ในค่ำคืนอันเงียบสงัด อากาศเย็นยะเยือกดั่งนที
ยามค่ำคืนไร้ผู้คน ในพระตำหนักฉินเจิ้งฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ได้เรียกสนมมาปรนนิบัติ แต่ทว่าพระองค์กลับยังมิทรงพักผ่อน
“ฝ่าบาท โหรว...มู่เฟยหลวนสิ้นใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เงาดำโผล่เข้ามาในพระตำหนักพร้อมกราบทูลอย่างนอบน้อม ฮ่องเต้แคว้นหวากลับไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร พระพักตร์ไม่ปรากฏท่าทีเกรี้ยวโกรธเลยสักนิด เพียงแต่เอ่ยเสียงเรียบว่า “อย่างนั้นหรือ คนของใครกัน” ฮ่องเต้แคว้นหวาเข้าใจมู่เฟยหลวนดี มู่เฟยหลวนไม่มีความกล้าจะฆ่าตัวตายได้แน่นอน หลายวันมานี้อาการร่อแร่เต็มที หากนางอยากตายคงตายไปนานแล้ว
“…น่าจะเป็นคนของกงอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เงาดำลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังเอ่ยตามความจริงอย่างซื่อสัตย์
“หืม กงอ๋องหรือ เขาข่มอารมณ์ไว้ไม่ได้แล้วสิท่า หลายวันมานี้องค์หญิงหมิงเจ๋อได้ไปเยี่ยมมู่เฟยหลวนหรือไม่เล่า”
คนชุดดำพยักหน้าเอ่ย “ไปมาครั้งหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ พูดไม่กี่ประโยคองค์หญิงก็กลับแล้ว ตอนนั้น…เหมือนสีหน้าขององค์หญิงจะไม่ดีเท่าไรนัก” ฮ่องเต้แคว้นหวาพยักหน้าอย่างพอพระทัย “หมิงเจ๋อเป็นเด็กฉลาดรู้คุณคน ไม่ต้องสนใจนางหรอก ออกไปเถิด” ถึงแม้จะตกใจกับความเชื่อใจและความโปรดปรานที่ฮ่องเต้แคว้นหวามีต่อองค์หญิงหมิงเจ๋อ แต่คนชุดดำฉลาดมากพอจึงไม่ได้ถามซักไซ้อะไรต่อ เพียงแต่ขานรับด้วยเสียงที่เคารพยำเกรงเท่านั้น
คนชุดดำจากไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากตอนปรากฏตัวมาอย่างเงียบๆ เมื่อครู่ ฮ่องเต้แคว้นหวาก้มหน้าอ่านสารในมือต่อ ทว่าสักพักก็ชะงักไปแล้วเอ่ยเสียงนิ่งว่า “สองปีมานี้…กงอ๋องทำตัวได้ใจเกินไปกระมัง” ขันทีผู้ดูแลที่คอยยืนรับใช้อย่างนอบน้อมไม่ไกลจากเขานักก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไร ฝ่าบาทอยากตรัสอะไรก็ย่อมได้ แต่ข้ารับใช้อย่างพวกเขาใช่ว่าจะขานรับอะไรได้ตามใจชอบสักหน่อย ในเมื่อฮ่องเต้แคว้นหวาเองก็ไม่ได้อยากฟังคำชี้แนะของใคร พระองค์ก็ไม่ได้สนใจ เพียงแค่แค่นเสียงเบาทีหนึ่งแล้วไม่ได้ตรัสอะไรอีก
ในเรือนรับรองหมิงฟัง มู่ชิงอีนั่งอยู่ตรงบานหน้าต่างพร้อมลูบไล้แหวนหยกขาวบนนิ้วอย่างเบามือ ผ่านไปนานถึงหันไปมองเนี่ยอวิ๋นที่ยืนอยู่ตรงประตูแวบหนึ่ง “มู่เฟยหลวนตายแล้วหรือ”
เนี่ยอวิ๋นพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรพลางมองแววตาที่แสนซับซ้อนของสาวน้อยตรงหน้า สาวน้อยท่าทีสงบผู้นี้สามารถคาดเดาเรื่องทั้งหมดได้อย่างชัดเจน กระทั่งยังเดาเรื่องที่ว่ากงอ๋องเป็นคนลงมือจัดการมู่เฟยหลวนได้ด้วยสติปัญญาเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงทำให้มู่หรงอวี้เจออุปสรรครอบด้าน เพียงแต่สติปัญญาอันชาญฉลาดนี้กลับชวนให้เนี่ยอวิ๋นแอบกังวลใจลึกๆ เพราะบางที…อาจฉลาดเกินไปจนแพ้ภัยตัวเองได้
“ฝ่าบาทส่งคนไปตำหนักเย็นด้วยหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
เนี่ยอวิ๋นพยักหน้า ฝ่าบาททรงส่งคนไปตำหนักเย็นจริงแต่กลับไม่ได้ช่วยมู่เฟยหลวนไว้ เพราะท่าทีไร้ความปรานีของฝ่าบาทเช่นนี้เลยทำให้เนี่ยอวิ๋นยิ่งใจสั่นสะท้าน ไม่ว่ามู่เฟยหลวนจะเคยทำใครไว้ แต่นางก็เป็นถึงสนมคนโปรดของพระองค์มาหลายปี ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยตั้งครรภ์หน่อเนื้อเชื้อไขของพระองค์ด้วย ทว่าฝ่าบาทกลับยอมให้คนอื่นฆ่านางทิ้งได้
ด้วยวิทยายุทธ์ของเนี่ยอวิ๋นแล้ว หากเขาไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นเขา ต่อให้เป็นองครักษ์คนสำคัญของฮ่องเต้แคว้นหวาก็ไร้หนทางจะสังเกตเห็นร่องรอยของเขาได้ ไม่ว่าจะองครักษ์ของฮ่องเต้แคว้นหวาหรือคนที่มู่หรงอวี้ส่งไปฆ่ามู่เฟยหลวนต่างก็ไม่มีใครรู้ว่ายังมีอีกคนอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยเช่นกัน บางที…การตายของมู่เฟยหลวนอาจจะไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่นางคิดเสียแล้ว
“ไม่เลวเลย” มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “อิ๋งเอ๋อร์ อย่าลืมเอาข่าวนี้…ไปบอกท่านพ่อสักหน่อยล่ะ”
อิ๋งเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายมู่ชิงอียิ้มสดใสกล่าว “บ่าวจำได้ขึ้นใจแล้ว คุณหนูวางใจได้เลยเจ้าค่ะ” มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วเงยหน้าเหม่อมองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวนอกหน้าต่าง จากนั้นก็เอ่ยอย่างเศร้าใจว่า “แต่…ด้วยนิสัยของท่านพ่อ เกรงว่าพี่หญิงใหญ่คงตายอย่างไม่เป็นธรรมนัก” มู่ฉังหมิงอาจยอมทรยศเพื่อมู่เฟยหลวนและองค์ชายตัวน้อยที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีทางหักหลังมู่หรงอวี้เพราะมู่เฟยหลวนที่ตายไปแล้วแน่นอน
“คุณหนู ต้องการให้พวกเราใส่สีตีไข่หน่อยหรือไม่เล่า” อิ๋งเอ๋อร์ขยิบดวงตางดงามพลางเอ่ยถาม
มู่ชิงอีส่ายศีรษะกล่าว “ช่างเถิด เกินความพอดีไป”
หลายวันมานี้มู่อวิ๋นหรงใช้ชีวิตในวังไม่ค่อยดีนัก แต่ไหนแต่ไรมานางเองก็เป็นคนขี้ขลาดตาขาวอยู่แล้ว เหตุที่เมื่อก่อนนางกล้ารังแกมู่ชิงอีก็เพราะอาศัยความเป็นบุตรสาวคนโปรดของบิดามารดาและความอ่อนแอเรี่ยวแรงน้อยของมู่ชิงอีก็เท่านั้น บัดนี้กลับใช้ชีวิตอยู่ในวังซึ่งแทบไม่รู้จักใครเลยเพียงลำพัง แม้แต่พี่สาวอันเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของนางยังมาตายอย่างอนาถโดยกะทันหันเช่นนี้อีก มู่อวิ๋นหรงไม่ได้หยิ่งผยองอย่างเฉกเช่นปกติ ทว่ากลับดูไร้ชีวิตชีวาและอ่อนแอเสียด้วยซ้ำ ขี้ระแวงราวกับไม่ว่าใครก็ทำให้นางอกสั่นขวัญแขวนได้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งข่าวบอกนางว่า พี่หญิงใหญ่ไม่ได้ฆ่าตัวตายแต่ถูกกงอ๋องและอวิ๋นกุ้ยเหรินฆ่าตายต่างหาก!
วันนี้มู่ชิงอีเตรียมพาอิ๋งเอ๋อร์ออกจากวัง ทว่ากลับถูกมู่อวิ๋นหรงที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากมุมไหนพุ่งเข้ามาขวางเอาไว้ก่อน มู่อวิ๋นหรงปรากฏสีหน้ากระวนกระวายและขาวซีดราวคนละคนกับคุณหนูสามของจวนซู่เฉิงโหวที่โอหังเอาแต่ใจในยามปกติอย่างสิ้นเชิง
“พี่หญิงสาม?”
“น้องหญิงสี่ ขอร้องช่วยพาข้าออกไปจากวังที!” มู่หรงอวิ๋นดึงแขนเสื้อเอ่ยด้วยท่าทีร้อนใจโดยไม่สนอะไรในเวลานี้แล้ว
มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม “พี่หญิงสามต้องเรียนเรื่องธรรมเนียมมารยาทในวังมิใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์พาจวิ้นจู่ออกวังด้วย” มู่อวิ๋นหรงส่ายหน้าด้วยท่าทีลุกลน “ขอร้องเจ้าล่ะ พาข้าออกจากวังทีเถิด ข้าอยากกลับจวน…ข้าจะไปเกี่ยวดองอย่างว่าง่าย ข้าจะไม่เอะอะโวยวายอะไรอีก ข้าจะฟังเจ้าทุกอย่างเลย ได้โปรดพาข้ากลับจวนทีเถิด”
มู่ชิงอีกวาดตามองมู่อวิ๋นหรงด้วยท่าทีสงบ ครั้นเห็นความอ่อนล้าและหวาดผวาที่ยากจะปิดไว้ได้ก็รู้เลยว่าสองวันมานี้นางขวัญเสียไม่น้อย ความจริงสำหรับสาวน้อยที่อยู่ภายใต้การปกป้องของพ่อแม่ ไม่เคยผ่านเรื่องเลวร้ายใดเลย เรื่องที่ถาโถมเข้ามาในหลายวันนี้สำหรับมู่อวิ๋นหรงแล้วนับว่าหนักหนาพอควร ในเมื่อเรื่องที่ทำให้มู่อวิ๋นหรงกลัดกลุ้มใจมากที่สุดก่อนหน้านี้ก็แค่กลัวว่าหนิงอ๋องจะแอบถูกใจแม่นางคนใดเข้าหรือไม่ก็เท่านั้น
“ขอโทษด้วยพี่หญิงสาม” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ
มู่ชิงอีไม่ยอมแต่มู่อวิ๋นหรงกลับตัดสินใจแล้วว่าจะหนีออกจากวังหลวงที่แสนน่ากลัวนี้ไปให้ได้ ในเมื่อมู่ชิงอีเป็นเพียงความหวังเดียวของนางย่อมไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว ระหว่างที่พวกนางถกเถียงกันอยู่นั้น หรงเฟยก็พาคนค่อยๆ สาวเท้าเดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “องค์หญิง ฮองเฮาได้ยินมาว่าสองวันนี้เหอหรงจวิ้นจู่จิตใจฟุ้งซ่านนักเลยทรงอนุญาตให้กลับจวนได้สองสามวัน องค์หญิงพาจวิ้นจู่ออกจากวังไปได้ ไม่เป็นไรหรอก” เรียกได้ว่าหลายวันมานี้หรงเฟยได้ใจไม่น้อย ศัตรูตัวฉกาจอย่างมู่เฟยหลวนตายแล้วจึงทำให้หรงเฟยอารมณ์ดีไม่หยอก ถึงแม้จะได้รับคำสั่งจากฮองเฮาให้มาส่งข่าวหยุมหยิมพวกนี้แต่กลับไม่ได้ทำให้อารมณ์ดีๆ ของนางลดน้อยลงเลย กระทั่งหรงเฟยพลอยคิดไปว่าความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจากมู่ชิงอีเข้ามาในวัง ดังนั้นยามเผชิญหน้ากับมู่ชิงอีเลยแสดงท่าทีสนิทสนมมากขึ้นไปอีก
มู่ชิงอีผงะเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเอ่ย “เช่นนั้นต้องขอขอบพระทัยฮองเฮาและหรงเฟยมากเพคะ ชิงอีน้อมรับบัญชา”
พอมู่อวิ๋นหรงได้ยินหรงเฟยพูดเช่นนั้นก็ดีอกดีใจขึ้นมาทันที ไม่แม้แต่จะเอ่ยขอบพระทัยก็รีบลากมู่ชิงอีไปทางประตูวังแล้ว หรงเฟยมองหญิงสาวสองคนที่รีบร้อนจากไปพลางเลิกคิ้ว พวกนางล้วนเป็นบุตรสาวของจวนซู่เฉิงโหว ไม่แปลกใจที่คนหนึ่งถึงถูกฝ่าบาทรักใคร่ดั่งลูกในไส้ ทว่าอีกคนกลับมีจุดจบต้องไปเกี่ยวดองต่างแคว้น ลำพังแค่ดูอากัปกิริยาก็รู้แล้วว่าต่างกันแค่ไหน