สถานที่ที่นัดเจอจ้าวจื่ออวี้ก็ยังคงเป็นศาลาชิงอานเฉกเช่นเคย ศาลาชิงอานเป็นสถานที่นัดรวมพลที่เหล่าผู้มีความรู้และผู้มีอิทธิพลใหญ่โตมากมายชื่นชอบกัน อีกอย่างการจัดการเรื่องต่างๆ ในถิ่นของตัวเองมักสะดวกกว่า ตอนที่มู่ชิงอีพาอิ๋งเอ๋อร์มาถึงศาลาชิงอานก็เห็นว่าจ้าวจื่ออวี้นั้นมาถึงก่อนแล้ว รวมถึงเซ่าจิ่นก็มาด้วยพร้อมกันเหมือนครั้งก่อน ครั้นเห็นมู่ชิงอีพวกเขาสามคนก็รีบรุดหน้าไปถวายทำความเคารพ มู่ชิงอีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อานซีจวิ้นอ๋องกับใต้เท้าเซ่าจะมากพิธีรีตองไปทำไมเล่า”
เซ่าจิ่นยิ้มกล่าว “มิอาจขาดตกบกพร่องเรื่องทำความเคารพไปได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก พวกเขาสี่คนนั่งลง จ้าวจื่ออวี้มองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องนี้ต้องขอบพระทัยองค์หญิงมากจริงๆ ข้าพูดคำไหนคำนั้น ข้าติดค้างหนี้บุญคุณขององค์หญิง ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามหากองค์หญิงมีเรื่องใดให้รับใช้ ขอเพียงไม่เหลือบ่ากว่าแรง ข้าย่อมมิบังอาจผิดคำพูดแน่นอน” มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มกล่าว “ข้าเชื่อว่าซีอานจวิ้นอ๋องเป็นสุภาพชนที่พูดจาหนักแน่นดั่งภูผา หากถึงเวลานั้นมีเรื่องต้องขอร้องจริงๆ ข้าไม่มีทางเกรงใจอยู่แล้ว” จ้าวจื่ออวี้พยักหน้ายิ้มรับ ในเมื่อเขาเป็นนักรบแห่งกองทัพ ถึงแม้จะเป็นคนเจ้าเล่ห์จอมวางแผนแต่สำหรับคนตรงไปตรงมาแล้วมักจะชอบเช่นนี้มากกว่า หากมู่ชิงอีพูดจาอ้อมค้อมแสร้งทำเป็นเกรงใจ เขาคงไม่ชอบใจเสียด้วยซ้ำ
เซ่าจิ่นยกแก้วขึ้นพร้อมยิ้มเอ่ย “จื่ออวี้พูดถูก ครั้งนี้ต้องขอบพระทัยองค์หญิงอย่างยิ่ง หากในเมืองหลวงมีเรื่องใดที่กระหม่อมพอช่วยได้ โปรดองค์หญิงรีบส่งคนมาบอกที่ศาลอิงเทียนฝู่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ชิงอีมองเนี่ยอวิ๋นแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ข้าก็แค่พูดๆ ไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่กลับได้คำมั่นสัญญาจากอานซีจวิ้นอ๋องและใต้เท้าเซ่าเสียแล้ว หัวหน้าองครักษ์เนี่ยช่างมีบุญนักที่มีสหายเช่นนี้” เนี่ยอวิ๋นยิ้มบางเอ่ย “อานซีจวิ้นอ๋องและศิษย์พี่เซ่าช่างมีมิตรภาพที่ลึกซึ้งนัก…ข้าเองก็รู้สึก…”
เซ่าจิ่นโบกมือเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าเป็นศิษย์พี่ของจื่ออวี้ ข้าเองก็นับว่าเรียนมาด้วยกันกับเขา ด้วยมิตรภาพที่พวกเราเติบโตมาด้วยกัน หากพูดเช่นนี้ก็เหมือนเราเป็นคนแปลกหน้ากันแล้ว” จ้าวจื่ออวี้พยักหน้าเอ่ย “เซ่าจิ่นพูดถูก ศิษย์พี่เห็นข้าเป็นคนอื่นหรืออย่างไร”
มู่ชิงอีมองพวกเขาสามคนแล้วก็อดชื่นชมเสียงเบาไม่ได้ บนโลกใบนี้แม้แต่พี่น้องกันแท้ๆ ยังเข่นฆ่ากันเลือดนองด้วยเรื่องเล็กๆ แต่พวกเขาสามคนที่ไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกันเลยกลับมีมิตรภาพแน่นแฟ้นซึ่งหาได้ยากมากจริงๆ
เซ่าจิ่นมองมู่ชิงอีแวบหนึ่งแล้วเอ่ยยิ้มๆ “คิดไม่ถึงว่าวันนี้องค์หญิงจะออกจากวัง เมื่อครู่ตอนเนี่ยอวิ๋นโผล่มาทำเอาพวกกระหม่อมตกใจกันแทบแย่”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม “คิดไม่ถึงหรือ เพราะเหตุใดเล่า”
เซ่าจิ่นส่ายศีรษะอย่างจนใจแล้วกดเสียงลงยิ้มเอ่ย “แบบนี้มิใช่ว่าองค์หญิงรู้ดีแก่ใจแต่แสร้งถามกระหม่อมอย่างนั้นหรือ ในวังเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น แม้แต่คนใจกล้าบ้าบิ่นอย่างองค์หญิงหมิงฮุ่ยยังว่าง่ายอยู่แต่ในวังไม่กล้าออกมาเที่ยวนอกวังเสียด้วยซ้ำ”
ครั้นรู้ว่าเซ่าจิ่นหมายถึงเรื่องมู่เฟยหลวน มู่ชิงอีก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร นางยิ้มบางกล่าว “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับพวกเรากระมัง”
เซ่าจิ่นมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีสนอกสนใจแล้วไม่พูดอะไรอีก เขาเอ่ยเพียงว่า “ได้ยินว่าวันนี้กงอ๋องเข้าวังตั้งแต่เช้าตรู่ เกรงว่าคงไปเพื่ออวิ๋นผิน…อวิ๋นกุ้ยเหรินกระมัง ปีนี้กงอ๋องผู้นี้…ช่างเคราะห์ร้ายเสียจริง” จะไม่เรียกว่าเคราะห์ร้ายได้อย่างไร ตั้งแต่เดือนห้ามาดวงชะตาของมู่หรงอวี้ก็เจอแต่เรื่องไม่ดีมาตลอด นี่อาจเป็นเคราะห์ร้ายตลอดหลายปีของคนอื่นทว่าเขากลับเจอมาหมดในระยะเวลาหนึ่งเดือน ยังไม่พูดถึงว่าอำนาจที่มีอยู่ในมือถูกรื้อกระจัดกระจาย แม้แต่น้องชายแท้ๆ แม่คนเดียวกันยังนอนหมดสติอาการปางตาย มารดาที่เป็นถึงพระสนมเอกตำแหน่งสูงส่งกลับกลายเป็นเพียงกุ้ยเหรินที่มีอยู่เกลื่อนวัง หากคว้าเหล่าสนมที่ฝ่าบาทเคยบรรทมด้วยบ้างมาสักกำมือ ในจำนวนสิบคนก็มีกุ้ยเหรินปาไปแปดคนแล้ว หากเป็นเช่นนี้สถานะของมู่หรงอวี้คงกระอักกระอ่วนใจน่าดู
จ้าวจื่ออวี้แค่นเสียงเบาทีหนึ่งราวกับไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง ระหว่างเขากับมู่หรงอวี้มีปมแค้นต่อกัน ดังนั้นเขาย่อมไม่มีความเห็นใจให้อยู่แล้ว หากมู่หรงอวี้ดวงซวยต่างหากเขาถึงจะดีใจ
เนี่ยอวิ๋นมองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าซับซ้อนแวบหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่ตาลปัตรในวังครั้งนี้ล้วนเป็นเพราะฝีมือของสาวน้อยวัยแรกแย้มที่กำลังนั่งจิบชาพร้อมฉีกยิ้มร่าเริงฟังพวกเขาสนทนากันตรงหน้านี้เล่า
“มู่หรงอานเป็นเช่นใดบ้างแล้ว” มู่ชิงอีเอ่ยถามอย่างสงสัย
จ้าวจื่ออวี้ยิ้มเยาะเอ่ย “จะเป็นเช่นใดไปได้ หลังจากหมอหลวงในวังหลายคนวินิจฉัยอาการต่างก็บอกว่าหากไม่ฟื้นขึ้นมา…มู่หรงอานคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งเดือนแล้ว ศิษย์พี่ ท่านคิดเห็นเช่นใดบ้าง” จ้าวจื่ออวี้ผ่านความตายบนสนามรบมานับไม่ถ้วนแล้วจะมีอาการบาดเจ็บใดบ้างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นบาดแผลของมู่หรงอานแต่ก็ทำเอาเขานึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ในเมื่อตกมาจากเหวสูงขนาดนั้น หากไม่ตายในที่เกิดเหตุก็ต้องพิการบ้างกระมัง แต่ศีรษะกระแทกจนหมดสติไปเช่นนี้กลับน่าสนใจไม่น้อย เหตุใดถึงไม่ศีรษะกระแทกพื้นจนแตกเป็นรูโบ๋ไปเลยเล่า
เนี่ยอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยเสียงเบา “หนิงอ๋อง…น่าจะไปล่วงเกินยอดฝีมือจอมฉกาจคนใดเข้ามากกว่ากระมัง”
แววตาของมู่ชิงอีวูบไหวเล็กน้อย ความสนใจของจ้าวจื่ออวี้และเซ่าจิ่นเลยถูกเบี่ยงเบนไปทางนั้นทันที เซ่าจิ่นเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “เนี่ยอวิ๋น เจ้ารู้อาการของเขาหรือ” เนี่ยอวิ๋นเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเคยได้รับพระราชบัญชาจากฝ่าบาทให้ไปดูอาการครั้งหนึ่ง เหมือนว่า…จะเป็นเคล็ดวิชาสกัดจุดลมปราณวิชาหนึ่ง”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่กราบทูลฝ่าบาทไปเล่า เจ้าเองก็แก้ไม่ได้หรือ อีกฝ่ายเก่งกว่าเจ้าอีกหรือ” เซ่าจิ่นเอ่ยอย่างประหลาดใจ
เนี่ยอวิ๋นส่ายศีรษะกล่าว “อีกฝ่ายอาจจะไม่ได้เก่งไปกว่าข้าหรอก แต่ถึงแม้เคล็ดวิชาสกัดจุดลมปราณอะไรนี่จะไม่ได้สุดยอดถึงขั้นนั้น แต่ทุกตระกูลมักมีวิธีการลับเฉพาะเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นวิธีการ ตำแหน่งและความหนักเบา หากขาดเกินแม้แต่นิดเดียวก็ใช้ไม่ได้ผลแล้ว หากมีคนรั้นจะลองคลายสกัดจุดล่ะก็ หนิงอ๋องคงเลือดออกทั้งเจ็ดทวารจนถึงแก่ความตายในทันที”
จ้าวจื่ออวี้มุ่นคิ้วกล่าว “เช่นนั้นก็หมายความว่า…ต้องให้คนที่ทำร้ายหนิงอ๋องเป็นคนคลายสกัดจุดให้หนิงอ๋องเองอย่างนั้นหรือ”
เนี่ยอวิ๋นพยักหน้า
มิน่าเล่าหมอหลวงเหล่านั้นถึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหนิงอ๋องได้รับบาดเจ็บทางสมอง เพราะหนิงอ๋องฟื้นขึ้นมาไม่ได้แล้ว หากตอนนั้นอีกฝ่ายคิดจะช่วยหนิงอ๋องคงไม่เปลืองแรงทำร้ายเขาแน่นอน ทว่าจ้าวจื่ออวี้กลับสงสัยว่าในเมืองหลวงมียอดฝีมือเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร “คนที่ลงมือมีวิทยายุทธ์เก่งกาจเพียงใด”
เนี่ยอวิ๋นเอ่ยพลางขบคิดไปด้วย “อย่างน้อยก็น่าจะสูสีกับข้า”
“เช่นนั้นก็มีอยู่ไม่กี่คนหรอก” หากจะพูดให้ถูกก็คือคนที่พวกเขารู้จักมีแค่คนๆ เดียว…เกอซูฮั่นเลี่ยอ๋องแห่งแคว้นเป่ยฮั่น เนี่ยอวิ๋นส่ายศีรษะเอ่ย “ไม่ใช่เกอซูฮั่นแน่นอน เคล็ดวิชาสกัดจุดลมปราณเป็นศาสตร์วิทยายุทธ์ที่มีความละเอียดอ่อนมาก กำลังภายในของเกอซูฮั่นเด็ดขาด เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่เหมือนฝีมือของเขาเลยสักนิด แต่ถ้าเป็นคนที่ดักซุ่มโจมตีเกอซูฮั่นคืนนั้นล่ะก็…” คนที่สามารถทำร้ายเกอซูฮั่นได้ อย่างน้อยต้องมีฝีมือวิทยายุทธ์พอๆ กับเกอซูฮั่น อีกทั้งตัวตนของคนผู้นี้ดูลึกลับ นอกจากเกอซูฮั่นก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร
เซ่าจิ่นเลิกคิ้วกล่าว “เหมือนข้าจะเคยได้ยินมาว่าคนที่ดักซุ่มทำร้ายเลี่ยอ๋องในคืนนั้นก็คือคุณชายอวิ๋นอิ่นอะไรนี่แหละ” เซ่าจิ่นเติบโตมาในเมืองหลวงแคว้นหวา เขาไม่ได้เดินบนเส้นทางวิทยายุทธ์ย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นผู้นี้เป็นใคร ความจริงแม้แต่ยอดฝีมืออย่างเนี่ยอวิ๋นยังไม่ค่อยรู้จักคุ้นเคยเท่าไรเลย ทว่าจ้าวจื่ออวี้ที่ใช้ชีวิตแถบชายแดนมานานกลับสูดเอาไอเย็นเข้าเต็มปอดแล้วเอ่ยอย่างตกใจ “อวิ๋นอิ่นหรือ ตัวกาลกิณีนั่นมาปรากฏตัวในเมืองหลวงได้เช่นไรกัน”
จ้าวจื่ออวี้ประจำการอยู่เขตชายแดนมาหลายปีย่อมรู้เรื่องระหว่างแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่นมากกว่าพวกเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นธรรมดา อีกทั้งคุณชายอวิ๋นอิ่นก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่นเช่นกัน เพียงแต่… “หนิงอ๋องจะไปล่วงเกินคุณชายอวิ๋นอิ่นนั่นได้เช่นใด” จ้าวจื่ออ๋องเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย คนหนึ่งแทบไม่เอาตัวออกห่างจากเมืองหลวง ส่วนอีกคนก็ไม่เคยมาเมืองหลวงเลยสักครั้ง คนอย่างพวกเขาสองคนจะมีปมแค้นอะไรกันได้
ตอนต่อไป