้าแต่งตัวประณีตงดงามเดินขนาบข้างเข้ามา มู่อวิ๋นหรงนับว่าเป็นสาวงามเลื่องชื่อในเมืองหลวงเช่นกัน ภายใต้การบรรจงแต่งตัวในค่ำคืนนี้ก็ยิ่งขับให้นางสวยสะดุดตามากกว่าเดิม ครั้นเห็นสีหน้าตกตะลึงปนอิจฉาประกายพาดผ่านแววตาของเหล่าองค์หญิงจวิ้นจู่ทั้งหลายที่นั่งอยู่ มู่อวิ๋นหลงก็เชิดใบหน้าอันงดงามของนางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ทว่าพอเห็นมู่ชิงอีที่นั่งอยู่ข้างกายองค์หญิงหมิงเวย รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ดูตึงขึ้นเล็กน้อย มู่ชิงอีไม่ได้บรรจงแต่งตัวมากนัก นางเพียงสวมชุดคลุมยาวคอปาดและสวมทับด้วยชุดคลุมเนื้อบางสีเหลืองตุ่นปักลายดอกด้านนอกเท่านั้น คิ้วสวยได้รูปบางๆ ไร้ซึ่งการขีดเขียนดั่งหญ้ามู่ลี่ซึ่งชวนให้รู้สึกสบายตาไม่น้อย ฉับพลันก็ทำให้มู่อวิ๋นหรงรู้สึกว่านางกลายเป็นตัวตลกในงานก็มิปาน จากนั้นนางก็เหลือบมององค์หญิงรอบข้างซึ่งต่างก็สวมชุดสบายๆ แต่สง่างามกันทั้งสิ้น แม้แต่องค์หญิงหมิงเหอที่เข้าวังมาพร้อมกับนางยังสวมเพียงชุดคลุมยาวคอปาดสีม่วงอ่อนซึ่งดูสง่างามสูงส่งแต่กลับทิ้งความสดใสของสาววัยเยาว์เอาไว้ด้วย เมื่อเทียบกันเช่นนี้แล้วเลยทำให้สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่มู่อวิ๋นหรงมากกว่า
“ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ” โหรวเฟยพามู่อวิ๋นหรงย่อตัวถวายความเคารพ ฮองเฮารีบเรียกให้คนประคองโหรวเฟยไว้แล้วเอ่ยว่า “โหรวเฟยกำลังตั้งครรภ์อยู่ ไม่ต้องพิธีรีตองนักหรอก รีบนั่งเถิด” โหรวเฟยขอบพระทัยฮองเฮาด้วยรอยยิ้มแล้วเหลือบมองมู่ชิงอีที่นั่งอยู่ข้างๆ องค์หญิงหมิงเวยแวบหนึ่ง จากนั้นถึงหันไปกล่าวยิ้มๆ กับมู่อวิ๋นหรงว่า “หรงเอ๋อร์ เจ้าไปนั่งกับน้องหญิงสี่เถิด”
ถึงอย่างไรมู่อวิ๋นหรงและมู่ชิงอีก็เป็นพี่น้องกัน อีกอย่างองค์หญิงคนอื่นๆ ก็ไม่ค่อยจะชื่นชอบมู่อวิ๋นหรงสักเท่าไรย่อมไม่มีอะไรคุยด้วยอยู่แล้ว ส่วนความรู้สึกที่มีต่อมู่ชิงอีนั้น ถึงแม้มู่ชิงอีจะไม่ถึงขั้นหาเรื่องให้คนอื่นไม่ชอบนางกันถ้วนหน้า แต่การที่เสด็จพ่อโปรดปรานคนนอกมากกว่าบุตรสาวในไส้ของพระองค์มากกว่าเช่นนี้ย่อมชวนให้เหล่าองค์หญิงคนอื่นๆ ทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว ดังนั้นปกติทุกคนจึงแค่ผูกมิตรกับนางอย่างผิวเผินเท่านั้น
มู่อวิ๋นหรงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปตรงด้านขวาของมู่ชิงอีแล้วนั่งลง
ฮองเฮามองทุกคนพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็เอ่ยชื่นชมองค์หญิงหมิงเหอและมู่อวิ๋นหรงเล็กน้อยแล้วปล่อยให้ทุกคนสนุกสนานกันตามอัธยาศัย เดิมทีนี่เป็นเพียงงานเลี้ยงเล็กๆ ในตำหนักจึงไม่ได้มีพิธีรีตองเหมือนงานเลี้ยงทั่วไปเช่นนั้น ผ่านไปสักพักเหล่าองค์หญิงจวิ้นจู่ก็ออกไปเดินเล่นพูดคุยกัน ภายในศาลาริมน้ำพลันอบอวลไปด้วยความสนุกสนานและความปรองดอง
มู่ชิงอีพูดคุยกับองค์หญิงหมิงเวยพลางลอบมองมู่อวิ๋นหรงที่ใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเป็นพักๆ นางเลิกคิ้วอย่างนึกแปลกใจ ช่างยากนักที่มู่อวิ๋นหรงจะนั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ ตนโดยไม่ยั่วโมโหตนเช่นนี้ องค์หญิงหมิงเวยย่อมเห็นแววตาสงสัยของมู่ชิงอีอยู่แล้ว นางเหลือบมองมู่อวิ๋นหรงพลางอมยิ้มบางๆ แวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก ต่อให้มู่อวิ๋นหรงจะมีแผนการเช่นใดก็คงเล็ดลอดผ่านสายตาขององค์หญิงหมิงเจ๋อตรงหน้านี้ไปไม่ได้กระมัง
แววตาขบขันขององค์หญิงหมิงเวยเช่นนี้กลับทำให้มู่ชิงอีทำได้แค่คลี่ยิ้มบางๆ อย่างจนใจ
“ฝ่าบาทเสด็จ! หรงเฟยเสด็จ!” ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานก็มีเสียงขันทีดังมาจากด้านนอก ทุกคนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบลุกขึ้นรอต้อนรับเสด็จ ฮ่องเต้แคว้นหวาพาหรงเฟยเดินจ้ำอ้าวเข้ามา ครั้นเห็นทุกคนย่อตัวถวายความเคารพก็โบกมืออมยิ้มให้อย่างอารมณ์ดีพร้อมตรัสว่า “นั่งเถิด เรากับหรงเฟยเดินผ่านสวนดอกไม้พอดี เห็นว่าครึกครื้นดีเลยแวะเข้ามาดู รบกวนฮองเฮาหรือไม่”
ตอนต่อไป