ครั้นเห็นรอยยิ้มออดอ้อนของหรงเฟยที่ยืนอยู่ด้านข้างฮ่องเต้แคว้นหวา เหล่าสนมคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาทันที ฮองเฮารีบยิ้มกล่าว “ฝ่าบาททรงตรัสเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันแค่เป็นห่วงว่าองค์หญิงหมิงเหอและเหอหรงจวิ้นจู่เพิ่งเข้าวังมายังไม่คุ้นเคยกับวังดีเลยเชิญเหล่าองค์หญิงจวิ้นจู่ทั้งหลายมาร่วมสังสรรค์กันเท่านั้น มิบังอาจรบกวนฝ่าบาทหรอกเพคะ” ฮ่องเต้แคว้นหวามององค์หญิงหมิงเหอและมู่อวิ๋นหรงพร้อมพยักหน้ายิ้มแย้มตรัสขึ้นว่า “ฮองเฮาช่างไตร่ตรองได้รอบคอบนัก หมิงเจ๋อ…”
“เพคะฝ่าบาท” มู่ชิงอีเดินก้าวเข้าไปหาพร้อมขานรับเสียงเบาท่ามกลางสายตาคนทั่วทั้งพระตำหนักที่จับจ้องนางอยู่
ฮ่องเต้แคว้นหวามองนางแล้วเอ่ยตรัสด้วยรอยยิ้ม “สีหน้าดูไม่เลวเลย แต่หากเจ้ารู้สึกเบื่อหน่ายก็พาคนติดตามออกไปเที่ยวนอกวังได้ ไม่ต้องทูลรายงานใดเพิ่มเติมแล้ว” เห็นได้ชัดว่าถ้อยคำน้ำเสียงช่างรักใคร่นางยิ่งนัก แม้แต่องค์หญิงหมิงเวยยังอดเผยสีหน้าตกใจไม่ได้ เพราะต่อให้เป็นนางก็ยังไม่เคยเห็นเสด็จพ่อทรงแสดงท่าทีเมตตาเป็นห่วงเป็นใยบุตรสาวคนใดเช่นนี้มาก่อน หากองค์หญิงหมิงเจ๋อเป็นบุตรสาวของเสด็จพ่อจริงๆ ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะทรงโปรดปรานนางขนาดไหนเชียว
“เพคะ ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” มู่ชิงอีก้มหน้าแล้วขานตอบอย่างนอบน้อม
“เจ้านี่นะ เหตุใดถึงยังวางตัวห่างเหินเช่นนี้อีก…” ฮ่องเต้แคว้นหวาทอดพระเนตรมองมู่ชิงอีที่ถวายความเคารพด้วยท่าทีนอบน้อมพร้อมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ท่าทางอึกอักราวกับยังอยากจะตรัสอะไรเพิ่มอีก แต่สุดท้ายก็ส่ายศีรษะแล้วไม่ตรัสอะไรอีกด้วยท่าทีเสียดาย
เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของฮ่องเต้แคว้นหวา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใดแต่ฮองเฮาก็รีบเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากฝ่าบาทไม่รีบเสด็จไปที่ใด เช่นนั้นก็นั่งด้วยกันก่อนสิเพคะ” ฮ่องเต้แคว้นหวามองเหล่าสตรีที่อยู่กันเต็มพระตำหนักเลยตรัสขึ้นว่า “เอาเถิด เราอยู่ที่นี่ไปพวกเจ้าก็ทำตัวไม่ถูกกัน เรามีธุระต้องไปห้องตำราหลวงอีก หรงเฟยเจ้าอยู่ต่อเถิด” ถึงแม้หรงเฟยจะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็รู้ว่าห้องตำราหลวงมิใช่สถานที่ที่ตนจะไปได้เลยรีบขานรับ จากนั้นทุกคนก็ส่งฮ่องเต้แคว้นหวาเสด็จกลับไป
รอกระทั่งฮ่องเต้แคว้นหวาเดินออกประตูไปในพระตำหนักถึงกลับมารื่นเริงสนุกสนานอีกครั้ง หรงเฟยหันไปคุยกับมู่ชิงอี คลี่ยิ้มกล่าว “ช่วงนี้องค์หญิงสบายดีหรือไม่เล่า” มู่ชิงอีขานตอบยิ้มๆ “ลำบากหรงเฟยต้องเป็นห่วงหม่อมฉันเสียแล้ว หมิงเจ๋อสบายดีเพคะ” ระยะนี้หรงเฟยเป็นที่โปรดปรานคอยติดตามพระองค์ตลอดจึงไม่ได้แวะมาที่เรือนรับรองหมิงฟังทุกวันเหมือนหลายวันก่อนหน้านี้ ทว่านางยังคงแสดงท่าทีอบอุ่นกับมู่ชิงอีไม่เปลี่ยน ในใจของหรงเฟยมั่นใจว่าต้องเป็นเพราะองค์หญิงหมิงเจ๋อผู้นี้แน่เลยทำให้ฝ่าบาททรงกลับมาโปรดปรานนางอีกครั้ง ซึ่งนางย่อมซาบซึ้งใจมากกว่าเดิม ถึงแม้มู่ชิงอีจะนึกขำขันอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้พูดคัดค้านความเข้าใจผิดของหรงเฟยแต่อย่างใด ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นหวาจะมักแวะมาถามสารทุกข์สุกดิบกับนางอยู่บ่อยๆ แต่นางก็เป็นแค่สตรีคนหนึ่งเท่านั้นแล้วจะเอ่ยถึงเรื่องเหล่าสนมในวังหลังต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ได้เช่นใด ไม่รู้ว่าหรงเฟยไปเอาความเข้าใจผิดนี้มาจากไหนถึงคิดว่าเหตุที่ฮ่องเต้แคว้นหวาเปลี่ยนไปเป็นเพราะฝีมือนาง
หรงเฟยฉีกยิ้มหวานแล้วเหลือบมองมู่อวิ๋นหรงที่นั่งอยู่ด้านข้างมู่ชิงอีพลางยิ้มกล่าว “ท่านผู้นี้คือเหอหรงจวิ้นจู่ใช่หรือไม่ เหอหรงจวิ้นจู่ช่างงดงามนัก น้องหญิงโหรวเฟยช่างมีบุญเหลือเกิน” รอยยิ้มบนใบหน้าของโหรวเฟยตึงทื่อขึ้นมาทันทีแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “พี่หญิงหรงเฟยเอ่ยชมกันเกินไปแล้วเพคะ” หลังจากมู่ชิงอีเข้าวังมา ฮ่องเต้แคว้นหวาก็ไม่แวะมาที่พระตำหนักหวาหยางอีกเลย ในทางกลับกันยังทรงโปรดหรงเฟยมากกว่าเดิมอีก อีกทั้งยังเรียกหรงเฟยเข้าไปปรนนิบัติถึงในห้องบรรทมทุกวี่วัน เพราะความโปรดปรานของหรงเฟยเลยทำให้องค์ชายเจ็ดค่อยๆ ผงาดขึ้นในราชสำนักอีกครั้ง หลายวันนี้มีข่าวลือว่าฝ่าบาททรงเตรียมแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งให้องค์ชายเจ็ดอีกด้วย
ฮ่องเต้แคว้นหวามีองค์ชายมากมายแต่ต้องรออายุครบสิบแปดชันษาถึงจะแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ให้ บัดนี้องค์ชายเจ็ดยังอายุไม่ถึงสิบเจ็ดชันษาและยังไม่ทันอภิเษกเลย ทว่าจู่ๆ กลับมีข่าวเล่าลือแพร่งพรายออกมาเช่นนี้แล้วเลยทำให้เหล่าองค์ชายคนอื่นๆ หรือแม้แต่คนที่เจออุปสรรคขัดขวางในระยะนี้อย่างมู่หรงอวี้ต่างไม่ถือว่าเป็นข่าวที่ดีเท่าไรนัก ในขณะเดียวกันหากบุตรที่ยังไม่ได้ให้กำเนิดหมดซึ่งความโปรดปรานเสียก่อนแล้วย่อมเป็นเรื่องน่ากลัวอีกเรื่องของมู่เฟยหลวนเช่นกัน พอถึงตอนนั้นยังไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งกุ้ยเฟย เกรงว่านางอาจจะตกอับถึงขั้นจูอวิ๋นผินด้วยซ้ำ ความจริงใช่ว่ามีองค์ชายแล้วจะนำพาไปทางที่ดีเสมอไป จูอวิ๋นผินให้กำเนิดองค์ชายถึงสองพระองค์แต่ก็ยังมิอาจรั้งความโปรดปรานของฝ่าบาทไว้ได้ อีกทั้งมู่เฟยหลวนมั่นใจว่าตนคงไม่มีทางอดทนอดกลั้นอยู่ในวังเพื่อบุตรชายโดยไม่มีปากไม่มีเสียงใดเหมือนจูอวิ๋นผินแน่นอน
ครั้นเห็นผู้หญิงที่มักอิจฉาริษยาตนแต่ก็ทำอะไรตนไม่ได้ในอดีต ทว่าบัดนี้กลับเชิดหน้าชูตาอยู่เบื้องหน้าเสียแล้ว โหรวเฟยก็พลันรู้สึกปวดใจราวกับถูกยาพิษกัดกินใจก็มิปาน
ฮองเฮามองพระสนมทั้งสองที่เจอกันทีไรก็จิกกัดกันทุกทีอย่างเอือมระอาแล้วขมวดคิ้วมุ่นเอ่ย “เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ระมัดระวังกิริยาต่อหน้าเด็กๆ หน่อยเถิด”
หลายวันนี้หรงเฟยอารมณ์ดีไม่หยอกเลยไม่ขัดพระทัยฮองเฮาแต่อย่างใด นางยิ้มเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เพคะ ฮองเฮา”
ฮองเฮามองเหล่าองค์หญิงจวิ้นจู่ที่มีสีหน้าแตกต่างกันไปวางตัวกันไม่ถูกแวบหนึ่ง กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา “เอาล่ะ ทุกคนไปเดินเล่นกันในสวนดอกไม้ก่อนเถิด นั่งกันอยู่ตรงนี้ก็น่าเบื่อ” สำหรับเหล่าองค์หญิงที่อยู่ในวังล้วนเดินชมสวนดอกไม้กันจนเบื่อนานแล้ว มีอะไรให้น่าเดินเล่นนักกัน แต่ต่อให้จะน่าเบื่อแค่ไหนก็ยังดีกว่าทนนั่งดูเหล่าสนมตามหึงหวงชิงดีชิงเด่นปะทะฝีปากกันไปมาเช่นนี้มิใช่หรือ ดังนั้นพอได้ยินฮองเฮากล่าวเช่นนั้นเหล่าองค์หญิงทั้งหลายก็รีบลุกขึ้นขอตัวออกไป
เดินออกจากศาลาริมน้ำไป เนี่ยอวิ๋นกำลังยืนรออยู่ตรงหน้าประตู เมื่อเห็นมู่ชิงอีเดินออกมาพร้อมกับองค์หญิงหมิงเวยก็รีบรุดหน้าเดินเข้าไปรับทันที มู่ชิงอีเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “หัวหน้าองครักษ์เนี่ยมีเรื่องอันใดหรือ” เนี่ยอวิ๋นกวาดตามองมู่อวิ๋นหรงที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกนางแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “ถวายบังคมองค์หญิงหมิงเวย ถวายบังคมองค์หญิงหมิงเจ๋อพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงหมิงเวยเองก็พอรู้ว่าบัดนี้เนี่ยอวิ๋นกลายเป็นองครักษ์ประจำตัวของมู่ชิงอีแล้ว ถึงแม้จะตกตะลึงอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร นางเพียงฉีกยิ้มบางกล่าว “หัวหน้าองครักษ์เนี่ยลุกขึ้นเถิด”
มู่อวิ๋นหรงย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแคว้นหวาอยู่แล้ว ทว่าพอยิ่งเห็นเขายืนตรงหน้ามู่ชิงอีด้วยท่าทีพินอบพิเทาก็ยิ่งทำให้นางนึกอิจฉาริษยา “น้องหญิงสี่ช่างมีบุญนัก แม้แต่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวายังกลายมาเป็นองครักษ์ติดตามของเจ้าได้” มู่ชิงอีขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเรียบ “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้หัวหน้าองครักษ์เนี่ยมาคุ้มกันดูแลข้าไม่กี่วันเท่านั้น หาใช่องครักษ์ของข้าไม่”
มู่อวิ๋นหรงแค่นเสียงเบาแต่ไม่นานก็เอ่ยอย่างได้ใจว่า “เพียงแต่ไม่รู้ว่าหัวหน้าองครักษ์เนี่ยมีวิทยายุทธ์ที่แกร่งกล้ากว่าหรือเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นจะมีวิทยายุทธ์ที่แกร่งกล้ามากกว่ากันนะ”
“เรื่องนี้พี่หญิงสามไปถามเลี่ยอ๋องเองเถิด” มู่ชิงอีโต้กลับเสียงเรียบ
“เจ้า!” มู่อวิ๋นหรงกัดฟัน เรื่องที่เกอซูฮั่นเคยเย้ยหยันนางเมื่อครั้งก่อนนางยังจำได้ขึ้นใจไม่มีลืม เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ตนจะต้องอภิเษกกับเขาเสียแล้ว! หากรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นแต่แรกคงไม่ล่วงเกินเกอซูฮั่นเช่นนั้นหรอก มู่อวิ๋นหรงนึกกลัดกลุ้มอยู่ในใจ มู่อวิ๋นหรงถลึงตามองมู่ชิงอีแวบหนึ่งแล้วถึงหมุนตัวเดินจากไป
องค์หญิงหมิงเวยมองพวกนางสองคนแวบหนึ่งด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยกับมู่ชิงอีว่า “หัวหน้าองครักษ์เนี่ยมีธุระกับเจ้า เช่นนั้นข้าไปก่อนก็แล้วกัน”
มู่ชิงอีพยักหน้าด้วยท่าทีขอบคุณ รอกระทั่งองค์หญิงหมิงเวยเดินจากไปแล้วถึงเอ่ยถามว่า “หัวหน้าองครักษ์เนี่ยมีเรื่องอันใดหรือ” นางนึกถึงศักดิ์ศรีของเนี่ยอวิ๋น ฉะนั้นเวลามู่ชิงอีออกไปไหนจะไม่พาเนี่ยอวิ๋นไปด้วย ในเมื่อเขาเคยเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์ของวังหน้า ทว่าบัดนี้กลับมาเป็นองครักษ์ติดตามองค์หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งแทน หากเจอะเจอคนคุ้นเคยของเนี่ยอวิ๋นเข้าคงดูไม่ดีเท่าไรนัก
เนี่ยอวิ๋นพยักหน้ากล่าว “เมื่อครู่มีนางในของพระตำหนักหวาหยางสืบข่าวเรื่องขององค์หญิงมาได้ว่าจะมีการลงมืออย่างลับๆ โปรดองค์หญิงระมัดระวังตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม? ในที่สุดก็โผล่หัวออกมาแล้วหรือ” มู่ชิงอีฉีกยิ้มบางพลางเฝ้ารอคอย หลายวันมานี้นางค่อยๆ เข้าใกล้มู่เฟยหลวนเพื่อให้นางลงมือก่อน มู่เฟยหลวนไม่ทำให้นางผิดหวังเลยจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่า…นางคิดจะทำอะไรกันแน่ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง มู่ชิงอีถึงกำชับว่า “ไม่ต้องจับตาดูมากนัก เพราะข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่านางคิดจะทำอะไร”
ตอนต่อไป