มู่หรงซียกมือขึ้นวางหมากตัวหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างสงบ “ตอนนี้ท่านผู้เฒ่าหลี่รู้หรือยังว่าเหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่”
หลี่หลิงจำประเด็นสำคัญในเล่มหลักฐานนั้นได้ว่าสะใภ้จูลอบสังหารอดีตฮองเฮาที่ตายไปแล้ว “เพื่อ…อดีตฮองเฮาหรือ”
มู่หรงซีพยักหน้ากล่าว “ตระกูลหลี่จะทำเช่นใดก็ไม่เกี่ยวกับข้า แต่…ในเมื่อท่านผู้เฒ่าหลี่เคยมีบุญคุณเคยสอนชี้นำข้า ของพวกนี้ถือว่าให้เป็นของขวัญขอบคุณแก่ท่านก็แล้วกัน” หลี่หลิงนึกย้อนเหตุการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้นเจาะจงแต่กับกงอ๋องในหลายวันนี้ จากนั้นก็มองบุรุษในชุดสีฟ้าที่มีท่าทีสบายๆ ตรงหน้า ในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ฝ่าบาทมองข้ามอดีตองค์รัชทายาทผู้นี้ไปเสียแล้ว ช่วงเวลาที่ท่านอ๋องเพิ่งถูกถอดตำแหน่งต้องผ่านความทุกข์ยากเช่นใดมาบ้างตนเห็นกับตาของตัวเองทุกอย่าง คนในจวนองค์รัชทายาทถูกเปลี่ยนใหม่หมดยกเว้นแต่พระชายา กระทั่งเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า ไม่ว่าผิงอ๋องจะไปที่ใด ทำอะไร เสวยอะไร สนทนาเรื่องใดล้วนถูกบันทึกไว้ถวายรายงายฝ่าบาททั้งสิ้น ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ผิงอ๋องกลับตามสืบเรื่องราวมากมายขนาดนี้ได้ ถึงขนาดมีผลต่อราชสำนักด้วย เขาช่างน่ากลัวเสียจริง
มู่หรงซีมุ่นคิ้วข่มอาการไอในทรวงอกไว้ เขาจับจ้องหลี่หลิงด้วยท่าทีสงบ ทว่าหลี่หลิงกลับผุดสีหน้าลนลานทำอะไรไม่ถูก ชั่ววินาทีนั้นแผ่นหลังของเขาก็ผุดเหงื่อเย็นออกมา
“ท่านเสนาบดีจงรักภักดีต่อฝ่าบาทต่อไปเถิด แต่ว่า…บางครั้งหากมัวแต่ลังเลไม่เด็ดขาด เกรงก็แต่จะเกิดหายนะวุ่นวายขึ้นได้” จู่ๆ บุรุษชุดขาวที่นั่งเหม่อมองหมากที่บีบอยู่ในมือทางฝั่งตรงข้ามของมู่หรงซีก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม เสียงของบุรุษผู้นี้นุ่มทุ้มสุขุม แต่ก็แฝงความสดใสอบอุ่นที่น่าหลงใหลไว้ด้วยเช่นกัน หลี่หลิงอดผงะไม่ได้เพราะรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้นัก แต่พอลองนึกย้อนอย่างละเอียดดูแล้วก็เหมือนว่าตนจะไม่เคยเจอคนผู้นี้มาก่อน
“ขอบพระทัยผิงอ๋องที่ทรงเตือน กระหม่อม…รู้แล้วว่าควรทำเช่นไร” ในที่สุดหลี่หลิงก็เอ่ยตอบเสียงขรึม
มู่หรงซีไม่ได้อยากดึงขุนนางเก่าแก่สองยุคแห่งราชสำนักผู้นี้เข้าพวกเลยสักนิด ครั้นได้ยินเขากล่าวเช่นนั้นจึงพยักหน้าเอ่ยพร้อมอมยิ้มว่า “เช่นนั้นก็ไม่ขอรบกวนเวลาของท่านผู้เฒ่าหลี่แล้ว”
หลี่หลิงเองก็รีบเอ่ยขอตัวไม่อยู่เกะกะต่อทันที “กระหม่อมทูลลา”
ครั้นเห็นเกี้ยวของหลี่หลิงจากไปแล้ว บุรุษในชุดขาวตรงข้ามมู่หรงซีถึงยกมือขึ้นดึงหน้ากากบนหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่รักษาแผลหายดีขึ้นแล้วแม้จะทิ้งรอยช้ำม่วงไว้บนใบหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม ทว่ากลับไม่ได้กลบรัศมีความหล่อเหลาของเขาลงเลย ในทางกลับกันกลับเสริมให้ภาพลักษณ์ที่ดูสง่าอ่อนโยนเช่นนี้ดูคมคายขึ้นไม่น้อย
กู้ซิ่วถิงขมวดคิ้วมุ่นเอ่ย “ทำเช่นนี้จะได้ผลหรือ”
มู่หรงซีกระแอมไอสองทีก่อนคลี่ยิ้มกล่าว “คิดอยากให้ตระกูลหลี่ทำอะไรย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่พวกเราเองก็ไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลหลี่ทำอะไรเช่นกัน ขอแค่ตระกูลหลี่เว้นระยะห่างกับมู่หรงอวี้อย่างชัดเจนก็พอ เพราะสำหรับมู่หรงอวี้แล้ว นี่ถือว่าเป็นการโจมตีที่ไม่เบาเลย คนอย่างหลี่หลิง…รู้ตัวเองดีว่าควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร ในเมื่อเขาคิดจะตัดขาดกับมู่หรงอวี้แล้ว เช่นนั้นจะยอมปล่อยโอกาสให้มู่หรงอวี้ดิ้นพล่านได้หรือ”
กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วพลางพยักหน้าเอ่ย “ท่านพูดถูกแล้ว”
มู่หรงซีถอยหายใจเสียงเบาเอ่ย “หลายวันมานี้ลำบากเจ้ากับชิงอีแย่เลย ทางฝั่งน้องเจ็ดและน้องสี่…น้องเจ็ดคุยด้วยง่ายหน่อย แต่แม่ทัพเว่ยกลับไม่ธรรมดา ข้าสงสัยนักว่าเจ้าพูดโน้มน้าวแม่ทัพเว่ยได้เช่นใดกัน” กู้ซิ่วถิงยิ้มเอ่ย “ใช่ว่าเว่ยหลีจะโง่ โอกาสดีๆ แบบนี้จะไปหาได้จากที่ไหนอีก จำเป็นต้องให้กระหม่อมพูดโน้มน้าวด้วยหรือ”
ขอแค่จัดการมู่หรงอวี้ได้ ดังนั้นคนที่พอจะแก่งแย่งชิงดีกับมู่หรงจ้าวได้คงเหลือแต่มู่หรงเสียเท่านั้น มู่หรงเสียเป็นคนสุขุมยากจะต่อกรด้วยได้ ทว่าจุดอ่อนของมู่หรงเสียก็เห็นได้อย่างชัดเจน มารดาของเขาตายไปนานแล้ว ตระกูลทางฝั่งมารดาก็ไม่ได้มีอิทธิพลใด หากเทียบกับจวนแม่ทัพปกป้องบ้านเมืองแล้วยิ่งต่างกันราวฟ้ากับเหว มิใช่เรื่องแปลกอะไรหากเว่ยหลีจะมั่นใจว่าหลังจากกำจัดมู่หรงอวี้ทิ้งแล้วจะคว้าตำแหน่งองค์รัชทายาทมาไว้ในเงื้อมมือของมู่หรงจ้าวได้
มู่หรงซีเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “น้องสี่เองก็เพราะเหตุผลเดียวกันอย่างนั้นหรือ”
กู้ซิ่วถิงยิ้มกล่าว “หาใช่เช่นนั้นไม่ จื้ออ๋องคิดว่า…องค์ชายเจ็ดรับมือง่ายกว่ากงอ๋องมาก”
“แต่นี่ก็เรื่องจริง เพราะน้องเจ็ดใช้ชีวิตอย่างราบรื่นมาตั้งแต่เด็ก นับว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของน้องสี่เลยจริงๆ” มู่หรงซีพยักหน้าเห็นด้วย
ครั้นเห็นสีหน้าซีดขาวและข้อมือผอมแห้งจนเห็นเส้นเลือดสีเขียวปูดโปนชัดเจนของมู่หรงซี กู้ซิ่วถิงถึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “มู่หรงอวี้ใส่ยาอะไรให้ท่านกันแน่ อับจนหนทางแล้วจริงๆ หรือ” มู่หรงซีคลี่ยิ้มขมขื่นส่ายหน้ากล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ดูทรงแล้ว…คงเป็นยาชนิดเดียวกับเสด็จแม่ เดิมที…ข้าเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก จนกระทั่งหลังจากรู้สาเหตุการตายของเสด็จแม่เลยให้คนลองตามสืบดู เจ้าพิษนี้มีมาได้หลายปีแล้ว” อดีตฮองเฮาก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ตอนแรกร่างกายอ่อนแอ พอสองปีหลังถึงค่อยๆ เริ่มไอจนสุดท้ายร่างกายอ่อนแอและตายในที่สุด ความจริงเจอสาเหตุการตายเช่นนี้ในวังไม่น้อย อย่างหญิงสาวในวังที่ไม่ได้รับการโปรดปรานก็จะตรอมใจตายไปเองไม่ต่างกัน ถึงแม้ตอนนั้นตระกูลกู้และมู่หรงซีเองจะไม่ได้สังเกตปัญหาสาเหตุการตายของกู้ฮองเฮา แต่หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในตระกูลกู้ มู่หรงซีก็กลัดกลุ้มทุกข์ใจมาตลอด แม้กระทั่งตัวเขาเองยังไม่นึกสงสัยว่าตนเกิดอาการซึมเศร้าจนตรอมใจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้ได้ยินว่าสาเหตุการตายของเสด็จแม่มีเงื่อนงำบางอย่าง มู่หรงซีคงนึกไม่ถึงความจริงที่ว่าตนก็โดนวางยาเข้าแล้วด้วยซ้ำ
กู้ซิ่วถิงมุ่นคิ้วเอ่ย “หากเป็นเช่นนั้นจริง อิทธิพลในวังของสะใภ้จูและกงอ๋องคงไม่ธรรมดา เวลานานขนาดนี้แต่เหล่าหมอหลวงกลับไม่สังเกตเห็นพิษของท่านอาหญิงเลยหรือ”
มู่หรงซีส่ายหน้าเอ่ย “เหมือนว่าเจ้าพิษนี้จะแปลกพิสดาร หมอที่ดูอาการให้ข้าก็ถือว่าเป็นผู้ชำนาญวิชาพิษเช่นกัน แต่กลับบอกไม่ได้ว่ามันคือพิษอะไร หมอหลวงเลยรักษาตามอาการทั่วไปอย่างง่ายดาย อีกอย่างเท่าที่ข้ารู้มาแต่ไหนแต่ไรมาเสด็จแม่นั้นชินกับการใช้หมอหลวงคนเดิม”
กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วถาม “หลังจากท่านอาหญิงจากไปไม่นาน หมอหลวงคนนั้นก็หายตัวไปเลยหรือ”
มู่หรงซียิ้มเฝื่อนๆ “ได้ยินว่าลาออกกลับบ้านเกิด แต่ตอนนี้ดูทรงแล้ว…น้องหกของข้า…ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุเท่าไรเอง สิบชันษาหรือสิบเอ็ดชันษากันนะ” กู้ซิ่วถิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เขาอายุยังน้อย แต่สะใภ้จูอายุไม่น้อยสักหน่อย สะใภ้จูผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
ใครว่าไม่ใช่บ้างเล่า หญิงสาวที่อยู่ในวังเงียบๆ ไม่มีปากมีเสียงมายี่สิบกว่าปีสามารถให้กำเนิดบุตรชายสองคนและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ได้ อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังข่มกดหัวบรรดาองค์ชายคนอื่นๆ ได้อีกต่างหาก ถ้าทุกอย่างราบรื่นล่ะก็ ปัญหาเรื่องรบราฆ่าฟันแก่งแย่งชิงดีกันก็คงไม่เกิดขึ้น เพราะบุตรชายคนโตมู่หรงอวี้ฉลาดเป็นกรดโดดเด่นกว่าใคร แต่ลูกคนรองอย่างมู่หรงอานกลับเป็นดั่งลูกคุณชายดื่มเที่ยวเล่นใช้ชีวิตสุขสบายไปวันๆ มู่หรงซีและกู้ซิ่วถิงสบตากัน สตรีเช่นนี้เกิดมาเพื่อเป็นฮวงไทเฮาใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างแท้จริง
“มู่ชิงอีอยู่ในวังเพียงลำพัง บอกนางให้ระวังตัวด้วย” มู่หรงซีเอ่ยเตือน
กู้ซิ่วถิงคลี่ยิ้มกว้างเอ่ย “พี่ชายไม่ต้องกังวลไป ชิงอีรู้อยู่แก่ใจดี” สะใภ้จูเล่นละครตบตาเก่ง แต่ทั้งหมดก็ใช้ได้แต่กับคนที่ไม่ระแวงนาง ทันทีที่มองความเสแสร้งจอมปลอมของนางออก วิธีการใดๆ ของสะใภ้จูก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น กู้ซิ่วถิงเชื่อว่าน้องสาวของตนต้องรับมือได้อย่างแน่นอน
ตอนต่อไป