เนี่ยอวิ๋นมองมู่ชิงอีอย่างไม่เห็นด้วย ถึงแม้เขาจะรู้จุดประสงค์ของมู่ชิงอี แต่ถ้าอยากแสดงความหลักแหลมของตนจนเผลอแพ้ภัยตัวเองขึ้นมา คนที่ได้รับบาดเจ็บก็คือตัวนางเอง หลังจากรู้จักกันมาสองสามวันนี้ เนี่ยอวิ๋นรู้สึกว่าตนเข้าใจการกระทำทุกอย่างของมู่ชิงอีว่าทำไปเพื่อจุดประสงค์แล้ว แต่ก็เพราะเช่นนี้เขาเลยยิ่งรู้สึกแย่มากกว่าเดิม หากเขาอยากแสดงความจงรักภักดี เขาต้องกราบทูลรายงานเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ แต่หากอยากทำให้ตนสบายใจคงต้องยื่นมือเข้าไปช่วยมู่ชิงอี อีกอย่างเหตุที่องค์หญิงหมิงเจ๋อทำเช่นนี้ก็เพื่อมารดาของนางเอง ไม่ว่านางจะวางแผนร้ายกาจมากเพียงใด แต่อย่างน้อยก็เรียกได้ว่ามีความกตัญญูที่น่าชื่นชม
“ฉินกั๋วฮูหยินย่อมอยากให้องค์หญิงอยู่อย่างเป็นสุขมากกว่าแน่นอน” เนี่ยอวิ๋นเอ่ยโน้มน้าวเสียงเรียบ
แววตาของมู่ชิงอีเย็นยะเยือกเล็กน้อยแล้วฉีกยิ้มเย็นชากล่าว “ไม่ต้องกังวลไปหรอก หัวหน้าองครักษ์เนี่ยคิดว่าข้าจะยอมเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือหรือ”
เนี่ยอวิ๋นไม่พูดอะไรเป็นเชิงยอมรับว่าใช่ จากนั้นก็ทำเพียงถอนหายใจอย่างจนใจ
“น้องหญิงสี่ ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่เล่า” ฉับพลันมู่อวิ๋นหรงที่เดินจากไปด้วยความเกรี้ยวโกรธเมื่อครู่ก็เดินกลับมาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
มู่ชิงอีลอบถอนหายใจอย่างนึกเห็นใจ มู่อวิ๋นหรงไม่เหมาะจะเป็นคนหลอกล่อใครเลยจริงๆ คิดจะวางอุบายแต่กลับไม่ปูทางไว้ก่อน เมื่อครู่ยังปั้นหน้าตึงตังใส่ตนอยู่เลย ทว่าตอนนี้กลับฉีกยิ้มหน้าบานชวนตนไปเดินเล่นด้วยกันแล้ว หากระหว่างนี้เกิดอะไรขึ้นกับตน ต่อให้มีเป็นร้อยปากก็คงให้ความกระจ่างแก่นางไม่ได้แน่นอน
มู่ชิงอีเงียบไปพักหนึ่ง มู่อวิ๋นหรงขมวดคิ้วมุ่นอย่างกระวนกระวายใจแล้วเอ่ย “ข้าใกล้จะไปเกี่ยวดองที่แคว้นเป่ยฮั่นแล้ว น้องหญิงสี่จะไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว จากนั้นก็อมยิ้มพลางส่ายศีรษะส่งให้องค์หญิงหมิงเวยที่มองมาทางตนอย่างเป็นห่วง “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไปเถิด หัวหน้าองครักษ์เนี่ยกลับไปก่อนเถิด” หากมีเนี่ยอวิ๋นคอยติดตาม เกรงว่าอีกฝ่ายคงทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างแน่นอน มู่ชิงอีรู้สึกเอือมระอาไม่น้อย ขนาดคนอื่นคิดจะวางอุบายทำร้ายนาง นางยังต้องพยายามช่วยเปิดทางวางเงื่อนไขให้เป็นไปตามแผนการอีกต่างหาก
เนี่ยอวิ๋นมุ่นคิ้วเอ่ย “องค์หญิง แต่ฝ่าบาททรงรับสั่งให้กระหม่อมดูแลปกป้องอันตรายขององค์หญิง”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ข้าอยู่ในวังจะเป็นอันตรายใดไปได้อย่างไร หัวหน้าองครักษ์เนี่ย…ช่วยฝากบอกจูเอ๋อร์ให้ข้าทีว่าอีกประเดี๋ยวข้าอยากกินขนมฝูหรง[1]สักหน่อย” แบบนี้คงเป็นเหตุผลที่ไล่เขากลับไปได้อย่างชัดเจนแล้ว เนี่ยอวิ๋นมองมู่อวิ๋นหรงด้วยแววตาตักเตือนแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินจากไป มู่อวิ๋นหรงขึงตาจ้องเงาแผ่นหลังเนี่ยอวิ๋นตาเขม็งแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อะไรกัน เป็นแค่องครักษ์ติดตามตัวเล็กๆ คนหนึ่งบังอาจมาไร้มารยาทกับข้าหรือ!” มู่ชิงอีหมุนตัวกลับมาแล้วเอ่ยเตือนนางด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เวลานี้ฝ่าบาทยังไม่ได้ปลดเขาออกจากตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ ตอนนี้เขายังคงเป็นหัวหน้าองครักษ์วังหน้าเหมือนเดิมและพ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าราชองครักษ์ด้วย หากพี่หญิงสามอยากใช้ชีวิตในวังอย่างเป็นสุขล่ะก็…อย่าล่วงเกินเขาเลยจะดีกว่า”
ต่อให้เนี่ยอวิ๋นจะอยู่ในวังด้วยใจอันซื่อสัตย์แต่รากฐานก็มั่นคงกว่ามู่อวิ๋นหรงมากโข หากไม่ใช่เพราะกลัวมู่ฉังหมิงกับมู่เฟยหลวน ลำพังแค่จัดการมู่อวิ๋นหรงก็ง่ายนิดเดียว
เวลานี้มู่อวิ๋นหรงถึงหุบปากด้วยความระแวง
พวกนางสองคนเดินเคียงไหล่กันในสวนดอกไม้ มู่ชิงอีปล่อยให้มู่อวิ๋นหรงนำทางนางไปตรงจุดเปลี่ยวโดยไม่ปริปากส่งเสียงใดราวกับไม่ทันสังเกต จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงเรียบว่า “พี่หญิงสามมีเรื่องใดอยากคุยกับข้าอย่างนั้นหรือ” มู่อวิ๋นหรงมองนางพลางกัดฟันแน่น “ข้าก็แค่อยากพูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวมิได้หรือ ข้ารู้ว่าหลายวันมานี้ข้าทำกิริยาไม่ดีใส่เจ้า แต่ว่า…จู่ๆ ข้าถูกฝ่าบาทรับสั่งให้ไปเกี่ยวดองต่างแคว้น แล้ว…แล้วจะไม่ให้ข้าน้อยเนื้อต่ำใจได้เช่นไร”
เจ้าน้อยเนื้อต่ำใจแล้วเกี่ยวอันใดกับข้าด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าแค่แสดงกิริยาไม่ดีใส่ข้าแค่สองสามวันนี้หรือไร มู่ชิงอีเลิกคิ้วโดยไม่พูดอะไร
มู่อวิ๋นหรงเหลือบมองมู่ชิงอีพลางปาดน้ำตากล่าว “สถานที่อย่างแคว้นเป่ยฮั่น ข้าต้องไปใช้ชีวิตในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพียงลำพังเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปเช่นไรด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าก่อนหน้านี้ข้าเคยล่วงเกินเลี่ยอ๋องด้วยอีกต่างหาก…เขาเกลียดชังข้าขนาดนั้นแล้วจะปฏิบัติตัวดีกับข้าได้เช่นไร”
มู่ชิงอีมองมู่อวิ๋นหรงด้วยท่าทีตกใจ นางคิดว่าตนต้องอภิเษกกับเกอซูฮั่นอย่างนั้นหรือ ก็ใช่ ก่อนหน้านี้เกอซูฮั่นเคยไปขอหมั้นหมายถึงจวนซู่เฉิงโหวด้วยตัวเอง แบบนี้เลยทำให้คนส่วนมากย่อมคิดว่าองค์หญิงที่ไปเกี่ยวดองคงต้องอภิเษกขึ้นเป็นพระชายาเลี่ยอ๋องอยู่แล้ว แต่กลับไม่รู้เลยว่าการเป็นพระชายาของเลี่ยอ๋องลำบากกว่าเป็นพระสนมของฮ่องเต้แคว้นเป่ยฮั่นเสียอีก ส่วนจู่ๆ ตอนแรกบอกว่าจะขออภิเษกกับนางก็เป็นความคิดของเกอซูฮั่นเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่ามู่อวิ๋นหรงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ ครั้นเห็นสีหน้าตกใจของมู่ชิงอีก็นึกว่าซาบซึ้งใจเลยรีบพูดต่อขึ้นว่า “น้องหญิงสี่ เมื่อก่อนพี่ไม่ดีเอง…น้องหญิงสี่ช่วยพี่สามหน่อยได้ไหม วันหน้าพี่สามจะไม่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเจ้าอีกแล้ว” มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงเรียบว่า “พี่หญิงสามอยากให้ข้าช่วยอันใดหรือ”
มู่อวิ๋นหรงแอบดีใจ จากนั้นก็คว้ามือข้างหนึ่งของมู่ชิงอีมาแล้วเอ่ย “เจ้าช่วยทูลฝ่าบาททีว่าข้าไม่อยากไปเกี่ยวดองแคว้นอื่น”
มู่ชิงอีคลี่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มหวานลึกล้ำ “หากไม่อยากเกี่ยวดองแล้ว…เช่นนั้นตำแหน่งจวิ้นจู่ยังอยากได้อยู่ไหมเล่า ตำแหน่งภรรยาเอกสะใภ้ซุนและซูเหรินระดับสามยังอยากได้อยู่อีกหรือไม่ แล้วงานอภิเษกระหว่างพี่หญิงสามกับหนิงอ๋องยังอยากมีต่อไปอีกหรือไม่ อีกอย่าง…ต่อให้ฝ่าบาทจะยกเลิกไม่ให้พี่หญิงสามไปเกี่ยวดองตามพระราชโองการแล้ว แต่กระนั้นความผิดก็จะไม่ได้อยู่ที่แคว้นเป่ยฮั่น สาเหตุทุกอย่างจะกลับมาอยู่บนตัวพี่หญิงสามเหมือนเคย นอกจากดวงชะตาเป็นกาลกิณีแล้ว พี่หญิงสามจะยอมรับคำประณามอย่างอื่นไหวด้วยหรือไม่เล่า”
มู่อวิ๋นหรงหน้าซีดเผือด ฉับพลันก็แววตาลุกวาวขึ้นมาอีกครั้ง “ใช่แล้ว! ในเมื่อข้าเป็นกาลกิณี แล้วเหตุใดเป่ยฮั่นถึงยังเอาข้าไปเกี่ยวดองด้วยเล่า”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “เพราะ…พี่หญิงสามไม่ได้อภิเษกเป็นพระชายาสักหน่อย”
“นี่…ไม่ เป็นไปไม่ได้ เลี่ยอ๋องยังไม่มีพระชายาสักหน่อย” มู่อวิ๋นหรงกัดฟันเอ่ย ต่อให้เป็นจวิ้นจู่ไปเกี่ยวดองก็เถอะ แต่ถ้าต้องไปเป็นอนุละก็คงดูไม่ดีอย่างมาก มู่ชิงอีเอ่ยพลางมองนางกล่าว “พี่หญิงไม่ได้บอกพี่หญิงสามหรือว่าพี่หญิงสามต้องเข้าไปเป็นสนมของฮ่องเต้แคว้นเป่ยฮั่น ฮ่องเต้แคว้นเป่ยฮั่นและฮองเฮารักกันมาก ไม่ว่าเช่นไรก็ไม่มีวันแต่งตั้งให้พี่หญิงสามเป็นฮองเฮาหรอกกระมัง”
“ไม่! ข้าไม่เอาด้วยหรอก!” มู่อวิ๋นหรงกรีดร้องเสียงแหลม “ช่วยข้าที...น้องหญิงสี่ ขอร้องล่ะช่วยข้าทีเถิด” หากเข้าวังมาเป็นสนมในแคว้นหวานางจะไม่ติดอะไรเลย แต่ต้องถ่อไปไกลถึงเป่ยฮั่น…มู่อวิ๋นหรงไม่ได้โง่ จวิ้นจู่ผู้เกี่ยวดองคนหนึ่งอยู่ต่างบ้านต่างเมืองและไม่มีแรงหนุนใดๆ เลยหากเข้าวังไปจะมีสภาพเป็นใดได้ มู่เฟยหลวนเป็นสนมคนโปรดในวัง มู่อวิ๋นหรงเองก็เคยเข้าวังมาเยี่ยมเยียนบ้างเป็นครั้งคราวย่อมเคยเห็นสตรีต่างแคว้นที่ต้องมาเกี่ยวดองอยู่ในวังประปราย ยามที่ใบหน้างดงามสะสวยก็ยังพอไหว แต่ผ่านไปไม่กี่ปีพออายุมากขึ้นหน่อยก็ต้องใช้ชีวิตตรอมใจไปจนวันตายอยู่ในวัง ครั้นนึกถึงสีหน้าซังกะตายราวกับท่อนไม้ผุพังทั้งที่ยังไม่แก่ของหญิงสาวเหล่านั้น มู่อวิ๋นหรงก็อดสะท้านเฮือกไม่ได้
“ข้าต้องขอโทษพี่หญิงสามด้วย แต่ข้ามิอาจช่วยได้จริงๆ” มู่ชิงอีเอ่ยยิ้มๆ แล้วหมุนตัวก้าวไปทางเดินเล็กๆ เบื้องหน้า
ด้านหลังไร้ซึ่งสรรพเสียงใด ขณะที่มู่ชิงอีจะหันหน้ากลับมาก็ได้ยินเสียงคลุ้มคลั่งของมู่อวิ๋นหรงดังแว่วขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็อย่าหาว่าข้าใจไม้ไส้ระกำเลย! หากข้าอยู่ไม่เป็นสุขเจ้าก็อย่าหวังจะได้อยู่อย่างเป็นสุขเลย!” กลิ่นเครื่องหอมจางๆ ลอยมาจากด้านหลัง มู่ชิงอีรู้สึกเพียงว่าภาพเบื้องหน้าหมุนจนตาลายแล้วถึงค่อยๆ ล้มลงพื้นไป
มู่อวิ๋นหรงมองสาวน้อยที่หมดสติอยู่บนพื้นอย่างเย็นชา บนใบหน้างดงามปรากฏร่องรอยความเคียดแค้นบิดเบี้ยวให้เห็น จากนั้นก็แสยะยิ้มเอ่ย “เจ้าอย่าโทษว่าข้าใจร้ายเลย ถ้าจะโทษก็โทษที่เจ้าล่วงเกินคนไว้มากเกินไป! ถ้าจะโทษก็โทษที่เจ้า…ไม่ยอมช่วยข้า! ในเมื่อข้าต้องมีชีวิตอย่างไม่เป็นสุข ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขหรอก!”
———————–
[1]ขนมฝูหรง เป็นขนมที่มีลักษณะเหมือนข้าวซอยตัดแต่ด้านบนจะเคลือบด้วยชั้นแป้งรูปลักษณ์คล้ายขนมโก๋
ตอนต่อไป