ถึงแม้มู่หรงอวี้จะไม่พูดอะไร แต่อวิ๋นกุ้ยเหรินอยู่ในวังมาหลายสิบปีแล้วมีเรื่องใดบ้างที่นางจะคิดไม่ได้ ฉับพลันก็ปรับสีหน้าขรึมลงเอ่ยอย่างเกรี้ยวโกรธว่า “ตระกูลหลี่เหิมเกริมกล้าหักหน้าจวนกงอ๋องขนาดนี้เชียวหรือ!” ตระกูลที่เป็นข้าหลวงมาหลายรุ่นอย่างตระกูลหลี่ย่อมมีประสบการณ์โชกโชน แล้วเหตุใดจะมองสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนใจของจวนกงอ๋องในตอนนี้ไม่ออก แทนที่จะส่งตัวหลานสาวออกเรือนสร้างสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับจวนกงอ๋อง ตระกูลหลี่กลับยอมเลี้ยงดูสาวแก่ขึ้นคานเสียยังดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเหตุผลของตระกูลหลี่เองก็ฟังขึ้น คนภายนอกคงได้แค่เอ่ยชมว่าคุณหนูตระกูลหลี่กตัญญู ใครจะกล้าติฉินนินทาเล่า
“อวี้เอ๋อร์ไม่ต้องกังวลไป แม่ช่วยเจ้าอยู่แล้ว” อวิ๋นกุ้ยเหรินพยายามข่มอารมณ์โกรธไว้แล้วเอ่ยปลอบโยนบุตรชายเสียงนุ่มนวล หลายวันมานี้มู่หรงอวี้ฉุนเฉียวใจร้อนอยู่บ้างจริงๆ หลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตอย่างราบรื่น นับตั้งแต่มู่หรงซีและตระกูลกู้ล่มสลายก็เหมือนว่าจะเจอแต่เรื่องดีๆ ราบรื่นมาโดยตลอด กระทั่งข่มเหล่าพี่น้องคนอื่นๆ ที่จะผงาดขึ้นมารุ่งโรจน์ในราชสำนักไว้ได้ด้วยซ้ำ พอรู้ว่าเวลานี้ต้องเผชิญกับการถูกโจมตีและมีคนตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์จากทั่วทุกสารทิศ เขาถึงค้นพบว่าตนพ่ายแพ้ให้แก่ศัตรูรอบด้านแล้ว
“เสด็จแม่เองก็ระวังตัวด้วย เรื่ององค์หญิงหมิงเจ๋อนั่น…เสด็จแม่ยังไม่ต้องสนใจนาง ลูกจะคิดหาวิธีเอง” มู่หรงอวี้เอ่ยอย่างนอบน้อม
ความเอาใจใส่และความกตัญญูของบุตรชายทำให้ความอัดอั้นภายในใจของอวิ๋นกุ้ยเหรินในหลายวันนี้มลายหายไปไม่น้อย นางพยักหน้าเอ่ย “แม่รู้แล้ว แต่ว่า…ต้องจัดการมู่เฟยหลวนนั่นก่อน” หลายปีมานี้ตนยืมมือมู่เฟยหลวนทำอะไรหลายอย่าง มู่เฟยหลวนกล้าหักหลังสารภาพต่อฝ่าบาทครั้งหนึ่งแล้วย่อมมีความเป็นไปได้ว่ายามที่สิ้นหวังอาจแฉความลับของตนทุกอย่างได้เช่นกัน บัดนี้ตนถูกฝ่าบาทลดตำแหน่งมาเป็นกุ้ยเหรินแล้ว หากถูกนางแฉจนหมดเปลือก ถึงแม้จะไม่ถูกส่งตัวไปยังตำหนักเย็นแต่คงจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถเสียยิ่งกว่าเข้าตำหนักเย็นเสียอีก
มู่หรงอวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงพยักหน้า สภาพอันน่าเวทนาของมู่เฟยหลวนเขาพอจะได้ยินมาบ้าง ในเมื่อคนผู้นี้ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว จัดการให้จบๆ ไปก็ดีเหมือนกันจะได้ชิงตัดความคิดของมู่ฉังหมิงก่อนด้วย
อวิ๋นกุ้ยเหรินกุมมือของมู่หรงอวี้เอ่ยเสียงเบา “อวี้เอ๋อร์ไม่ต้องกังวลไป จะนับประสาอะไรกับอุปสรรคเล็กน้อยแค่นี้กัน หลายปีมานี้แม่ไม่เคยเจอความทุกข์ยากใดมาบ้างเล่า ยิ้มจนถึงตอนสุดท้ายต่างหากถึงจะเป็นผู้ชนะ” มู่หรงอวี้พยักหน้า พึมพำกับตัวเองครู่หนึ่งถึงเอ่ยถามว่า “เสด็จแม่ เกรงว่าน้องแปด…เสด็จแม่วิงวอนขอฝ่าบาทออกวังไปดูเขาหน่อยเถิด” ตอนนี้ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว มู่หรงอวี้รู้ว่าโอกาสที่มู่หรงอานจะมีชีวิตรอดนั้นริบหรี่ลงทุกที บางครั้งเห็นน้องชายที่ซูบผอมลงเรื่อยๆ นอนอยู่บนเตียง มู่หรงอวี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าตอนนั้นเขาตกเหวตายไปเลยจะดีกว่านี้หรือไม่
อวิ๋นกุ้ยเหรินชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งถึงถอนหายใจเสียงเบาเอ่ย “ตอนนี้ฝ่าบาทแค่เห็นหน้าแม่ก็ไม่พอพระทัยแล้ว เอาไว้ก่อนเถิด เจ้าดูแลอานเอ๋อร์ให้ดีแล้วกัน”
มู่หรงอานพยักหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึมจนมองไม่ออกว่าสีหน้าเรียบนิ่งเช่นนั้นกำลังผ่อนลมหายใจหรือผิดหวังมากกว่ากันแน่
ณ ศาลาแห่งหนึ่งในแถบชานเมืองของเมืองหลวงที่ไม่เตะตาเท่าไรนัก เกี้ยวที่ไม่ค่อยดึงดูดสายตาใครหลังหนึ่งขยับโงนเงนไปมาแล้วหยุดลงตรงริมศาลา ผู้เฒ่าวัยชราผมขาวสวมเสื้อผ้าธรรมดาคนหนึ่งเดินลงมาจากเกี้ยว พอมองเงาคนที่นั่งอยู่ในศาลาแวบหนึ่งถึงโบกมือไล่คนข้างกายไป ไม่นานคนที่อยู่ข้างกายและคนที่ยกเกี้ยวมาด้วยกันก็นำเกี้ยวถอยไปจุดที่ไกลมากกว่าเดิม ผู้เฒ่าจัดเสื้อผ้าเล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในศาลา รอบศาลาทั้งสี่ด้านถูกม่านปิดไว้ครึ่งหนึ่งจึงทำได้แค่เห็นคนที่นั่งอยู่ด้านในเพียงครึ่งตัว ผู้เฒ่าเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วก้าวเข้าไป จากนั้นก็พบบุรุษสวมชุดสีฟ้าอ่อนผู้หนึ่งกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่ด้านใน ทว่าฝั่งตรงข้ามยังมีบุรุษหนุ่มสวมชุดสีขาวพร้อมหน้ากากบนใบหน้าด้วยอีกคน ดวงตาพร่ามัวของผู้เฒ่าหดลงในทันควันพร้อมจับจ้องบุรุษในชุดสีขาวนั้นไม่วางตา
ครั้นได้ยินเสียงคนเข้ามา บุรุษในชุดสีฟ้าก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าซีดขาวคลี่ยิ้มบางๆ “ท่านผู้เฒ่าหลี่ ท่านมาแล้วหรือ”
“กระหม่อมไม่คู่ควรให้ผิงอ๋องเรียกขานด้วยความเคารพถึงเพียงนี้” ผู้เฒ่าถอนหายใจแล้วเอ่ยอย่างจนใจ ผู้เฒ่าผู้นี้ก็คือหลี่หลิงผู้นำของตระกูลหลี่และเสนาบดีฝ่ายซ้ายของราชสำนักในเวลานี้ หลี่หลิงเป็นขุนนางมายาวนานถึงสองสมัย อีกทั้งยังเคยอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทมู่หรงซีในช่วงวัยเยาว์มาก่อนด้วย หากมู่หรงซีจะเรียกเขาว่าท่านผู้เฒ่าหลี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
มู่หรงซีถอนหายใจอย่างเสียดายทีหนึ่งเอ่ย “แต่ไหนแต่ไรมาข้าเคารพเลื่อมใสต่อท่านผู้เฒ่าหลี่มาตลอด เพียงแต่น่าเสียดาย…นับตั้งแต่…นั้นมาก็ไร้วาสนาขอคำชี้แนะจากท่านอีก”
หลี่หลิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเอ่ยเสียงขรึมว่า “ผิงอ๋องพูดเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าผิงอ๋องนัดมาที่นี่มีเรื่องอันใดรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงซีส่ายศีรษะกล่าว “ตระกูลหลี่จงรักภักดีต่อเชื้อพระวงศ์มาหลายชั่วอายุคน ข้าจะบังอาจเอ่ยปากรับสั่งท่านได้เช่นไรกัน” สำหรับหลี่หลิงแล้วคำพูดนี้ออกจะติดประชดประชันอยู่บ้าง แต่มู่หรงซีพูดถูก หากมู่หรงซีกล้าออกคำสั่งให้หลี่หลิงทำในสิ่งที่ไม่ควรทำจริงๆ เกรงว่าชั่ววินาทีที่หลี่หลิงหมุนตัวกลับไปคงขายความลับเขาแล้ว หลี่หลิงเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผิงอ๋องเรียกเข้าเฝ้า…”
มู่หรงซียิ้มน้อยๆ กล่าว “ข้าได้ยินมาว่าท่านผู้เฒ่าหลี่เลื่อนเวลาการอภิเษกของคุณหนูหลี่กับน้องหกอย่างนั้นหรือ”
หลี่หลิงใจเย็นวาบ ผิงอ๋องถูกถอดถอนจากตำแหน่งได้สามสี่ปีแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าผิงอ๋องที่ไม่แม้แต่จะเข้าราชสำนักจะรู้ข่าวคราวรวดเร็วถึงเพียงนี้ เช้านี้หลี่หลิงส่งสารไปถึงฮ่องเต้แคว้นหวาจริงๆ แต่เรื่องนี้ย่อมมิอาจนำมาพูดในราชสำนักได้ ดังนั้นเขาเลยส่งสารไปให้เป็นการส่วนตัว ทว่าคิดไม่ถึงว่ามู่หรงซีจะได้รับข่าวสารว่องไวขนาดนี้ มู่หรงซีเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “ท่านผู้เฒ่าหลี่อย่าประหม่าไปเลย เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้นที่รู้ กระทั่งน้องสี่ น้องหกและน้องเจ็ดมีใครไม่รู้บ้างเล่า”
หลี่หลิงเงียบไป เขาเป็นขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักแล้วจะไม่เข้าใจความหมายที่มู่หรงซีต้องการจะสื่อได้เช่นใด เรื่องลับๆ แพร่งพรายไปถึงหูเหล่าองค์ชายรวดเร็วขนาดนี้ แสดงว่าอำนาจควบคุมของฮ่องเต้แคว้นหวาที่มีต่อราชสำนักอ่อนแอลงเรื่อยๆ เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลบหลีกไม่ได้ ฝ่าบาทอายุมากขึ้นทุกวัน ทว่าเหล่าองค์ชายกลับยังหนุ่มยังแน่นมีกำลังวังชา ความแข็งแกร่งและอ่อนแอเช่นนี้เป็นไปตามกลไกทางธรรมชาติอยู่แล้ว
“ด้วยนิสัยของน้องหก เกรงว่าจะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าข้าแล้วกระมัง ตระกูลหลี่ทรยศทอดทิ้งจวนกงอ๋องในเวลานี้ ท่านผู้เฒ่าหลี่คิดบ้างหรือไม่ว่าถ้ารอน้องหกคลายความโกรธลงแล้วจะเป็นเช่นไร” มู่หรงซีเอ่ยถามเสียงเรียบ
หลี่หลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ผิงอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ระหว่างตระกูลหลี่กับจวนกงอ๋อง…คงพูดถึงขั้นทรยศทอดทิ้งไม่ได้กระมัง ตระกูลหลี่จงรักภักดีต่อฝ่าบาท ยิ่งไปกว่านั้น..เรื่องการอภิเษกก็ใช่ว่าตระกูลหลี่จะจงใจยืดเวลาออกไปเสียเมื่อไร” มู่หรงซีพยักหน้าเอ่ย “ท่านผู้เฒ่าหลี่คิดเช่นนี้ ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าน้องหกจะมีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร”
หลี่หลิงมองมู่หรงซีอย่างพ่ายแพ้เอ่ยเสียงขรึม “ผิงอ๋องอยากพูดอะไรกันแน่ หรือว่าผิงอ๋องยังอยาก…”
มู่หรงซีส่ายหน้าเอ่ย “ใต้เท้าหลี่เข้าใจผิดแล้ว ข้า…ไม่สนใจ…ตำแหน่งนี้หรอก”
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเหตุใดผิงอ๋อง…” หลี่หลิงไม่ได้เชื่อคำพูดของมู่หรงซีทั้งหมด ในฐานะที่เป็นลูกหลานของกษัตริย์ คนที่ไม่สนใจตำแหน่งนั้น นอกจากคนเหลาะแหละไร้ความสามารถแล้วน้อยนักที่จะมีคนแบบนี้จริงๆ อีกอย่างเขาเคยสอนผิงอ๋องมาก่อนย่อมเข้าใจดี แต่ไหนแต่ไรมามู่หรงซีไม่ใช่คนไร้ความสามารถเลยสักนิด หากเขาเป็นคนเหลาะแหละไร้ความสามารถจริงๆ ไม่แน่อาจจะยังรักษาตำแหน่งองค์รัชทายาทได้โดยไม่สั่นคลอนด้วยซ้ำ
มู่หรงซีเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เขาหยิบสมุดข้างกายส่งให้หลี่หลิงสื่อว่าให้เขาดูเอง หลี่หลิงรับมาด้วยท่าทีสงสัย พอยิ่งเปิดอ่านหน้าหลังๆ สีหน้าก็ยิ่งตระหนกตกใจและดูไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งอ่านถึงหน้าสุดท้ายจึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านอ๋อง…ทุกอย่างในนี้เป็นความจริงหรือ” ในนั้นล้วนเป็นหลักฐานความผิดทั้งหมดของจวนกงอ๋อง รวมถึงเรื่องที่จูซื่อฆ่าฮองเฮา สิ่งที่มู่หรงอวี้กระทำต่อตระกูลกู้ในตลอดหลายปีมานี้บ้างประปราย บางส่วนจูหมิงเยียนรับสารภาพ บางส่วนลูกน้องของเฝิงจื่อสุ่ยแอบตามสืบอย่างลับๆ บางเรื่องก็จริง บางเรื่องก็เท็จ ดูแล้วเกินจริงจนน่าตกใจจึงไม่แปลกที่หลี่หลิงจะแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก หากเรื่องนี้เป็นความจริง…ไม่สิ ต่อให้จะเป็นเรื่องโกหก ขอแค่หลักฐานพวกนี้ไปตกอยู่ในมือศัตรูของกงอ๋อง เรื่องวุ่นวายในจวนกงอ๋องคงมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นดูท่าทางของมู่หรงซีแล้วคงไม่ใช่หลักฐานปลอมแน่นอน เช่นนี้ตระกูลหลี่…จะมีความเกี่ยวข้องกับจวนกงอ๋องไม่ได้เด็ดขาด!
ตอนต่อไป