มู่ชิงอีเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองมู่ฉังหมิง “แสดงท่าทีโศกเศร้าอย่างนั้นหรือ อืม…เหมือนข้าควรจะจุดธูปไหว้บอกท่านแม่หน่อยว่ามู่เฟยหลวนไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่แล้ว แต่ข้าว่า…ท่านแม่คงไม่สนใจเรื่องนี้หรอกกระมัง อย่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ไปรบกวนดวงวิญญาณของท่านแม่เลยจะดีกว่า”
“เจ้า…”
“เจ้าสี่!” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าขึงตามองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีนัก “ไม่ว่าจะเคยมีความแค้นอะไรต่อกัน หลวนเอ๋อร์ก็เป็นพี่สาวของเจ้า พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน! ท่าทีเช่นนี้ของเจ้าชวนให้รู้สึกช่างใจจืดใจดำนัก” ฉับพลันสะใภ้ซุนก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วถลึงตามองมู่ชิงอีอย่างดุดันแล้วเอ่ย “เห็นๆ กันอยู่ว่านางเป็นคนทำให้หลวนเอ๋อร์ต้องตาย นางย่อมไม่มีทางเสียใจอยู่แล้ว! ทั้งหมดเป็นเพราะนาง! เป็นนางที่ทำให้หลวนเอ๋อร์ต้องตาย!”
สะใภ้ซุนไม่สนใจว่าใครจะเป็นคนฆ่ามู่เฟยหลวน นางรู้เพียงว่าถ้าไม่ใช่เพราะมู่ชิงอี บุตรสาวของนางก็คงไม่ถูกส่งตัวไปตำหนักเย็นและหลวนเอ๋อร์ก็ยังคงเป็นโหรวเฟยผู้มีตำแหน่งสูงศักดิ์เหมือนเคย ใครจะกล้าทำอะไรนางได้ ทุกอย่าง ทุกอย่างเป็นเพราะฝีมือของมู่ชิงอีทั้งสิ้น!
“ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้าเพื่อแก้แค้นให้หลวนเอ๋อร์!” มู่ชิงอีจับจ้องนางด้วยท่าทีสบายๆ พร้อมรอยยิ้มจางๆ แต่งแต้มบนใบหน้า สะใภ้ซุนคลุ้มคลั่งผลักมู่อวิ๋นหรงออกในคราเดียวแล้วกระโจนเข้าใส่มู่ชิงอี
พลั่ก! อู๋ซินโผล่มาอยู่ด้านหลังของมู่ชิงอีอย่างเงียบๆ สะใภ้ซุนยังไม่ทันเข้าใกล้มู่ชิงอีก็ถูกฝ่ามือฟาดจนตัวกระเด็นกลับไปชนโต๊ะอีกฝั่ง จากนั้นร่างก็ร่วงลงพื้นจนลุกขึ้นไม่ไหว
มู่ฉังหมิงอดสีหน้าเปลี่ยนไม่ได้พลันกวาดตามองอู๋ซินด้วยความโมโหแล้วจับจ้องมู่ชิงอีเอ่ยขึ้นว่า “ตกลงเขาเป็นใครกันแน่” จู่ๆ ก็เห็นอู๋ซินปรากฎตัวอยู่ในเรือนหลานจื่อ แต่มู่ฉังหมิงไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่าเวลานี้มู่ฉังหมิงเพิ่งจำได้ว่าบุรุษผู้นี้ไม่ใช่คนที่ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงประทานให้มู่ชิงอี หญิงสาวธรรมดาอย่างมู่ชิงอีจะไปหายอดฝีมือเก่งกาจขนาดนี้มาจากที่ไหนได้
อู๋ซินเงยหน้ามองมู่ฉังหมิงด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่งเอ่ย “คุณหนูมีบุญคุณเคยช่วยชีวิตข้าไว้” เหตุผลนี้ฟังเหมือนแข็งกระด้างไปสักหน่อย แต่ก็อธิบายได้อย่างลงตัว คนในยุทธจักรให้ความสำคัญกับเรื่องน้ำใจอย่างมาก หากมู่ชิงอีเคยมีบุญคุณช่วยชีวิตบุรุษผู้นี้ไว้จริงๆ ก็เป็นไปได้ที่บุรุษผู้นี้จะยอมผันตัวมาเป็นองครักษ์คอยติดตามดูแลความปลอดภัยของนางโดยไม่มีข้อแม้อยู่แล้ว แต่มู่ฉังหมิงยังรู้สึกว่าเรื่องนี้นั้นไม่ชอบมาพากล
“ท่านโหว…ท่านโหว…” มู่อวิ๋นหรงช่วยประคองตัวสะใภ้ซุนลุกขึ้น จากนั้นสะใภ้ซุนก็ดึงแขนเสื้อของมู่ฉังหมิงเอ่ย “ท่านโหว ท่านต้องแก้แค้นให้หลวนเอ๋อร์นะเจ้าคะ นางทำให้บุตรสาวของเราต้องตาย เป็นเพราะตัวกาลกิณีนี่ชัดๆ”
มู่ชิงอีกลับไม่สนใจว่าสะใภ้ซุนจะพูดเช่นไร ทว่ากลับจับจ้องมู่ฉังหมิงอย่างสนใจ อยากฟังนักว่าเขาจะตอบคำถามหญิงสาวที่เขาโปรดปรานรักใคร่มายี่สิบกว่าปีผู้นี้เช่นไร ครั้นสังเกตเห็นแววตาของมู่ชิงอี สีหน้าของมู่ฉังหมิงก็ยิ่งตึงขึ้นมากกว่าเดิม แต่สะใภ้ซุนที่ตกอยู่ในห้วงอารมณ์เศร้าโศกย่อมมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ นางเพียงลากตัวมู่ฉังหมิงมาด้วยความโกรธแค้นแล้วร้องร่ำไห้ตะโกนใส่ “ท่านโหว! ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่หลวนเอ๋อร์”
“พอแล้ว!” มู่ฉังหมิงพลันปวดศีรษะขึ้นมา เพราะเสียงร่ำไห้ที่แสบแก้วหูนี้จนร้องคำรามเสียงทุ้มต่ำ สะใภ้ซุนตกใจเสียงคำรามเกรี้ยวโกรธของเขาจนผงะไป จากนั้นก็มองมู่ฉังหมิงแน่นิ่งเอ่ย “ท่าน…ท่านโหว”
มู่ฉังหมิงเบือนหน้าหนีแววตาที่ไม่เข้าใจของนางแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้อะไรแน่ชัด เจ้าจะโวยวายอะไรกัน อวิ๋นหรง ประคองแม่เจ้ากลับไปพักผ่อน”
สะใภ้ซุนอยู่กินกับมู่ฉังหมิงมายี่สิบสามสิบปี เหตุใดจะไม่เข้าใจนิสัยของมู่ฉังหมิงเล่า ครั้นได้ยินเขาพูดเช่นนั้นสะใภ้ซุนก็เข้าใจในทันทีว่าตอนนี้มู่ฉังหมิงไม่อยากจัดการมู่ชิงอี จากนั้นก็มองมู่ชิงอีที่นั่งดื่มชาอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม สะใภ้ซุนรู้สึกราวกับเห็นสายตาเยาะเย้ยของสะใภ้จังที่จากไปเมื่อหลายปีก่อนกำลังมองมาทางตนก็มิปาน หลายวันมานี้ไหนจะบุตรชายตายอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ไหนจะบุตรสาวที่มาตายในตำหนักเย็นอีก พอได้ยินอวิ๋นหรงเล่าถึงสภาพอันน่าสังเวชและความทุกข์ทรมานของบุตรสาวคนโตก่อนตาย สะใภ้ซุนก็ยิ่งรับไม่ได้เข้าไปใหญ่ คำตอบของมู่ฉังหมิงยิ่งทำให้ความโกรธและความแค้นที่ข่มอยู่ในใจปะทุออกมา จากนั้นนางก็ไม่สนใจสถานะและไม่คิดจะเก็บงำมันไว้อีก นางหันไปคำรามใส่มู่ฉังหมิงอย่างนึกโมโห “เพราะอันใดหรือ เหตุใดยังต้องรออีก! ทั้งๆ ที่นางเป็นคนทำให้หลวนเอ๋อร์ต้องตาย เหตุใดท่านโหวต้องปกป้องนางด้วย เหตุใดถึงไม่แก้แค้นให้หลวนเอ๋อร์”
มู่ฉังหมิงไม่เคยเห็นท่าทีคลุ้มคลั่งของสะใภ้ซุนมาก่อน ภายใต้ความงุนงงเช่นนี้เลยถูกสะใภ้ซุนดึงร่างจนโงนเงนไปมา เขารีบจับโต๊ะประคองตัวแล้วผลักสะใภ้ซุนออกในคราเดียว
“ท่านโหว…”
มู่ฉังหมิงสูดหายใจเข้าลึก พยายามข่มอารมณ์พลุ่งพล่านและหงุดหงิดในใจเอาไว้ โบกมือพลางกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าควรจัดการเช่นไร เจ้าออกไปก่อนเถิด!”
สะใภ้ซุนไม่ยอม ทว่ามู่อวิ๋นหรงที่อยู่ด้านข้างรีบรั้งนางไว้แล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านแม่ พวกเรากลับกันก่อนเถิด”
สะใภ้ซุนชะงักไปแล้วมองมู่อวิ๋นหรงอย่างไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง นางยังคงเป็นบุตรสาวที่หยิ่งผยองใจกล้าในอดีตอยู่หรือไม่นะ คนที่ตายคือพี่สาวแท้ๆ ของนางเชียวนะ
“เอาล่ะ ออกไปเถิด” มู่ฉังหมิงโบกมือไล่ด้วยท่าทีรำคาญใจ สะใภ้ซุนถูกมู่อวิ๋นหรงกึ่งลากกึ่งประคองออกไป ไม่นานห้องโถงใหญ่ก็สงบลง มู่ชิงอีดื่มชาอย่างสงบพลางจับจ้องมู่ฮูหยินผู้เฒ่าและซู่เฉิงโหวตรงหน้าที่มีสีหน้าแตกต่างกันไป เห็นได้ชัดว่ามู่ฉังหมิงหงุดหงิดมาก ใช่ว่าเรื่องที่มู่อวิ๋นหรงพูดทั้งหมดจะไม่ส่งผลอะไรกับเขาเลย ความจงรักภักดีที่เขามีต่อมู่หรงอวี้มีอยู่อย่างจำกัด ตอนนี้ดันมีเรื่องของมู่เฟยหลวนเพิ่มขึ้นมาอีก เช่นนี้ก็ยิ่งอันตรายมากกว่าเดิม
หลังจากเดินวนในห้องโถงใหญ่ได้สองรอบ มู่ฉังหมิงถึงเอ่ยถามว่า “เรื่องที่อวิ๋นหรงพูดเป็นความจริงหรือ พี่หญิงใหญ่ของเจ้าถูกกงอ๋องฆ่าตายจริงๆ ไม่ใช่ว่า…” จู่ๆ มู่ฉังหมิงก็ชะงักไปแล้วจับจ้องมู่ชิงอีแน่นิ่ง มู่ชิงอีหัวเราะเสียงเย็นชากล่าว “ไม่ใช่ว่าอันใดหรือ ไม่ใช่ว่าข้าเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ ท่านพ่ออยากถามเช่นนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
มู่ฉังหมิงเงียบไปไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่ายอมรับในสิ่งที่มู่ชิงอีพูด มู่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมีท่าทีตกใจร้องขึ้นเสียงแหลม “ฉังหมิง! เจ้าพูดเรื่องเหลวไหลอันใดกัน”
ในโถงใหญ่เงียบไปชั่วขณะ เสียงหัวเราะสบายๆ ของมู่ชิงอีดังขึ้น “ก็ไม่แปลกที่ท่านพ่อจะสงสัย ความจริง…ข้าเองก็อยากลงมือเองเหมือนกัน น่าเสียดาย…ตอนนั้นด้านนอกตำหนักเย็นไม่ได้มีเพียงคนของข้าเท่านั้น แต่ยังมีคนของฝ่าบาทด้วย ลำพังแค่มู่เฟยหลวนคนเดียวอาจทำให้ฝ่าบาทสงสัยได้ มันไม่คุ้มเลยจริงๆ ดังนั้นเลยปล่อยให้กงอ๋องชิงลงมือไปก่อน”
“ฝ่าบาทหรือ” มู่ฉังหมิงร่างกายพลันสั่นสะท้าน เอ่ยด้วยท่าทีหวาดกลัวว่า “เจ้าหมายถึงฝ่าบาทเองก็รู้ว่ากงอ๋องเป็นคนฆ่าหลวนเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร มู่ฉังหมิงแทบล้มทั้งยืนเลยรีบนั่งลงบนเก้าอี้ วินาทีนั้นเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่สนใจการตายของมู่เฟยหลวนเลยสักนิด ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่าฮ่องเต้แคว้นหวาไม่สนใจมู่เฟยหลวน แต่มีความเป็นไปได้ยิ่งกว่านั้นก็คือพระองค์เกลียดชังจวนซู่เฉิงโหวและมู่เฟยหลวนในระดับหนึ่งแล้ว มิเช่นนั้นคงอธิบายไม่ได้ว่าลำพังแค่มู่เฟยหลวนวางแผนทำร้ายมู่ชิงอีคงไม่ถึงขั้นเจอจุดจบที่น่าเวทนาขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้แคว้นหวารู้เรื่องตอนนั้นแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือฮ่องเต้แคว้นหวาอาจจะยังลืมสะใภ้จังไม่ได้ด้วย
ครั้นเห็นท่าทีลุกลนหวาดกลัวของมู่ฉังหมิง มู่ชิงอีก็อดฉีกยิ้มหน้าบานไม่ได้ จากนั้นก็ลุกขึ้นมองมู่ฉังหมิงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อ เสพสุขกับวันเวลาที่เหลือให้ดีเถิด หลังจากพี่หญิงสามแต่งงานออกเรือนไป…ใช่แล้ว เมื่อวานฝ่าบาททรงตรัสว่าอยากรับข้าไว้เป็นบุตรบุญธรรมแต่ข้าปฏิเสธไปแล้ว ลองๆ คิดดูแล้วถือว่าชิงอีเองก็ไม่ได้ทำผิดต่อตระกูลมู่เลยกระมัง”