ขันทีผู้ดูแลพยักหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบา “ไม่กี่วันก่อนในจวนผิงอ๋องเล่าลือกันว่าท่านหมอหลวงพูดว่าผิงอ๋อง…เป็นโรคเดียวกับอดีตฮองเฮา เกรงว่า…”
ฮ่องเต้แคว้นหวาชะงักไป ทว่าความทรงจำที่เขามีต่อกู้ฮองเฮาผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นกลับไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากนัก เขาจำได้เพียงว่านางเป็นสตรีผู้งดงามและสุภาพเรียบร้อย เพราะเกิดมาในตระกูลสูงศักดิ์ ด้วยบุคลิกสูงส่งสง่างามและการวางตัวเหมาะจะเป็นมารดาแห่งแผ่นดินจึงได้กำหนดนางไว้แล้ว เวลานั้นเขายังวัยเยาว์นัก เขาจึงพึงพอใจในตัวบุตรชายที่เก่งกาจโดดเด่นคนนี้มาก นี่จึงเป็นผลพลอยทำให้เขารู้สึกดีกับกู้ฮองเฮาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ฮองเฮาให้กำเนิดมู่หรงซีได้ไม่นานสุขภาพก็ย่ำแย่ลง ขณะที่มู่หรงซีอายุได้เพียงสิบชันษาเศษๆ นางก็สิ้นพระชนม์ไป แต่ระหว่างนั้นหมอหลวงกลับไม่รู้เลยว่านางป่วยด้วยโรคอะไร เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ หากหมอหลวงยืนยันว่าป่วยเป็นโรคเดียวกับฮองเฮาจริงๆ เช่นนั้น…เกรงว่าบุตรชายผู้นี้ก็คงเหลือเวลาอีกไม่กี่ปีแล้ว ชั่วเวลานั้นฮ่องเต้แคว้นหวาไม่รู้เลยว่าตนโล่งอกหรือรู้สึกไม่ดีกันแน่
“เรียกหมอหลวงที่ตรวจอาการของผิงอ๋องมาที เรามีเรื่องอยากจะถาม” ฮ่องเต้แคว้นหวาเอ่ยรับสั่งเสียงขรึม
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่นานหลังจากนั้น หมอหลวงที่คอยตรวจอาการให้มู่หรงซีก็ถูกพาตัวมาที่พระตำหนักฉินเจิ้ง
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงคุกเข่าลงทำความเคารพอย่างนอบน้อม เขาเป็นเพียงหมอหลวงที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรในสำนักหมอหลวง เขาจึงไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดถึงถูกฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้า ฮ่องเต้แคว้นหวากวาดตามองหมอเฒ่าร่างผอมบางที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นจากด้านบนพลางขมวดคิ้วตรัสถามว่า “เจ้าเป็นหมอหลวงตรวจอาการป่วยของผิงอ๋องหรือ”
หมอหลวงผงะไปแล้วรีบเอ่ยตอบ “ทูล…ทูลฝ่าบาท ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงแม้เขาจะเป็นฮ่องเต้มาหลายปี แต่ควรรู้ว่าเขาก็เริ่มมาจากการเป็นองค์ชายคนหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นย่อมรู้กฎในวังอยู่กลายๆ แค่ดูก็รู้ว่าหมอเฒ่าผู้นี้ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรในสำนักหมอหลวง หลายปีมานี้จวนผิงหนานถูกคนมองข้าม แม้แต่สิทธิ์ในการเข้าราชสำนักยังถูกกีดกัน คนในสำนักหมอหลวงเองก็เลือกคนตามลำดับความสำคัญเลยส่งคนที่ไม่โดดเด่นอะไรไปดูอาการที่จวนผิงหนานก็เท่านั้น ถึงแม้เวลานี้จะรู้สึกไม่พอพระทัย แต่เขาก็รู้ว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะท่าทีละเลยของตนถึงทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น สีหน้าของฮ่องเต้แคว้นหวาย่ำแย่ลงเรื่อยๆ “สุขภาพของผิงอ๋องเป็นเช่นใดบ้าง”
หมอหลวงกราบทูลด้วยร่างกายที่สั่นเทิ้มว่า “ทูล…ฝ่าบาท สุขภาพของผิงอ๋องอ่อนแอนัก…กระหม่อมเกรงว่า…เกรงว่า…”
“เกรงว่าอันใดหรือ” ฮ่องเต้แคว้นหวาเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก
หมอหลวงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง “เกรงว่า…คงอยู่ได้ไม่ถึงห้าปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม…ฝีมือการรักษาของกระหม่อมไม่ได้เรื่อง โปรดฝ่าบาทอภัยให้กระหม่อมด้วย”
ฮ่องเต้แคว้นหวาหรี่ตาลงส่งแววตาเย็นยะเยือกสาดใส่หมอหลวงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น “หืม ฝีมือการรักษาไม่ได้เรื่อง แต่เจ้ากลับวินิจฉัยได้ว่าผิงอ๋องจะอยู่ได้ไม่เกินอีกห้าปีอย่างนั้นหรือ” หมอหลวงหน้าซีดรีบเอ่ยว่า “นั่นเป็นเพราะ…กระหม่อมลองเอาอาการป่วยของอดีตฮองเฮากับผิงอ๋องมาเทียบกัน อดีตฮองเฮา…อาการก่อนตายเมื่อห้าปีก่อนของอดีตฮองเฮา เกรงว่ายังร้ายแรงสู้อาการของผิงอ๋องในตอนนี้ไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสเสียงเย็นชา “บอกเรามาตามตรงว่าผิงอ๋องยังเหลือเวลาอีกเท่าไร”
“ไม่…ไม่เกินสามปีพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงตอบเสียงสั่น
“สามปีหรือ” ฮ่องเต้ขบคิดอะไรบางอย่าง ผ่านไปสักพักถึงตรัสว่า “เจ้าออกไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา” หมอหลวงพรั่งพรูลมหายใจแล้วรีบออกไป ในพระตำหนักฉินเจิ้งไร้ซึ่งเสียงใด ผ่านไปสักพักใหญ่เสียงของฮ่องเต้แคว้นหวาดังขึ้นอีกครั้งว่า “ส่งหมอหลวงจ้าวไปตรวจดูอาการของผิงอ๋อง” ขันทีผู้ดูแลที่ยืนอยู่ด้านหลังชะงักไป แล้วรีบขานรับว่า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับบัญชา” หมอหลวงจ้าวเป็นคนสำคัญของฮ่องเต้แคว้นหวา อีกทั้งยังเป็นหมอหลวงที่มีฝีมือการรักษาเก่งที่สุดในสำนักหมอหลวงแล้ว ปกตินอกจากฮ่องเต้แคว้นหวาและฮองเฮาแล้ว แม้แต่องค์ชายคนอื่นๆ ก็ใช้งานเขาไม่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นหวาเป็นห่วงอาการป่วยของผิงอ๋อง…หรือสงสัยว่าอาการป่วยของผิงอ๋องจะเป็นเรื่องโกหกกันแน่
ณ จวนผิงอ๋อง
หลังจากส่งหมอหลวงจ้าวที่ได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาทให้มาตรวจอาการเขากลับไปแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของมู่หรงซีก็คลี่ยิ้มขมขื่นออกมาเล็กน้อย เพียงแต่รอยยิ้มขมขื่นนั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเย็นชาเย้ยหยันในเวลาอันรวดเร็ว
“ท่านว่าจ้าวเฉิงจะตรวจวินิจฉัยอาการของท่านได้หรือ” กู้ซิ่วถิงในชุดสีขาวเดินออกมาจากฉากกั้นลมแล้วเอ่ยถามมู่หรงซีขึ้นมา มู่หรงซีเลิกคิ้วยิ้มกล่าว “จ้าวเฉิงถูกขนานนามว่าเป็นยอดหมอเทวดา หากแม้แต่เขาก็ดูไม่ออก เกรงว่าบนโลกนี้คงไม่มีใครดูอาการนี้ออกแล้วกระมัง” กู้ซิ่วถิงพยักหน้ารับ จากนั้นก็เดินมานั่งลงตรงหน้ามู่หรงซี เอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทส่งคนมาดูอาการท่านตอนนี้…”
มู่หรงซีนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวยาว เขาวางมือลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้หรือ…คาดว่าเสด็จพ่อคงกำลังคิดว่าหลังจากสลัดน้องหกทิ้งไปแล้วจะทำเช่นไรต่อไปกระมัง หากคดีของตระกูลกู้ถูกแก้ใหม่จริง องค์รัชทายาทผู้บริสุทธิ์ที่ถูกถอดตำแหน่งอย่างข้าก็ต้องขึ้นรับตำแหน่งใหม่”
กู้ซิ่วถิงพยักหน้ากล่าว “ดูท่าทางฝ่าบาทคงเตรียมสลัดมู่หรงอวี้ทิ้งแล้วจริงๆ”
มู่หรงซียิ้มเอ่ย “ในสายตาของเสด็จพ่อ เกรงว่าจะไม่มีใครที่เขาสลัดทิ้งไม่ได้ อยู่ที่ว่าจะคุ้มหรือไม่ก็เท่านั้น” ครั้นคิดได้เช่นนี้ก็อดยิ้มโศกเศร้าไม่ได้ หากตอนนั้นองค์รัชทายาทอย่างเขามีความสามารถมองความคิดของฮ่องเต้ได้ทะลุปรุโปร่งอย่างในตอนนี้ เกรงว่าคงไม่เกิดเรื่องอย่างหลายปีก่อนขึ้นแน่นอน น่าเสียดายความสามารถเช่นนี้…ใช่ว่าจะมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
“พี่ชาย” ครั้นเห็นรอยยิ้มเศร้าหมองของมู่หรงซี กู้ซิ่วถิงก็มุ่นคิ้วเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ข้าคิดแผนส่งคนลองไปหลอกถามจ้าวเฉิงว่ามีวิธีแก้พิษนี้หรือเปล่าดีกว่า” ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นหวารู้เรื่องที่มู่หรงซีโดนวางยาพิษ ถึงแม้จ้าวเฉิงจะแก้พิษได้ เกรงว่าฮ่องเต้แคว้นหวาก็คงไม่ยอมช่วยมู่หรงซีกระมัง อายุปาไปห้าสิบชันษาแล้ว แต่ฮ่องเต้แคว้นหวาที่ดูมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกนานคงไม่ต้องการให้องค์รัชทายาทลุกขึ้นมาผงาดใหม่ได้อีกครั้งแน่นอน
“ไม่ต้องหรอก” มู่หรงซีส่ายหน้าเอ่ย
“พี่ชาย!” กู้ซิ่วถิงมุ่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจ สำหรับท่าทีปล่อยตัวเองเองยอมตายเช่นนี้ของมู่หรงซีอาจพอเข้าใจได้แต่เขาก็ทำใจจะยอมรับได้ยากเช่นกัน มู่ชิงอีและกู้ซิ่วถิงสองพี่น้องคู่นี้ดูเหมือนอ่อนโยนสง่างาม แต่กลับได้รับการถ่ายทอดความเข้มแข็งและโหดเหี้ยมของคนตระกูลกู้ฝังลึกอยู่ในกระดูก ดังนั้นถึงแม้พวกเขาจะผ่านความทุกข์ทรมานที่ใครหลายๆ คนต่างนึกไม่ถึง แต่ก็ยังคงลุกขึ้นมาวางแผนแก้แค้นอย่างใจเย็นได้อีกครั้ง สุดท้ายก็เหยียบย่ำศัตรูของพวกเขาจนจมดิน พวกเขาเป็นดั่งหงส์ หลังจากเกิดใหม่ก็จะยิ่งงดงามสะดุดตามากกว่าเดิม
ทว่ามู่หรงซีกลับเป็นคนอ่อนโยนและมีหลากหลายอารมณ์ดั่งนักปราชญ์ตระกูลผู้มีความรู้ เขาเกิดมาเป็นกษัตริย์แต่กำเนิด สถานะสูงศักดิ์อยู่เหนือใคร ทว่ากลับมีความอดกลั้นเพื่อโจมตีล้างแค้นห่างชั้นจากกู้ซิ่วถิงและมู่ชิงอีมากนัก แน่นอนว่าบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับคนที่หักหลังพวกเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็นมู่หรงอวี้หรือใครคนอื่น สำหรับมู่ชิงอีและกู้ซิ่วถิงแล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นเพียงคู่แค้นคนนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดต่อกัน แต่มู่หรงซีกลับถูกเสด็จพ่อแท้ๆ ของตนเองทอดทิ้ง กู้ซิ่วถิงเข้าใจความทุกข์ทรมานนี้ดี เพราะถ้าตอนนั้นคนที่ทอดทิ้งพวกเขาไปคือท่านพ่อแท้ๆ เขาก็คงทุกข์ทรมานใจเหนือกว่าสิ่งใดทั้งปวงเช่นกัน
มู่หรงซียิ้มเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ “เอาล่ะ ซิ่วถิง ข้ารู้ว่าเจ้าเบื่อเรื่องในราชสำนักนานแล้ว รอหลังเรื่องนี้จบ เจ้าก็พามู่ชิงอีออกไปจากเมืองหลวงเถิด ภูเขาสูงตระหง่านแม่น้ำกว้างใหญ่ ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดก็ดีกว่าที่นี่อยู่แล้วมิใช่หรือ”
“แต่ท่าน…” กู้ซิ่วถิงขมวดคิ้วมุ่น
มู่หรงซีเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “ที่นี่…เป็นที่ที่ข้าเกิด ก็จะเป็นที่ที่ข้าตายด้วยเหมือนกัน ที่นี่คือบ้านของข้านี่นา ซิ่วถิง อย่าฝืนตัวเองทำอะไรเพื่อคนที่ไร้ประโยชน์อย่างข้าอีกเลย” มู่หรงซีรู้อยู่แก่ใจดีว่าหากตนยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ต่อให้กู้ซิ่วถิงจะเกลียดมากเพียงใดก็คงเลือกอยู่เป็นผู้ช่วยฝ่ายซ้ายของเขาเหมือนเดิม แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ใดอีกต่อไปเพราะเขาไม่สนใจตำแหน่งสูงส่งอะไรนั่นแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขารู้แก่ใจดีว่าพิษที่เขาโดนยากที่จะกำจัดให้สิ้นซากได้ หากตนไม่ทันได้ขึ้นครองราชย์แล้วชิงตายเสียก่อน เช่นนั้นคงเป็นมหันตภัยครั้งใหญ่สำหรับกู้ซิ่วถิงและมู่ชิงอีอย่างแน่นอน