มู่ชิงอีมองมู่หรงซีไม่วางตาพลางเอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่เล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้พี่ชายฟังหมดแล้ว เช่นนั้น…เรื่องหลังจากนี้พี่ชายเคยคิดไว้บ้างหรือไม่เล่า”
มู่หรงซีเงียบไป มู่ชิงอีมองเขาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “บัดนี้…พี่ใหญ่เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาที่ได้รับความไว้วางใจที่สุดข้างกายองค์ชายเจ็ดแล้ว หม่อมฉันเองก็มั่นใจว่าพอจะพูดจาโน้มน้าวจื้ออ๋องได้ แต่ว่า…พี่ชายคิดจะจัดการเรื่องหลังจากนี้เช่นไรต่อไปหรือ”
มู่หรงซีปิดตาลงแล้วเอ่ยด้วยท่าทีอ่อนแรง “ข้าไม่อยากสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว ชิงอี...หากไม่ใช่เพราะตำแหน่งองค์รัชทายาทของข้า…เสด็จพ่อจะลงไม้ลงมือกับตระกูลกู้ได้เช่นไร ข้าไม่รู้ว่าตกลงแล้วเสด็จพ่อมีนิสัยขี้ระแวงจริงๆ หรือเพราะตำแหน่งฮ่องเต้เลยทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้กันแน่ แต่ข้าไม่อยากกลายเป็นคนแบบนี้เลย…ต่อให้จะได้ตำแหน่งฮ่องเต้มาครอบครองแล้วอย่างไรเล่า ข้าไม่อยาก…กำจัดซิ่วถิงทิ้งในวันใดในหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้นแล้วข้าจะต่างอะไรกับท่านพ่อเล่า”
มู่ชิงอีถอนหายใจพลางพูดขึ้น “ดูท่าทางพี่ใหญ่คงต้องผิดหวังแล้วกระมัง”
มู่หรงซีเอ่ยพลางฉีกยิ้มขมขื่น “ข้าพูดเรื่องนี้กับซิ่วถิงไม่ได้ แต่ข้ารู้ว่าเจ้าแตกต่างจากสตรีคนอื่นๆ ดังนั้นข้าถึงพูดให้เจ้าฟัง ข้ามิอาจทำเช่นนั้นได้…ต่อให้ข้าจะยังมีความทะเยอทะยานก็มิอาจทำเช่นนั้นได้”
“เพราะอันใดหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม นางมองออกว่ามู่หรงซีไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว แต่เอ่ยคำว่า ‘มิอาจทำเช่นนั้นได้’ โดยไม่คิดลังเลใจเช่นนี้ ยิ่งราวกับไม่สนใจเท่าไรนัก มู่หรงซีก้มหน้าไอเสียงเบาแล้วยิ้มเศร้าๆ กล่าว “ข้า…น่าจะเหลือเวลาอีกไม่กี่ปีแล้ว ต่อให้…จะคว้าตำแหน่งองค์รัชทายาทมาได้หรือตำแหน่งฮ่องเต้มาได้แล้วอย่างไรเล่า หากไม่กี่ปีหลังจากนั้นเกิดข้าเป็นอะไรขึ้นมา…เจ้ากับซิ่วถิงจะทำเช่นไร” ฮ่องเต้เคียงคู่กับขุนนางไปตามแต่ละยุคสมัย ทันทีที่ตนตาย เกรงว่าพวกคนที่ถูกเขากดเอาไว้คงทรยศต่อต้านกู้ซิ่วถิงกับนางแน่นอน หากต้องให้น้องทั้งสองเข้ามาแปดเปื้อนมลทินพวกนี้ สู้ให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในเวลาไม่กี่ปีนี้เสียยังดีกว่า อดีตองค์รัชทายาทแคว้นหวาที่สง่าน่าเกรงขามในวันวาน ถึงแม้เพิ่งจะผ่านอายุสามสิบชันษามาไม่นานแต่กลับห่อเหี่ยวดูชราลงราวกับคนอายุเจ็ดสิบแปดสิบชันษาก็มิปาน
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นไปได้” มู่ชิงอีตกตะลึงแน่นิ่งอยู่สักพัก แต่ไม่นานก็คิดบางอย่างได้แล้วเอ่ยว่า “มู่หรงอวี้!” ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นหวาจะบ้าบิ่นโหดเหี้ยมมากเพียงใดก็ไม่มีทางใจไม้ไส้ระกำกับบุตรของฮองเฮาได้ลงคอ เช่นนี้ก็คงเป็นเพราะมู่หรงอวี้กระมัง
มู่หรงซีคลี่ยิ้มบางราวกับไม่สนใจ เพียงแค่จับจ้องมู่ชิงอีเอ่ย “ชิงอี เหตุที่ข้ามาก็เพราะแค่อยากรู้…เรื่องเสด็จแม่ของข้า เป็นฝีมือของจูซื่อจริงหรือ”
มู่ชิงอีพยักหน้ากล่าว “นี่เป็นคำพูดที่จูหมิงเยียนกล่าวไว้ก่อนตาย ไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก”
มู่หรงซีสูดลมหายใจเข้าอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องของจูซื่อข้าจะจัดการเอง” ถึงแม้อำนาจที่เคยมีจะเหลือเพียงน้อยนิดแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เหลือเลย อย่างน้อยหากจะต่อกรกับสนมในวังตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร บางทีควรให้จูซื่อรับรู้สักหน่อยว่าเหตุใดตอนนั้นฮ่องเต้แคว้นหวาถึงหวาดกลัวองค์รัชทายาทคนนี้นัก!
จูซื่ออวิ๋นกุ้ยเหรินเป็นสตรีที่เหมาะสมจะใช้ชีวิตอยู่ในวังมากคนหนึ่งเลยทีเดียว กระทั่งเหมาะสมกว่ามู่เฟยหลวนที่ดูเหมือนใจดำอำมหิตเจ้าแผนการเสียด้วยซ้ำ หากไม่ได้มู่ชิงอีที่ฟื้นคืนชีพมาใหม่กะทันหันเปลี่ยนแปลงเรื่องราวมากมายที่อาจจะเกิดขึ้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าจูซื่อที่ดูเหมือนคนทั่วไปไม่น่าสงสัยอะไรคงใช้ชีวิตอย่างสุขสงบโดยไม่มีเรื่องกังวลใดไปชั่วชีวิต กระทั่งบุตรชายของนางขึ้นเป็นฮ่องเต้ แล้วนางก็ขึ้นเป็นไทเฮาตำแหน่งสูงศักดิ์ แต่บนโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก ดังนั้นหลังจากมู่ชิงอีเริ่มลงมือ เดิมทีจากตำแหน่งอวิ๋นเฟยก็ตกไปเป็นอวิ๋นผินและอวิ๋นกุ้ยเหรินตามลำดับในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองเดือนเสียด้วยซ้ำ
เดิมทีจากประทับอยู่ในพระตำหนักก็มิอาจอยู่ต่อได้อีก ถึงแม้นางจะมีบุตรชายถึงสองคนแต่ฮ่องเต้แคว้นหวาก็ไม่คิดไว้หน้านางเลยสักนิด ไม่เพียงแต่เพราะไม่พอพระทัยที่นางวางแผนทำร้ายมู่ชิงอี แต่สาเหตุยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะหลายวันมานี้ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่พอพระทัยพระโอรสอย่างมู่หรงอวี้มากขึ้นทุกวัน ดังนั้นตอนที่จูซื่อถูกลดตำแหน่งเป็นกุ้ยเหรินก็มีรับสั่งให้ย้ายออกจากพระตำหนักในเวลาเดียวกัน นางย้ายไปอยู่ตำหนักจิ่งอวิ๋นที่ไกลกว่าหน่อยร่วมกับเซิ่นผินที่พระองค์มิได้โปรดปรานแล้วคนหนึ่ง ทว่าเพราะอีกฝ่ายมียศบรรดาศักดิ์เป็นผิน แต่นางเป็นเพียงกุ้ยเหริน จูซื่อเลยจำใจต้องย้ายไปตำหนักด้านข้างอีกครั้งหลังจากที่เป็นใหญ่ในพระตำหนักมาตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา
“เสด็จแม่” มู่หรงอวี้มองเสด็จแม่ที่สวมอาภรณ์ตำแหน่งกุ้ยเหรินสีอ่อนสบายตาซึ่งกำลังนั่งอยู่ในตำหนักคับแคบเรียบง่ายด้วยสีหน้าซับซ้อน ในวังเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นกะทันหัน มารดาถูกลดตำแหน่งเป็นกุ้ยเหริน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำเอามู่หรงอวี้ตั้งรับไม่ทัน ภายใต้สถานการณ์ที่ฮ่องเต้แคว้นหวายังทรงกริ้วมากเช่นนี้ มู่หรงอวี้เลยไม่กล้าเข้าวังมาเยี่ยมมารดาในทันที สองวันนี้ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเพราะจู่ๆ มู่หรงจ้าวและมู่หรงเสียก็โจมตีจวนกงอ๋องราวกับคนคลุ้มคลั่งอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่มู่หรงซีและมู่หรงเค่อที่ไม่สนใจเรื่องใดยังผสมโรงลอบกัดเขาไปด้วย สิ่งที่ทำให้มู่หรงอวี้ปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งกว่าก็คือพอเขามีโอกาสเข้าวังมาเยี่ยมอวิ๋นกุ้ยเหริน อวิ๋นกุ้ยเหรินก็มาอาศัยอยู่ในตำหนักจิ่งอวิ๋นได้หลายวันแล้ว
“อวี้เอ๋อร์” อวิ๋นกุ้ยเหรินชะงักไปแล้วรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปต้อนรับ “เจ้ามาได้เช่นไรกัน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
มู่หรงอวี้ส่ายหน้าเอ่ย “เสด็จแม่ ตกลงในวังเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” มู่เฟยหลวนและจูซื่อต่างถูกถอดถอนจากตำแหน่ง สาเหตุในวังเองก็กล่าวคลุมเครือไม่ชัดเจนนัก แม้แต่มู่หรงอวี้ที่รู้ข่าวสารเรื่องในวังได้อย่างว่องไวยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงอย่างกระจ่างด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเชิดหน้าชูตาอะไร
อวิ๋นกุ้ยเหรินถอยหายใจอย่างกลัดกลุ้มเอ่ย “เป็นเพราะแม่ใจร้อนมากไปเอง…โหรวเฟยนั่น จัดการเรื่องไม่สำเร็จแล้วยังทำเรื่องให้แย่ลงไปอีก!”
“มู่เฟยหลวนหรือ” มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงขรึม ดูท่าทางแล้วเรื่องนี้ตัวการคงเป็นมู่เฟยหลวน เสด็จแม่ก็แค่พลอยติดร่างแหไปด้วยเท่านั้น
อวิ๋นกุ้ยเหรินเล่ารายละเอียดเรื่องที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้ให้เขาฟัง มู่หรงอวี้สีหน้าพลันมืดมนลงยิ่งกว่าเดิม “มู่ชิงอีอีกแล้วหรือ!”
อวิ๋นกุ้ยเหรินกัดฟันเอ่ย “ใช่ เพราะมู่ชิงอีอีกนั่นแหละ!” แม้แต่คนที่เก็บความรู้สึกเก่งยากจะคาดเดาใจได้อย่างนางยังข่มความโกรธที่มีต่อมู่ชิงอีไว้ไม่ได้ ครั้นนึกถึงความอดทนที่นางกล้ำกลืนมาตลอดยี่สิบกว่าปีนี้ถูกมู่ชิงอีทำลายจนพังย่อยยับ อวิ๋นกุ้ยเหรินก็ไร้หนทางจะต่อกรด้วยท่าทีสงบได้อีกต่อไป นางยอมทนลำบากมายี่สิบปี ทว่าเวลานี้กลับเป็นเพียงสนมที่มีตำแหน่งต่ำต้อยที่สุด แล้วอวิ๋นกุ้ยเหรินจะทนนิ่งเฉยไม่เกรี้ยวโกรธได้อย่างไร
ครั้นเห็นสีหน้าดูไม่ได้ของมู่หรงอวี้ อวิ๋นกุ้ยเหรินก็กลับมาสงบลงอย่างรวดเร็ว “อวี้เอ๋อร์ จวนกงอ๋องยังสุขสงบดีหรือไม่ ในเมื่อจูหมิงเยียนก็ตายไปแล้ว เจ้าเร่งตบแต่งคุณหนูหลี่ที่เหมือนจะเห็นพ้องต้องกันผู้นี้เข้าจวนในเร็ววันนี้เถิด” เรื่องนี้อวิ๋นกุ้ยเหรินยังนึกดีใจไม่หายที่ก่อนหน้านี้จูหมิงเยียนถูกฮ่องเต้ถอดถอนสถานะทุกอย่างจึงเป็นผลให้หย่าร้างกันไปโดยปริยาย มิเช่นนั้นตอนนี้นางตายไปแล้ว การแต่งงานของมู่หรงอวี้คงต้องยืดเวลาออกไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปีเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่ออดีตพระชายา
ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของมู่หรงอวี้ก็ยิ่งขรึมลงมากกว่าเดิม อวิ๋นกุ้ยเหรินพลันใจเย็นวาบ ขมวดคิ้วเอ่ย “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงขรึม “เช้านี้ตระกูลหลี่ส่งสารถึงเสด็จพ่อว่าฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหลี่สุขภาพไม่ดีนัก ทำใจห่างจากหลี่จืออี๋ไม่ได้เลยขอเลื่อนเวลาอภิเษกออกไปหนึ่งปี”
“มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือว่า…” อวิ๋นกุ้ยเหรินเอ่ยพลางขมวดคิ้วมุ่น
มู่หรงอวี้เผยสีหน้าเคร่งขรึมบนใบหน้า ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหลี่อายุเจ็ดสิบปลายๆ แล้ว สองปีมานี้สุขภาพแย่มากจริงๆ แต่หากมองอย่างกระจ่างก็รู้แล้วว่านี่เป็นข้ออ้างที่ตระกูลหลี่อยากเลื่อนระยะเวลาการอภิเษกออกไป มิเช่นนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าหลี่ฮูหยินผู้เฒ่าสุขภาพไม่ดี ตระกูลหลี่ควรยิ่งรีบอภิเษกถึงจะถูก หากในระยะเวลาหนึ่งปีนี้หลี่ฮูหยินผู้เฒ่าเกิดตายขึ้นมา หลี่จืออี๋ก็ต้องไว้ทุกข์ ถึงเวลานั้นการแต่งงานก็ต้องยิ่งเลื่อนออกไปอีก แต่ไม่ว่าตระกูลหลี่จะมีความคิดเช่นใด ในเมื่อทำการตัดสินใจเช่นนี้แล้วกลับยิ่งทำให้จวนกงอ๋องแย่เข้าไปอีกอย่างไม่ต้องสงสัย มู่หรงอวี้รู้แก่ใจดีว่าจวนกงอ๋องขาดพระชายาไปคนหนึ่งย่อมไม่ใช่เรื่องแค่ว่าขาดนายหญิงธรรมดาๆ ในจวนไปเท่านั้น การสร้างปฏิสัมพันธ์ผูกมิตรในสังคมเมืองหลวงล้วนต้องมีสตรีออกหน้า ในเมื่อจวนกงอ๋องไม่มีพระชายา เช่นนั้นก็หมายความว่ามีอีกหลายงานที่จวนกงอ๋องไม่อาจเข้าร่วมได้อีก
ตอนต่อไป