“ข้าไม่ได้ไปไหนมั่วซั่วสักหน่อย” หย่งจยาจวิ้นจู่ยู่ปากอย่างไม่เห็นด้วยเอ่ยท้วงเสียงเบา “แคว้นหวาน่าเบื่อจะตายไป ชิงอีเองก็อยู่แต่ในวังไม่ค่อยออกมา ข้าไม่รู้แล้วว่าจะไปหาใครดี”
เกอซูฮั่นเอ่ย “เจ้าเข้าวังไปเที่ยวหานางได้นี่”
หย่งจยาจวิ้นจู่ขบคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็งุดหน้าส่ายศีรษะด้วยท่าทีเศร้าสร้อย “ช่างเถิด ข้าไม่อยากอยู่ในวังสักนิด” ไม่ว่าจะเป็นวังหลวงของแคว้นหวาหรือวังหลวงของเป่ยฮั่น นางก็ไม่ชอบทั้งนั้น เพียงแค่เข้าไปในสถานที่แบบนั้นก็สัมผัสได้ถึงความน่าอึดอัดมากแล้ว หากอยู่นานวันเข้าสงสัยว่าตนคงคลุ้มคลั่งแน่นอน
“ใช่แล้ว พี่สิบเอ็ด คุณชายอวิ๋นอิ่นยังอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่นะ” เพียงครู่เดียวหย่งจยาจวิ้นจู่ก็กะพริบตาปริบๆ มองเกอซูฮั่นด้วยท่าทีน่าสงสาร เกอซูฮั่นส่ายหน้าเอ่ย “ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้หรือ” หย่งจยาจวิ้นจู่ผิดหวังอยู่บ้าง
เกอซูฮั่นครุ่นคิดดูแล้วก็ตัดสินใจเอ่ยเตือนน้องสาวลูกพี่ลูกน้องที่ ‘แสนรักสนุก’ ของตนว่า “วันหลังหากเจออวิ๋นอิ่นก็ถอยไปให้ไกลหน่อยแล้วกัน”
“ทำไมหรือ” หย่งจยาจวิ้นจู่กะพริบตาปริบๆ
เกอซูฮั่นเอ่ย “คุณชายอวิ๋นอิ่นอารมณ์แปรปรวนง่าย หากเผลอไม่ระวังยั่วโมโหเขาเข้า เจ้าลองดูก็ได้ว่าเขาจะสามารถเจาะหน้าผากเจ้าเป็นรูโบ๋เหมือนคืนนั้นได้หรือไม่”
หย่งจยาจวิ้นจู่รู้สึกเสียววาบตรงลำคอจนรีบหดคอในทันที พอนึกถึงอาวุธลับอะไรไม่รู้ที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาในรถม้าคืนนั้น จากรถม้าที่ทำจากไม้อย่างดีก็ถูกเจาะเป็นรูโบ๋ขนาดเท่าเหรียญตำลึงก็มิปาน นางไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าหน้าผากของนางจะแข็งแรงกว่ารถม้านั่นเลย
“พี่สิบเอ็ด…”
“หากเจ้าไม่ไปหาเรื่องเขา เขาก็คงไม่มาหาเรื่องเจ้าโดยไร้ต้นสายปลายเหตุหรอก” เกอซูฮั่นเอ่ยปลอบโยน เพียงแต่น่าเสียดายที่หย่งจยาจวิ้นจู่ที่ถูกพี่สิบเอ็ดขู่ไปแล้วกลับไม่รู้สึกว่าตนถูกปลอบใจเลยสักนิด เหตุใด…บนโลกใบนี้ถึงไม่มีหนุ่มรูปงามที่อ่อนโยนไร้พิษภัยสักคนเลยนะ น้องชายชิงของนางน่ารักที่สุดแล้ว
“จวิ้นจู่ เลี่ยอ๋อง” ขณะที่หย่งจยาจวิ้นจู่กำลังครุ่นคิด มู่ชิงอีก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังพวกเขาทั้งสอง เกอซูฮั่นหันไปก็เห็นสาวน้อยสวมชุดสีเขียวอมฟ้ายืนยิ้มงดงามสง่าให้จนทำเอาเขาอดผงะไปไม่ได้
“องค์หญิงหมิงเจ๋อ”
“ชิงอี” หย่งจยาจวิ้นจู่แววตาลุกวาวแล้วผลักตัวพี่สิบเอ็ดของนางออกในคราเดียว จากนั้นก็เข้าไปคล้องแขนของมู่ชิงอีเอ่ยอย่างดีอกดีใจว่า “ชิงอี เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เล่า เอ๊ะ ไม่สิ! ในเมื่อเจ้าออกวังมาแล้วเหตุใดถึงไม่มาเที่ยวหาข้าเล่า”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยยิ้มๆ “ตอนนี้ก็เจอกันแล้วมิใช่หรือ”
เกอซูฮั่นยกยิ้มมองสาวน้อยทั้งสองพูดคุยหัวเราะคิกคักกัน จากนั้นสายตาก็เหลือบไปมองเนี่ยอวิ๋นที่ติดตามมู่ชิงอีอยู่ด้านหลัง เขาจับจ้องอยู่นานก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม “หัวหน้าองครักษ์เนี่ย”
“เลี่ยอ๋อง”
ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวาและยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเป่ยฮั่นได้มาเจอะกัน เดิมทีควรเป็นฉากบรรยากาศอึมครึมที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ ทว่าบรรยากาศในเวลานี้กลับสงบเรียบนิ่ง ถึงแม้แววตาที่เกอซูฮั่นมองเนี่ยอวิ๋นจะดูใจร้อนอยากประลองฝีมือด้วยเต็มแก่ แต่กลับไม่ได้แผ่กลิ่นอายสังหารฟาดฟันอยากเอาชนะของยอดฝีมือเช่นนั้นออกมา กล่าวได้ว่าตอนนี้เกอซูฮั่นไม่ได้มีความคิดอยากปะทะกับยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวาเลย
ในฐานะที่เนี่ยอวิ๋นเป็นองครักษ์ติดตามตัวของมู่ชิงอีจึงยิ่งมีท่าทีสุขุมมากขึ้น ความจริงนับตั้งแต่เขาเป็นองครักษ์วังหน้าของฮ่องเต้แคว้นหวา เนี่ยอวิ๋นก็เลิกใช้ชีวิตพร้อมประชันกับเหล่ายอดฝีมือได้ทุกเมื่อเช่นนั้นมานานแล้ว ในเมื่อการติดตามฮ่องเต้ หากแผ่ไอสังหารทุกเวลาเช่นนั้นจะเป็นพฤติกรรมรนหาที่ตายเสียมากกว่า
หย่งจยาจวิ้นจู่เคยเจอเนี่ยอวิ๋นอยู่ไม่กี่ครั้ง เพียงแต่ไม่เคยทักทายพูดคุยอะไรด้วย สำหรับสาวเป่ยฮั่นที่เลื่อมใสในวิทยายุทธ์ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวาอาจจะน่าดึงดูดกว่าหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งของแคว้นหวาด้วยซ้ำ
“เจ้าคือเนี่ยอวิ๋นหรือ แข็งแกร่งกว่าหนุ่มเจ้าสำอางอย่างจ้าวจื่ออวี้มากโขนัก” หย่งจยาจวิ้นจู่เอ่ยชื่นชมจากใจจริง นอกจากเนี่ยอวิ๋นแล้ว จ้าวจื่ออวี้ก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งในแคว้นหวาเช่นกัน เพียงแต่นางอยู่ข้างกายยอดฝีมืออันดับต้นๆ อย่างเกอซูฮั่นมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นในสายตาของหย่งจยาจวิ้นจู่แล้ว จ้าวจื่ออวี้จึงไม่ค่อยดึงดูดใจนางสักเท่าไร
เนี่ยอวิ๋นมองหย่งจยาจวิ้นจู่อย่างประหลาดใจ แล้วขานตอบอย่างระมัดระวัง “ขอบคุณจวิ้นจู่ขอรับ”
เพราะท่าทีนิ่งเฉยของเนี่ยอวิ๋น หย่งจยาจวิ้นจู่จึงหันไปมองมู่ชิงอีพร้อมกะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อ นางเอ่ยปากชมเนี่ยอวิ๋น แต่เหตุใดเนี่ยอวิ๋นถึงไม่แสดงท่าทีดีใจบ้างเลยนะ มู่ชิงอีเพียงลูบจมูกเบาๆ โดยไม่พูดอะไร หากตนบอกหย่งจยาจวิ้นจู่ตอนนี้ว่าจ้าวจื่ออวี้เป็นศิษย์น้องของเนี่ยอวิ๋นจะได้หรือไม่นะ
“เหตุใดองค์หญิงหมิงเจ๋อกับหัวหน้าองครักษ์เนี่ยถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า” เกอซูฮั่นมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยถาม ขณะเดียวกันก็ลอบอุทานในใจ เด็กคนนี้ไม่ต้องการให้เขาปกป้องอีกต่อไปแล้ว ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองเดือนตำแหน่งสถานะก็ก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ชั่วพริบตาเดียวจากบุตรสาวภรรยาเอกที่ไม่เป็นที่โปรดปรานของใครแห่งจวนซู่เฉิงโหวกลับกลายเป็นองค์หญิงที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุดในเวลานี้แล้ว
มู่ชิงอีฟังน้ำเสียงที่แฝงนัยยะบางอย่างของเกอซูฮั่นออกจึงลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ชั่ววินาทีที่นางได้สถานะองค์หญิงมาครอบครอง นางและเกอซูฮั่นก็ยากที่จะสนทนาด้วยท่าทีสบายๆ ผ่อนคลายเฉกเช่นในอดีตได้อีก เพราะนางเป็นองค์หญิงของแคว้นหวา ส่วนเกอซูฮั่น…ก็คือเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่น
ไม่ว่าจะสนิทสนมมากเพียงใด แต่ในสายตาของเกอซูฮั่นย่อมให้ความสำคัญต่อเป่ยฮั่นและพี่ชายอย่างฮ่องเต้ของแคว้นเป่ยฮั่นที่สุดอยู่แล้ว อีกอย่างในฐานะที่เป็นเลี่ยอ๋องผู้มีตำแหน่งสูงส่งอำนาจล้นฟ้า หากไปมาหาสู่ทำตัวสนิทสนมกับองค์หญิงแคว้นหวาย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร
หย่งจยาจวิ้นจู่มองเกอซูฮั่นด้วยท่าทีสงสัย ยู่ปากเอ่ย “เหตุใดพี่สิบเอ็ดถึงทำตัวจริงจังเช่นนั้นเล่า ช่างชวนให้ข้าไม่คุ้นชินเอาเสียเลยจริงๆ”
มู่ชิงอียิ้มบางๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ก่อนหน้านี้หม่อมฉันก็ดูไม่ออกว่าเลี่ยอ๋องจะเป็นคนดื้อรั้นขนาดนี้”
หย่งจยาจวิ้นจู่กวาดตามองพวกเขาสองคนอย่างรู้ทัน จากนั้นก็ขยิบตาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไม่พูดเรื่องนี้ต่ออีก “ใช่แล้ว เหตุใดชิงอีถึงออกวังมาได้เล่า มิใช่ว่าในวัง…หืม...” จากนั้นก็ยิ้มตาหยีส่งสายตาประมาณว่า ‘เจ้าน่าจะเข้าใจดี’ ไปให้ชิงอีทีหนึ่ง
มู่ชิงอีอมยิ้มเอ่ย “เพราะในวังเกิดเรื่องมากมาย ข้าเลยต้องออกวังมาอย่างไรเล่า” บัดนี้ตัวเลือกที่จะส่งตัวไปเกี่ยวดองก็กำหนดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางจะอยู่ในวังหรือนอกวังก็ไม่ได้แตกต่างกันอะไร เพียงแต่ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงยืนหยัดว่าจะให้นางอยู่ในวังต่อ สุดท้ายเลยตัดสินใจไปๆ มาๆ ทั้งสองที่แทน หากนางเอาแต่อยู่ในวังตลอด ไม่เพียงแต่จะทำอะไรไม่ค่อยสะดวก แต่มู่ชิงอีรู้สึกว่านางไร้หนทางจะคุ้นเคยกับบรรยากาศที่แสนน่าอึดอัดนั่นได้
หย่งจยาจวิ้นจู่แววตาวูบไหว นางกระตุกแขนเสื้อของมู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงเบา “ชิงอี ในวัง…เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือ”
มู่ชิงอีมองสีหน้าสงสัยของหย่งจยาจวิ้นจู่อย่างเอือมระอา เกอซูฮั่นที่อยู่ข้างกายส่ายศีรษะเอ่ยตำหนิเสียงเบา “หย่งจยา อย่าทำตัวเหลวไหล!”
หย่งจยาจวิ้นจู่ขึงตาจับจ้องพี่สิบเอ็ดของตนอย่างโกรธเคือง มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ใช่ว่าจะพูดอะไรไม่ได้สักหน่อย ผ่านไปอีกไม่กี่วันพวกท่านก็ต้องรู้เรื่องนี้กันอยู่แล้วมิใช่หรือ”
หย่งจยาจวิ้นจู่นึกขึ้นได้จึงเอ่ยว่า “นั่นสิ ว่ากันว่าอวิ๋น...จูซื่อถูกจับเข้าคุกรอฤกษ์ประหารหรือ แต่ว่า…งานอภิเษกขององค์หญิงไหวหยางและองค์ชายเก้าแคว้นหวาใกล้เข้ามาทุกที ฮ่องเต้แคว้นหวาคงรอหลังงานอภิเษกกระมัง”
จู่ๆ เนี่ยอวิ๋นก็เปิดปากเอ่ย “ไม่จำเป็นเลย ความหมายของฝ่าบาทก็คือเร็วๆ นี้แหละ” เนี่ยอวิ๋นเข้าใจฮ่องเต้แคว้นหวามากพอ ยามที่พระองค์โกรธเกลียดใครคนหนึ่งย่อมไม่มีทางสนใจเรื่องความเป็นสิริมงคลใดๆ ทั้งสิ้น หากเป็นวันมงคลของตัวพระองค์เองก็อาจจะชั่งใจยั้งคิดบ้าง แต่คนที่ไม่ได้สำคัญอะไรอย่างองค์ชายเก้า เกรงว่าจะไม่มีสิทธิ์ทำให้ฮ่องเต้แคว้นหวายอมเรื่องนี้เพราะเขาเลย