ครั้นเห็นมู่ชิงอีหมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่สนใจ มู่ฉังหมิงกลับยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าพ่ายแพ้ลุกยืนไม่ไหว พอเห็นท่าทีของเขาเช่นนั้น มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตกใจยกใหญ่ “นี่…นี่มันเรื่องอันใดกัน” มู่ฉังหมิงส่ายศีรษะอย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็พยายามประคองตัวยืนขึ้นเดินโซซัดโซเซตรงไปทางห้องหนังสือ เขาต้องการเวลาเพื่อนั่งไตร่ตรองว่าควรจะทำเช่นไรต่อไปอย่างเงียบๆ เขา…เขาจะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ต่อไปไม่ได้ แต่ว่า…แม้กระทั่งตระกูลกู้ที่อยู่มาเป็นร้อยปียังรอดพ้นจากความพิโรธของฝ่าบาทไม่ได้ แล้วเขา…จะทำอันใดได้เล่า มู่ฉังหมิงแอบสิ้นหวังอยู่ลึกๆ ภายในใจ
“คุณหนู กงอ๋องมาขอพบเจ้าค่ะ” เพิ่งเดินเข้ามาในลานเรือนหลานจื่อ จูเอ๋อร์ก็เดินเข้ามารายงานทันที
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “วันนี้ช่างวุ่นวายจริงๆ กงอ๋องถูกฝ่าบาทรับสั่งให้สำนึกผิดอยู่ในจวนมิใช่หรือ เหตุใดถึงออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกได้เล่า” อิ๋งเอ๋อร์ปิดปากหัวเราะ “แต่ฝ่าบาทมิได้ทรงรับสั่งให้กงอ๋องปิดเรือนสำนึกผิดแล้วไม่ให้ออกไปไหนเลยนี่เจ้าคะ ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนไม่ไปไหน เช่นนั้นจะไม่ใช่การนั่งรอความตายหรอกหรือเจ้าคะ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วกล่าว “ต่อให้เป็นเช่นนั้น แต่เขามาหาข้าแล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า”
อิ๋งเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ พลางเผยสีหน้างงงัน “เรื่องนี้…บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่แค่เจ้าที่ไม่รู้ เพราะข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เชิญกงอ๋องเข้ามาเถิด” มู่ชิงอีส่ายหน้าพลางเอ่ยกับจูเอ๋อร์ ทว่าอิ๋งเอ๋อร์กลับเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “หากคุณหนูไม่อยากเจอเขา เช่นนั้นคุณหนูก็ไม่ต้องเจอสิเจ้าคะ” ในบรรดาองค์ชาย อิ๋งเอ๋อร์น่าจะไม่ชอบมู่หรงอวี้และมู่หรงอานที่สุดแล้ว พอเวลานี้เห็นมู่หรงอวี้ตกที่นั่งลำบาก นางย่อมอดมีความสุขบนความทุกข์ของเขาไม่ได้อยู่แล้ว
“ถึงอย่างไรก็เป็นถึงท่านอ๋อง หากไม่ไว้หน้าบ้างคงพลอยทำให้คนอื่นคิดว่าเราไม่เห็นใครในสายตา” มู่ชิงอีเอ่ยยิ้มๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามู่หรงอวี้คิดจะทำอะไร”
มู่หรงอวี้ยังคงสวมชุดสีขาวเฉกเช่นปกติ ดูสง่างามอ่อนโยน เพียงแต่หากมองอย่างละเอียดก็จะเห็นว่าแววตาของเขาแฝงไปด้วยความอ่อนล้าและหงุดหงิด เรื่องที่เกิดขึ้นหลายวันนี้ทำเอามู่หรงอวี้เหนื่อยที่จะรับมือเช่นกัน มิเช่นนั้นมู่หรงอวี้คงสังเกตเห็นความผิดปกติในราชสำนักตั้งแต่แรกแล้ว และคงไม่ถูกคนอื่นโจมตีในการประชุมราชสำนักตอนเช้าโดยไม่ทันตั้งตัวอย่างวันนี้
“กงอ๋องเชิญนั่งเพคะ” มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางแล้วส่งสัญญาณให้อิ๋งเอ๋อร์ยกชามาให้
มู่หรงอวี้นั่งลงโดยไม่พูดอะไร ทว่าเอาแต่จับจ้องมู่ชิงอีแน่นิ่ง ครั้นมู่ชิงอีถูกคนจับจ้องด้วยสายตาเย็นชา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เลยทำให้รู้สึกทำตัวไม่ถูก นางขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยเสียงขรึม “กงอ๋องเสด็จมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดชี้แนะหรือเพคะ” มู่หรงอวี้ผงะไปราวกับเพิ่งได้สติ จากนั้นก็มองมู่ชิงอีพลางเอ่ยเสียงเรียบ “ชี้แนะหรือ คงมิบังอาจ”
มู่ชิงอีเม้มปากอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็ยกมือขึ้นเชิญมู่หรงอวี้ดื่มชา ชั่วยามนั้นพวกเขาทั้งสองต่างก็นั่งสบตากันโดยไม่พูดจาอยู่ในโถงใหญ่
มู่หรงอวี้กวาดตามองสาวน้อยตรงหน้าอย่างจริงจัง เขาเจอมู่ชิงอีเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เหมือนทุกครั้งที่เจอสาวน้อยตรงหน้ามักให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป นับวันนางก็ยิ่งไม่เหมือนบุตรสาวภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหวที่ทั้งอ่อนแอและเรียบร้อยที่เขารู้จักในตอนแรกเลย จนกระทั่งเสียเปรียบด้วยน้ำมือของนางอย่างแท้จริง มู่หรงอวี้อดยอมรับไม่ได้ว่าสาวน้อยผู้นี้ไม่ใช่แค่ปกปิดเก่ง แต่ยังมีเจตนากลั่นแกล้งเขาอีกด้วย
หลังจากมู่หรงอวี้คิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลายวันมานี้อยู่นาน ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าต้นเหตุมาจากสาวน้อยผู้นี้ นางมีจุดประสงค์ต้องการยั่วโมโหมู่เฟยหลวนและเสด็จแม่ อีกทั้งยังทำให้แผนการที่มู่เฟยหลวนคิดว่าสมจริงแยบยลครั้งนี้กลายเป็นเรื่องน่าขัน กระทั่งเสด็จแม่ก็พลอยติดร่างแหไปด้วย ทุกอย่างเขาเพิ่งเข้าใจหลังจากที่ได้ตรึกตรองหลังจากเกิดเรื่องขึ้นแล้ว มู่หรงอวี้ต้องยอมรับว่าหากตนอยู่ในเหตุการณ์คงมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะถูกสาวน้อยผู้นี้ลากเข้าไปเอี่ยวด้วยอย่างแน่นอน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำนักหลายวันนี้ เขาไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าสาวน้อยตรงหน้ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่…เวลาช่างเหมาะเจาะจนชวนให้เขาอดสงสัยไม่ได้
“กงอ๋องมาที่นี่แค่เพื่อมาดื่มชากับชิงอี?” มู่ชิงอีสบสายตาลึกล้ำจนยากจะคาดเดาได้ของมู่หรงอวี้แล้วเอ่ยพลางฉีกยิ้มบางๆ แต่งแต้มใบหน้า
มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงเรียบ “ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว ข้ากำลังคิดว่า…องค์หญิงหมิงเจ๋อเข้าใจอะไรข้าผิดไปหรือเปล่า”
มู่ชิงอีเบิกตาแสดงท่าทีตกใจเอ่ยขึ้นว่า “กงอ๋องพูดเช่นนี้ ท่านดูจากอะไรหรือ” มู่หรงอวี้แค่นเสียงเบาทีหนึ่งเอ่ย “ดูจากอะไรอย่างนั้นหรือ ก็ดูจาก…เรื่องวุ่นวายในวังในช่วงหลายวันมานี้อย่างไรเล่า” มู่ชิงอีวางถ้วยชาในมือลงแล้วมองมู่หรงอวี้ด้วยท่าทีสงบ “เรื่องในวัง…กงอ๋องหมายถึงเรื่องของอวิ๋นกุ้ยเหรินอย่างนั้นหรือ”
มู่หรงอวี้เลิกคิ้วแต่ไม่พูดอะไร
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางเอ่ย “เรื่องอวิ๋นกุ้ยเหรินเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท กงอ๋องเอาเรื่องนี้มาโทษชิงอีเช่นนี้เกรงว่าท่านจะพานโมโหมากกว่ากระมัง”
มู่หรงอวี้ยิ้มเย็นชา “เป็นเพราะองค์หญิงหมิงเจ๋อจงใจยุแหย่มิใช่หรือ องค์หญิงหมิงเจ๋อเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่กี่วันเอง นิสัยแย่ยิ่งนัก”
มู่ชิงอีกะพริบตาปริบๆ เอ่ยด้วยท่าทีสงสัยว่า “กงอ๋องหมายถึงว่า…หมิงเจ๋อห้ามเกลียดใครอย่างนั้นหรือ อีกอย่าง…หากหม่อมฉันล่วงเกินอันใดไปจนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายทำเรื่องอะไรโง่ๆ ขึ้นมา หม่อมฉันก็ต้องรับผิดชอบด้วยอย่างนั้นหรือเพคะ”
มู่หรงอวี้สีหน้าขรึมลง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายปลิ้นปล้อน แต่ท่าทีปลิ้นปล้อนที่ไร้ที่ติเช่นนี้กลับทำให้เขาทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มู่ชิงอีผู้นี้เจ้าเล่ห์…ไม่เหมือนคนของจวนซู่เฉิงโหวเลยจริงๆ! น่าเสียดายที่รู้ธาตุแท้ของนางสายเอาป่านนี้ หากรู้เร็วกว่านี้หน่อย ไม่แน่คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
มู่หรงอวี้แค่นเสียงเบาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “องค์หญิงหมิงเจ๋อคิดว่าพี่สี่กับน้องเจ็ดจะมีโอกาสเอาชนะข้าได้มากกว่าอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีเผยรอยยิ้มแผ่วเบา เงยหน้าขึ้นจับจ้องใบหน้าที่แฝงไปด้วยความเย้ยหยันของมู่หรงอวี้ “ที่แท้กงอ๋องก็สงสัยว่าเรื่องการประชุมในราชสำนักเช้านี้เกี่ยวข้องกับหม่อมฉันอย่างนั้นหรือเพคะ เช่นนั้นเหตุใดท่านอ๋องถึงไม่สงสัยไปด้วยเลยว่าอากาศแห้งแล้งทางตอนเหนือในปีนี้ก็เป็นเพราะหม่อมฉันเขมือบฝนเข้าไปด้วยเล่า”
ท่าทีประชดประชันเหิมเกริมเช่นนี้ทำให้สีหน้าของมู่หรงอวี้มืดมนไม่น้อย ในห้องโถงใหญ่กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
มู่ชิงอีไม่แปลกใจเลยสักนิดว่ามู่หรงอวี้จะนึกสงสัยคิดว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับมู่หรงเสียหรือมู่หรงจ้าว ในเมื่อด้วยนิสัยของมู่หรงอวี้ ถึงแม้จะไม่มีจุดน่าสงสัยแต่ก็ต้องระแวงเอาไว้บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นทุกอย่างก็พอเหมาะพอเจาะมากเช่นกันมิใช่หรือ แต่แล้วจะอย่างไรเล่า มู่หรงอวี้ที่ตอนนี้ถูกมู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวร่วมมือกันจัดการจะมีกะจิตกะใจมาต่อกรกับนางอีกหรือ นางเชื่อว่ามู่หรงอวี้มาครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับนาง ดังนั้นนางเลยไม่รีบร้อนอะไร
พอเห็นมู่ชิงอีมีท่าทีสบายๆ ผ่อนคลาย มู่หรงอวี้ก็ยิ่งรู้สึกพ่ายแพ้ในใจมากกว่าเดิม ท่าทีสงบของสาวน้อยตรงหน้าชวนให้เขานึกถึงสาวน้อยอีกคนอย่างง่ายดาย อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ใบหน้างดงามสุขุมเช่นนี้เหมือนกัน มองแววตาเปื้อนยิ้มจางๆ ของนางมักชวนให้รู้สึกถึงระยะห่างไม่ใกล้หรือไกลจนเกินไปนัก ควรกล่าวว่าสมแล้วที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันมากกว่ากระมัง
“องค์หญิงหมิงเจ๋อต้องการสิ่งใดกันแน่” จู่ๆ มู่หรงอวี้ก็เปิดปากถามขึ้นหลังจากผ่านไปเนิ่นนาน
มู่ชิงอีเลิกคิ้วด้วยท่าทีตกใจ กวาดตามองมู่หรงอวี้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉันต้องการสิ่งใดอย่างนั้นหรือ…เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับกงอ๋องด้วยเล่า” สิ่งที่ข้าอยากได้…ชั่วชีวิตนี้เจ้าก็ไม่มีทางจ่ายไหวหรอก เหตุใดต้องถามด้วย
มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าถามเพราะไม่เคยล่วงเกินอันใดองค์หญิง แต่องค์หญิงทำเช่นนี้…ออกจะเกินไปแล้ว”