จนกระทั่งวันนั้น ตอนที่เขาออกจากวังแอบเดินอ้อมไปทางพระตำหนักหวาหยางก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังแว่วมาจากด้านใน เขานึกแปลกใจขึ้นมาชั่วขณะเลยลักลอบเข้าไปในนั้น ด้วยฝีมือวิทยายุทธ์ของเขา หากคิดจะไปที่ใดย่อมไม่มีใครในวังสังเกตเห็นอยู่แล้ว ตอนนั้นเขายังไม่ใช่คนสำคัญของฮ่องเต้แคว้นหวาจึงไม่มีสิทธิ์รับใช้ติดตามพระองค์ไปไหนมาไหนในวัง ดังนั้นพอเขาแอบเข้าไปในพระตำหนักหวาหยางแล้วถึงรู้ว่าพระตำหนักหวาหยางแห่งนี้ยังมีสาวงามอีกคนนอกเหนือจากมู่เฟยหลวนด้วย
ยามที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่ตามลำพังมักจะร่ำไห้ด้วยความสิ้นหวัง ทว่ายามที่ฮ่องเต้แคว้นหวาเสด็จมาก็ทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้จะเรียกไม่ได้ว่ามีความสุขแต่ก็มองไม่เห็นท่าทีขัดขืนใดเช่นกัน หากไม่เห็นความทุกข์ใจสิ้นหวังก่อนหน้านี้ เนี่ยอวิ๋นก็คงหลงคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนรักที่ฮ่องเต้แคว้นหวาเก็บซุกซ่อนไว้ในพระตำหนัก พอตอนหลังเห็นผู้หญิงคนนั้นพยายามฆ่าตัวตายอยู่หลายครา แต่กลับถูกมู่เฟยหลวนเอาบุตรสาวของนางมาข่มขู่ สุดท้ายเนี่ยอวิ๋นเลยเดาสถานะของผู้หญิงคนนี้ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแผนการที่ทั้งน่ารังเกียจและสกปรกตั้งแต่เกิดมาราวยี่สิบกว่าปีนี้เลยก็ว่าได้ แม้แต่ความเน่าเฟะของตระกูลเนี่ยที่ทำให้เขาขยะแขยงยังไม่เคยเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นมาก่อนเลย
“ใครก็ได้มาช่วยข้าที...อีเอ๋อร์…อีเอ๋อร์ของข้า”
เนี่ยอวิ๋นเกาะอยู่บนชายคาพลางมองแววตาที่ไร้ชีวิตชีวาสิ้นหวังของผู้หญิงคนนั้นในพระตำหนัก เขารู้ว่าหากไม่ใช่เพราะอีเอ๋อร์ที่นางพร่ำพูดถึง บางทีผู้หญิงคนนี้คงฆ่าตัวตายไปนานแล้ว
เนี่ยอวิ๋นไม่ได้ช่วยนางเพราะเขาไร้หนทางจะช่วยนางได้ เขาเป็นองครักษ์ในวัง ต่อให้เขาจะพาผู้หญิงคนนี้หนีออกจากวังไปอย่างเงียบๆ ได้แล้วอย่างไรเล่า นางยังมีบุตรสาวอีกคนในจวนซู่เฉิงโหว แต่ต่อให้จะพาพวกนางสองคนนี้หนีไปได้ แต่ผู้หญิงที่อ่อนแอไร้ที่พึ่งพิงจะใช้ชีวิตต่อไปเช่นใด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…เขามิอาจทรยศต่อฝ่าบาทได้ ทุกครั้งที่เห็นฝ่าบาทผ่อนคลายมีความสุขยามอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ เนี่ยอวิ๋นปรารถนาอยากทำลายความสุขจอมปลอมนี้ทิ้งเสียเหลือเกิน แต่สุดท้ายเขากลับไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง
หลังจากนั้นไม่นานผู้หญิงคนนั้นก็ถูกส่งตัวออกจากวังกลับจวนซู่เฉิงโหวไปอย่างเงียบๆ เนี่ยอวิ๋นลอบผ่อนลมหายใจ บางทีเขาอาจตัดสินใจถูกแล้ว เพราะกลับไปถึงจวนนางก็ยังได้เจอบุตรสาวและลืมทุกสิ่งทุกอย่างนี้พร้อมเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่…หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีข่าวแพร่สะพัดเข้ามาในวังว่า…สะใภ้จังฮูหยินของจวนซู่เฉิงโหวฆ่าตัวตาย เพราะเรื่องตระกูลกู้และตระกูลจังในตอนนั้นเลยทำให้ข่าวการตายของสะใภ้จังไม่เป็นที่สนใจของใครเท่าไรนัก ฝ่าบาททรงกริ้วอาละวาดอย่างหนัก หลังจากตื่นจากอาการเมามายแล้วถึงแต่งตั้งสะใภ้จังเป็นฉินกั๋วฮูหยิน
ทว่าเนี่ยอวิ๋นที่คอยแอบดูมาตลอดกลับรู้สึกว่าก้นบึ้งหัวใจพลันเย็นยะเยือกราวกับถูกแช่แข็งก็มิปาน นับแต่นั้นมาฝีมือวิทยายุทธ์ของเขาก็ไม่มีการพัฒนาใดอีก
เนี่ยอวิ๋นไม่ค่อยคุ้นชินกับการระบายความในใจกับใครนัก ดังนั้นเขาจึงพูดช้าและตะกุกตะกักมาก มู่ชิงอีเสียเวลาไปไม่น้อยกว่าจะเข้าใจว่าเนี่ยอวิ๋นต้องการสื่อถึงอะไร รอกระทั่งเนี่ยอวิ๋นพูดเรื่องที่อยากพูดออกมาหมดแล้ว มู่ชิงอีถึงมองสีหน้าละอายใจของเนี่ยอวิ๋นโดยไม่พูดอะไรอยู่นานกว่าจะเอ่ยขึ้นว่า “หัวหน้าองครักษ์เนี่ยกลับไปก่อนเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว”
เนี่ยอวิ๋นอ้าปากเหมือนกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปริปากเพียงลุกขึ้นเดินจากไป
มู่ชิงอีนั่งเงียบๆ เพียงลำพังอยู่ในตำหนัก นางไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาเช่นใดกับเรื่องทุกอย่างที่เนี่ยอวิ๋นสารภาพออกมา หากมองในแง่มุมของเนี่ยอวิ๋นแล้วเขาเองก็ไม่ได้ทำความผิดอะไร เขาเป็นองครักษ์ในวังและเป็นคนของฮ่องเต้แคว้นหวา เขาย่อมไม่ได้มีหน้าที่ช่วยใครสักคนที่ไม่รู้จักอยู่แล้ว อีกอย่างคิดจะช่วยคน ใช่ว่าแค่พาหนีออกจากวังง่ายดายขนาดนั้น อีกทั้งเรื่องมากมายที่ตามมาใช่ว่าเนี่ยอวิ๋นในตอนนั้นจะรับมือจัดการได้สักหน่อย อย่างน้อยหากเทียบกับคนที่ไร้ซึ่งความละอายใจและคิดว่าการทำร้ายคนอื่นเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว นับว่าเนี่ยอวิ๋นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย เพราะอย่างน้อยก็ยังรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
แต่ในขณะเดียวกันมู่ชิงอีก็รับไม่ได้เช่นกัน เพราะยามที่น้าหญิงทนทุกข์ทรมานแต่กลับมีคนๆ หนึ่งคอยเฝ้าดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยไม่สะทกสะท้านใดๆ เห็นความเจ็บปวดทุกข์ทรมานและอดสูของน้าหญิงแต่กลับดูดายไม่คิดสนใจอะไรเลย ดังนั้นถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควรให้เนี่ยอวิ๋นมารับผิดชอบเรื่องพวกนี้ แต่นางก็ยังคงไร้หนทางจะสู้หน้าเนี่ยอวิ๋นด้วยจิตใจอันสงบได้
“กราบทูลองค์หญิง ผิงอ๋องเสด็จมาเพคะ” นางในนอกประตูกราบทูลรายงาน
มู่ชิงอีประหลาดใจอยู่บ้าง เพื่อเลี่ยงไม่ให้ฮ่องเต้แคว้นหวาสงสัย นางจึงไม่ได้เป็นฝ่ายติดต่อลูกพี่ลูกน้องคนนี้ไปก่อน นอกจากเจอกันที่เรือนของจวนกงอ๋องครั้งก่อน กระทั่งไม่ได้พบปะพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ จากนั้นมู่ชิงอีก็ตั้งสติแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เชิญผิงอ๋องเข้ามา”
สักพักก็มีคนพามู่หรงซีเข้ามา มู่ชิงอีโบกมือไล่ให้คนออกไป จากนั้นถึงมองมู่หรงซีพลางขบมุมปากเอ่ย “พี่ชายสบายดีหรือไม่เพคะ” มู่หรงซีพยักหน้าอมยิ้มเอ่ย “ข้าจะไม่สบายไปได้เช่นไรกัน ชิงอี...หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแย่เลย…แค่กๆ” ยังพูดไม่ทันจบ มู่หรงซีก็ไอขึ้นมา ความจริงแค่มองสีหน้าและรูปร่างผอมซูบของมู่หรงซีก็รู้แล้วว่าอาการไม่ค่อยดีนัก เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของตระกูลกู้และถูกถอดถอนจากตำแหน่ง หลายปีมานี้เขาก็ตรอมตรมทุกข์ใจมาตลอด เวลานี้พอได้ยินข่าวคราวของอาหญิงขึ้นมา เรื่องนี้จึงมีผลต่อจิตใจมากที่สุดสำหรับเขาแล้ว
“พี่ชาย โปรดรักษาสุขภาพร่างกายให้ดีเถิด” มู่ชิงอีเอ่ยเกลี้ยกล่อมเสียงเบา
มู่หรงซียกยิ้มเย็นยะเยือกเอ่ย “บัดนี้ในโลกใบนี้…นอกจากเจ้ากับ…จะมีใครคิดว่าข้าควรรักษาสุขภาพร่างกายอีกเล่า” เสด็จพ่อไม่เห็นเขาเป็นลูกอีกต่อไปแล้ว กระทั่งแม้แต่เหล่าพี่น้องคงปรารถนาให้เขารีบตายไปเร็วๆ จะได้ไม่เกะกะขวางทางกันกระมัง
มู่ชิงอีเงียบไป นางกับพี่ใหญ่อาจจะโกรธเกลียดฮ่องเต้แคว้นหวาอย่างแท้จริงได้ แต่ลูกพี่ลูกน้องผู้นี้กลับทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรนั่นก็คือเสด็จพ่อที่เขาเคยเคารพนับถือมาก่อน
“พี่ชาย…”
มู่หรงซีโบกมือพร้อมเค้นรอยยิ้มขมขื่นออกมา “เจ้าดูสิข้าเป็นพี่แท้ๆ ยังต้องให้เจ้ามาปลอบใจอีก ข้ามันไร้ประโยชน์เกินไปใช่หรือไม่เล่า” มู่ชิงอีส่ายศีรษะ มู่หรงซีเพิ่งอายุสามสิบชันษาเท่านั้น แต่ดูแล้วกลับแก่กว่าอายุจริงอยู่ไม่น้อย
“เหตุใดท่านถึงมาเรือนรับรองหมิงฟังหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามอย่างสงสัย
มู่หรงซียิ้มกล่าว “เป็นพระประสงค์ของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อตรัสว่าเจ้าเพิ่งเข้าวังมายังไม่คุ้นชินอะไรนัก หากไม่มีธุระใดก็ให้ข้ามานั่งพูดคุยเป็นเพื่อนเจ้าบ้าง ไม่ว่าเช่นไร…พวกเราก็ถือว่า…เป็นพี่น้องกัน” อันที่จริงคำว่าพี่น้องกันออกจะดูเสียดสีมากกว่า มู่ชิงอีและมู่หรงซีไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เพียงแต่เพราะมู่หรงซีเป็นลูกพี่ลูกน้องกับกู้อวิ๋นเกอและกู้ซิ่วถิง แต่มู่ชิงอีกลับเป็นลูกพี่ลูกน้องของกู้อวิ๋นเกอและกู้ซิ่วถิงก็เท่านั้น บัดนี้กู้อวิ๋นเกอตายไปแล้ว กู้ซิ่วถิงก็ไม่รู้หายตัวไปอยู่ที่ใด ทว่าฮ่องเต้แคว้นหวากลับนึกถึงความสัมพันธ์พี่น้องของพวกเขาขึ้นมาได้
ฮ่องเต้แคว้นหวาในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องระแวงมู่หรงซีเลยสักนิด มู่หรงซีในเวลานี้ไม่ใช่องค์รัชทายาทที่เปล่งประกายรุ่งโรจน์เหมือนสามสี่ปีก่อนนี้แล้ว บัดนี้ตระกูลกู้และตระกูลจังล่มสลายไปแล้ว กระทั่งสุขภาพของมู่หรงซีเองก็ไม่ดีเท่าไรนัก ความระแวดระวังของฮ่องเต้แคว้นหวาจึงค่อยๆ ผ่อนลงไม่น้อย
บรรยากาศในตำหนักเงียบอยู่พักหนึ่ง มู่ชิงอีถึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่ชายเจอ…พี่ใหญ่แล้วหรือยังเพคะ”
มู่หรงซีมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีประหลาดใจแวบหนึ่ง ทุกครั้งที่ได้ยินมู่ชิงอีเรียกน้องชายว่าพี่ใหญ่มักชวนให้เขารู้สึกว่าน้องสาวกลับมาเกิดใหม่ก็มิปาน เขาส่ายศีรษะ ยิ้มขมขื่นแล้วตัดความคิดเหลวไหลนี้ทิ้งพลันมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจอแล้ว เรื่องก่อนหน้านี้ซิ่วถิงบอกข้าหมดแล้ว ลำบากชิงอีแล้วจริงๆ” หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นตนมอบหยกแขวนของตระกูลกู้ให้สาวน้อยคนนี้เองกับมือ หากไม่ใช่เพราะน้องชายบอกเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง มู่หรงซีคงยากจะเชื่อได้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงตลอดหลายวันมานี้เป็นแผนการของสาวน้อยอายุแค่สิบหกปีคนนี้ด้วยซ้ำ อีกทั้งคนที่วางแผนทุกอย่างเหล่านี้ยังเข้ามาอยู่ในวังและทำลายมู่เฟยหลวนที่เป็นสนมคนโปรดจนถูกถอดถอนตำแหน่ง ทว่ากลับไม่สร้างความสงสัยให้คนที่ขี้ระแวงอย่างเสด็จพ่อเลยสักนิด
ตอนต่อไป