“ช่างโง่เขลานัก” มู่เฟยหลวนเอ่ยอย่างเอือมระอาใจ “บัดนี้น้องสี่เป็นองค์หญิง หากทำเรื่องพรรค์นี้จริงๆ…นางจะมีหน้าอยู่ต่อไปได้เช่นไรเล่า นางย่อมยอมตายชดใช้ความผิดเหมือนสะใภ้จังนั่นแหละ” มู่อวิ๋นหรงผุดความคิดบางอย่างแวบขึ้นมา ฉับพลันก็รู้สึกเหมือนตนเดาอะไรได้แต่กลับไม่กล้าพูดออกมา ถึงแม้นางจะไม่ได้เฉลียวฉลาดและรู้ว่าเรื่องที่นางรับรู้ในวันนี้มันไปไกลเกินกว่าสิ่งที่นางควรรู้อยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฟยหลวนไม่ปล่อยโอกาสให้นางได้ถอยเลย เหตุเพราะนางถูกบีบจนอัดอั้นมานานเลยต้องการใครสักคนมาแบ่งเบาความลับที่เก็บซ่อนอยู่ในใจของตนนี้ไป “สตรีอย่างสะใภ้จังก็เป็นแบบนี้มิใช่หรือ นางกลับจวนไปไม่กี่วันก็ยอมตายอย่างว่าง่ายแล้ว ตัวนางเองก็รู้…ว่านางไม่ควรมีชีวิตต่อไปบนโลกใบนี้ หลังจากนั้นมาฝ่าบาทก็ปฏิบัติกับข้าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง…แต่ว่าเขาก็เอาแต่คิดถึงผู้หญิงคนนั้น! กระทั่งพลอยทำให้ข้าคิดถึงผู้หญิงคนนั้นไปด้วย!”
ขณะที่พูดประโยคสุดท้าย มู่เฟยหลวนก็ตัวสั่นเทิ้มเบาๆ ผู้หญิงคนหนึ่งถูกสามีของตัวเองชวนให้คิดถึงหาแต่ผู้หญิงอีกคน อีกทั้งตนยังถูกบีบบังคับให้แสดงออกว่านางเองก็คิดถึงและเลื่อมใสผู้หญิงคนนั้นจับใจ มู่เฟยหลวนคิดว่าตนยังไม่ระเบิดอารมณ์คลุ้มคลั่งออกมาก็นับว่าเก่งมากแล้ว แต่นางก็อับจนปัญญาเพราะหากนางอยากเป็นสนมคนโปรดของพระองค์ในวังแห่งนี้ก็ต้องกุมหัวใจของฝ่าบาทไว้ให้ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะใช้ความงดงามของนาง สติปัญญาของนางและความเฉลียวฉลาดของนางทว่าล้วนไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น ฝ่าบาทแทบไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด นางทำได้เพียงอดกลั้นต่อความรู้สึกขยะแขยงนี้เอ่ยรำลึกถึงผู้หญิงที่ตายไปแล้วต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงที่นางเคยเรียกว่าท่านแม่ใหญ่ด้วยซ้ำ
“พี่หญิงใหญ่…ข้าอยากกลับแล้ว…ข้ารู้สึกเหนื่อย” มู่เฟยหลวนมองนางด้วยใบหน้าเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มเอ่ย “ไปไหนกัน เมื่อครู่ยังเอะอะโวยวายอยากมานักมิใช่หรืออย่างไร อย่าห่วงไปเลย ข้าช่วยจัดการให้เจ้าแล้ว เจ้าอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนข้าที่นี่เถิด หรงเอ๋อร์ แต่ไหนแต่ไรมาข้ารักเจ้ามากที่สุด ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรเจ้าก็จะไม่เอาไปบอกคนอื่นใช่หรือไม่”
มู่อวิ๋นหรงพยักหน้าด้วยท่าทีหวาดกลัว มู่เฟยหลวนคลี่ยิ้มอ่อนหวาน “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่บอกคนอื่นหรอก มิเช่นนั้น…หากฝ่าบาทตามสืบขึ้นมา พวกเราคงต้องโทษประหารกันยกครัว เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของจวนซู่เฉิงโหวเหมือนกันใช่หรือไม่เล่า”
“โทษประหารยกครัวหรือ” มู่อวิ๋นหรงเอ่ยด้วยท่าทีตื่นตระหนก แต่จะว่าอย่างไรแค่วางอุบายทำร้ายมู่ชิงอีคงไม่ถึงขนาดต้องโทษประหารยกครัวหรอกกระมัง ฉับพลันมู่อวิ๋นหรงก็ผุดความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัวเอ่ยด้วยท่าทีตกใจว่า “พี่หญิงใหญ่ หญิงใหญ่ทำอะไรอีกอย่างนั้นหรือ หรือว่า…พี่หญิงใหญ่…เรื่องฮูหยินใหญ่ก็เป็นฝีมือพี่หญิงใหญ่ด้วยหรือ” มู่เฟยหลวนขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจแล้วถึงยิ้มกล่าว “ข้าก็บอกไปแล้วมิใช่หรือ สิ่งที่ฝ่าบาทปรารถนาข้าย่อมต้องไขว่คว้าหามาถวายให้พระองค์ เหอะๆ…ในพระตำหนักหวาหยางของข้าและในห้องบรรทมห้องนี้แหละ เจ้ารู้หรือไม่…ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็ม…คนอื่นๆ ต่างคิดว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานข้า แต่ใครจะรู้ว่าทุกวันที่ฝ่าบาทเสด็จมาที่พระตำหนักหวาหยางแห่งนี้ก็เพื่อร่วมรักกับผู้หญิงคนนั้น…ส่วนข้า ข้าทำได้เพียงแค่หลบไปอยู่ห้องของตัวเอง”
“ฮูหยินใหญ่…” มู่อวิ๋นหรงขมวดคิ้วมุ่น
แต่ไม่นานเหมือนมู่เฟยหลวนก็นึกอะไรขึ้นได้เลยฉีกยิ้มอย่างได้ใจ “เจ้ารู้หรือไม่ ตอนแรกผู้หญิงคนนั้นคิดจะฆ่าตัวตาย แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า ในเมื่อนางยังมีบุตรสาวอีกคนอยู่ที่จวน ข้าบอกนางเพียงว่าหากนางตายไป…ข้าก็จะเอาบุตรสาวของนางมาถวายให้ฝ่าบาทถึงในวัง จากนั้นนางก็ยอมอย่างว่าง่ายทันที แต่น่าสงสาร…ที่ฝ่าบาทคิดว่า…ผู้หญิงคนนั้นเต็มใจอยู่กับเขาเอง อีกทั้งยังปรึกษาข้าหาวิธีรับนางเข้าวังอย่างเปิดเผยด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังคิดจะแต่งตั้งนางให้เป็นกุ้ยเฟยอีกต่างหาก นางจะคู่ควรได้เช่นใดกัน! นางสมควรตายนานแล้ว! แต่…ต่อให้นางอยากตายก็ห้ามตายในพระตำหนักหวาหยางของข้า นางเลยทำได้แค่พาลูกชู้ตายไปพร้อมกันในเรือนเล็กของจวนซู่เฉิงโหว!”
มู่อวิ๋นหรงนึกถึงเหตุการณ์ที่มู่ชิงอีบอกว่าเคยเห็นพี่หญิงใหญ่กลับจวนคืนก่อนที่จังฮูหยินจะตายในพระตำหนักหวาหยางครั้งก่อน จากนั้นนางก็หน้าซีดขึ้นมาทันทีแล้วใช้นิ้วชี้ที่สั่นเทิ้มไปทางมู่เฟยหลวนเอ่ยว่า “พี่หญิใหญ่…ฆ่าอย่างนั้นหรือ…” นางเป็นคนฆ่าฮูหยินใหญ่อย่างนั้นหรือ อีกทั้งยังฆ่าลูกที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกคนหนึ่ง…ที่ไม่รู้ว่าเป็นองค์ชายหรือองค์หญิงด้วยซ้ำ
“แล้วอย่างไรเล่า” มู่เฟยหลวนยิ้มอย่างดูแคลน ครั้นเห็นท่าทีหวาดกลัวของมู่อวิ๋นหรง มู่เฟยหลวนก็ขยับเข้าไปโอบนางอย่างเบามือเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “หรงเอ๋อร์อย่ากลัวไปเลย ข้าเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่เป็นไรหรอก รอหลังจากมู่ชิงอีตายไป ฝ่าบาทต้องโปรดปรานข้ามากขึ้นแน่นอน พอถึงตอนนั้น…ต่อให้ฝ่าบาทจะไม่ยกเลิกพระราชโองการ แต่ข้าก็จะวิงวอนขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งเจ้าเป็นองค์หญิงอภิเษกไปอยู่แคว้นเป่ยฮั่นอย่างสมศักดิ์ศรีแน่นอน พอเจ้าไปถึงเป่ยฮั่น ต่อให้จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็ไม่ต้องกลัวแล้วมิใช่หรือ”
มู่อวิ๋นหรงรู้สึกเพียงว่าหนาวสะท้านไปทั้งร่าง จากนั้นก็กอดตัวเองตัวกลมแล้วหดตัวซุกเข้าอ้อมอกของมู่เฟยหลวน ทว่านางกลับรู้สึกว่าอ้อมอกของมู่เฟยหลวนเย็นยะเยือกเสียกว่า แต่ก็ไม่กล้าดิ้นอะไรมาก นางเป็นคุณหนูของจวนซู่เฉิงโหวและถูกตามใจจนเสียนิสัยมาตั้งแต่เด็ก แทบทุกเรื่องล้วนมีท่านแม่คอยจัดการแทนนางเสมอ ต่อให้นางจะอยากให้มู่ชิงอีไปตายเสีย แต่นางก็ไม่เคยฆ่าใครมาก่อนจริงๆ และยิ่งไม่เคยฆ่าองค์ชายหรือองค์หญิงมาก่อนด้วย
ครั้นมู่เฟยหลวนก้มหน้าเห็นท่าทีหวาดกลัวของมู่อวิ๋นหรงเช่นนั้นก็ผลักนางออกแล้วหยัดกายลุกขึ้นอย่างดูแคลน ตนไม่เคยคาดหวังอะไรจากน้องสาวผู้นี้ได้อยู่แล้ว คนแบบนี้ก็ดีแต่อาศัยจวนซู่เฉิงโหวดึงตัวเองให้สูงส่ง ทั้งโง่เขลาทั้งขี้ขลาด หากไม่มีจวนซู่เฉิงโหวคอยคุ้มหัวนางก็คงทำอะไรไม่ดีสักอย่าง คนแบบนี้ไปเกี่ยวดองต่างแคว้นก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องอยู่เมืองหลวงคอยสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ตน
มู่ชิงอีกำลังปิดตาทั้งสองข้างนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบหลังม่านบาง แต่หากมองเห็นมือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อคงพบว่ามือสวยเรียวงามทั้งสองข้างของนางถูกหยิกจนช้ำเลือดไปหมดแล้ว
น้าหญิง…ท่านต้องมาเจอเรื่องทุกข์ทรมานเช่นนี้…ถูกมู่เฟยหลวนบีบบังคับให้ฝ่าบาทขืนใจ และสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าก็คือมู่เฟยหลวนใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ดึงตัวเองให้กลายเป็นสนมคนโปรด เพียงนางสร้างเรื่องขึ้นว่าท่านน้าหญิงเองก็ชอบพอกับฮ่องเต้แคว้นหวาแต่มิอาจทนรับคำประณามไร้ศีลธรรมนี้ได้เลยเกิดเหตุการณ์ฆ่าตัวตายขึ้น! มู่เฟยหลวน ข้าจะทำให้เจ้า…รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น!
ม่านเนื้อบางหลายชั้นถูกเปิดออก มู่เฟยหลวนสาวเท้าเดินเข้ามาจากด้านนอกแล้วก้มมองสาวน้อยที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียง นางเอ่ยยิ้มเยาะพร้อมปรากฏความเคียดแค้นชิงชังพาดผ่านแววตา “น้องหญิงสี่ เจ้าอย่าโทษข้าเลย ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าเอง หากเจ้าเป็นคุณหนูสี่แห่งจวนซู่เฉิงโหวที่ใบหน้าเสียโฉมคนหนึ่งหรือฉังหนิงจวิ้นจู่อย่างว่าง่ายก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่เจ้ากลับบังอาจใช้ใบหน้าของเจ้ามาเชิดหน้าชูตาต่อหน้าข้า เหอะๆ…หากเจ้าเหมือนแม่ของเจ้าขึ้นมา ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะทำเช่นไร! เอ๊ะ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปเพราะข้าไม่ฝืนใจให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อหรอก ฮ่าๆ…แม่กับลูกต้องมาปรนนิบัติให้ผู้ชายคนเดียวกัน พอถึงตอนนั้นเจ้าจะรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้หนึ่งวันก็คือความอดสูของเจ้า ในฐานะที่เจ้าเป็นองค์หญิงแต่กลับยั่วยวนฝ่าบาท…ฮ่าๆ”
“พี่หญิงใหญ่ช่างหัวเราะไม่น่าฟังเอาเสียเลย” เสียงสบายๆ ของมู่ชิงอีดังขึ้นในห้อง จู่ๆ เสียงหัวเราะได้ใจของมู่เฟยหลวนก็ติดอยู่ในลำคอ มู่เฟยหลวนเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกจับจ้องมู่ชิงอีที่อยู่บนเตียงโดยไม่รู้ว่าฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรแล้วกรีดร้องเสียงสูง “เจ้า…เหตุใดเจ้าถึง”
ตอนต่อไป