“เอ๊ะ เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูได้ด้วยหรือ” หย่งจยาจวิ้นจู่เอ่ยพร้อมดวงตาเป็นประกาย เกอซูฮั่นตีหน้าผากนางทีหนึ่งอย่างระอากล่าว “ไม่เคยเห็นคนตายหรืออย่างไรกัน”
หย่งจยาจวิ้นจู่กุมหน้าผากพลางกลอกตาใส่เกอซูฮั่น “ข้าก็แค่อยากเห็น…ว่ายามที่จูซื่อถูกตัดสินประหาร มู่หรงอวี้จะยังยิ้มได้อยู่หรือเปล่า”
ทุกคนมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร
เกอซูฮั่นจิบชาพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “เหมือนว่า…ความสัมพันธ์ระหว่างกงอ๋องกับองค์ชายสี่แห่งแคว้นเย่ว์จะดีไม่หยอก”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเกอซูฮั่นด้วยท่าทีตกใจ เกอซูฮั่นอมยิ้มบางราวกับคำพูดเมื่อครู่นางหูฝาดไปเท่านั้น มู่ชิงอีหลุบตาเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบพระทัยเลี่ยอ๋องเพคะ”
ณ จวนกงอ๋อง
ถึงแม้มู่หรงอวี้จะถูกฮ่องเต้แคว้นหวาถอดถอนตำแหน่ง แต่ก็ยังเหลือจวนที่พักไว้ให้อาศัย เพราะในเมื่อเป็นถึงองค์ชายก็คงปล่อยให้ไปนอนข้างถนนไม่ได้ อีกทั้งในเมื่อเป็นถึงองค์ชายวัยฉกรรจ์ผ่านการอภิเษกแล้วย่อมกลับเข้าไปประทับในวังไม่ได้อีก เพียงแต่ป้ายชื่อขนาดมหึมาตรงหน้าประตูจวนกงอ๋องกลับถูกเอาออกไปแล้ว ประตูบานใหญ่ว่างเปล่าชวนให้แอบอดรู้สึกถึงกลิ่นอายความไม่เป็นมงคลและชีวิตอันตกต่ำไม่ได้
ในห้องหนังสือ บรรยากาศตึงเครียดจนชวนให้แทบหายใจไม่ออก จูหมิงรุ่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้เหม่อลอยสติหลุดไปไกล เพราะเรื่องสะเทือนใจที่ตระกูลจูถูกประหารยกครัวเมื่อครู่ทำเอาเขาดึงสติกลับมาไม่ได้ มีเพียงเขาที่เอาตัวรอดได้ว่องไวเลยหนีออกมาซ่อนตัวอยู่ในจวนกงอ๋องก่อน แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่แผนที่ใช้ได้ในระยะยาว ตนต้องรีบคิดหาวิธีหนีออกจากเมืองหลวงโดยเร็วถึงจะถูก
หลินตวนขมวดคิ้วแน่น หลังจากผ่านไปสองวันก็เหมือนจอนผมข้างหูสีขาวทั้งสองข้างจะขาวขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย เขามองมู่หรงอวี้ที่เผยสีหน้าแน่นิ่งไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่แล้วมองจูหมิงรุ่ยที่นั่งเหม่อลอยอยู่อีกฝั่ง จากนั้นก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนใจ
“ท่านอ๋อง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว…ไม่รู้ว่าท่านอ๋องวางแผนจะทำเช่นไรต่อหรือ” หลินตวนเอ่ยถามเสียงขรึม ทุกสรรพสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ยุครุ่งโรจน์ขององค์รัชทายาทในตอนนั้นกลับตกอับได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน และบัดนี้โชคชะตานั้นก็ย้อนกลับมาปรากฏในจวนกงอ๋องอีกครั้ง เพียงแต่…เกรงว่าจุดจบของกงอ๋องจะน่าสังเวชเสียกว่าตอนครั้งองค์รัชทายาทเสียอีก เพราะความผิดส่วนมากของมู่หรงซีในตอนนั้นเป็นสิ่งที่กุขึ้นมา ส่วนมู่หรงอวี้…ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาของจวนกงอ๋อง หลินตวนย่อมรู้แก่ใจดีกว่าใครว่ามู่หรงอวี้ทำอะไรมาบ้าง
“วางแผนหรือ” มู่หรงอวี้เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดำสนิทสาดแววลึกล้ำครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มเย้ยมุมปากเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ตอนนี้ยังจะวางแผนทำอะไรได้อีก”
เสด็จพ่อตัดสินใจตัดหางปล่อยวัดทิ้งเขาแล้ว อีกอย่างเหล่าพี่น้องทั้งหลายของเขาก็กำลังจงใจขุดคุ้ยตามสืบความผิดของเขาอยู่ นอกจากนี้เขายังถูกสั่งห้ามออกนอกจวนกงอ๋องจนทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
หลินตวนถอนหายใจเอ่ยเสียงขรึม “สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้เอื้อผลดีต่อท่านอ๋องเลยสักนิด หากท่านอ๋องไม่วางแผนไว้ก่อน เช่นนั้น…จะรอให้จื้ออ๋องกับองค์ชายเจ็ดก่อเรื่องวุ่นวายจริงๆ หรือ” จื้ออ๋องกับองค์ชายเจ็ดไม่มีทางปล่อยโอกาสให้ท่านอ๋องได้หนีแน่นอน ทันทีที่พวกเขาจัดการคงถอนรากถอนโคนจนกงอ๋องผงาดขึ้นมาใหม่ไม่ได้ไปชั่วชีวิต
มู่หรงอวี้คลึงหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยล้าเล็กน้อย เอ่ยถาม “ท่านมีคำชี้แนะอย่างไรหรือ”
หลินตวนชั่งใจอยู่พักหนึ่งถึงเปิดปาก “ไม่รู้ว่า…ผิงอ๋องมีท่าทีเช่นไรบ้าง” เวลานี้คนที่พอจะช่วยกงอ๋องให้พ้นจากภยันตรายนี้ไปได้คงมีเพียงผิงอ๋องแล้ว ถึงแม้หลินตวนคิดว่าข้อเสนอแนะนี้ของตนอาจจะฟังน่าขันไปบ้าง แต่เขาก็คิดหาวิธีที่ได้ผลกว่าความคิดน่าขันนี้ไม่ได้แล้วจริงๆ
“ผิงอ๋องหรือ” มู่หรงอวี้ชะงักไป จากนั้นก็เงยหน้ามองหลินตวนด้วยแววตาแปลกๆ “เจ้าคิดว่าเขาจะปล่อยข้าไปอย่างนั้นหรือ หรือเจ้าคิดว่าอดีตองค์รัชทายาทของเราเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ อย่างนั้นหรือ” คำพูดนี้ฟังดูแล้วแอบแฝงความชิงชังอยู่บ้าง มู่หรงอวี้อิจฉาหรือจะกล่าวได้ว่าริษยามู่หรงซีมาโดยตลอด ในฐานะที่เป็นองค์ชาย ไม่รู้ว่าต้องยอมทำเรื่องชั่วช้ามาตั้งเท่าไรกว่าจะครอบครองอำนาจได้อย่างวันนี้ ทว่ามู่หรงซีกลับมีทุกสิ่งที่ตนอิจฉาอยากครอบครองมาตั้งแต่กำเนิด เขาไม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเองทำเรื่องใด เพราะเขาเป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ที่สุดในแคว้นหวาตั้งแต่กำเนิดแล้ว ในเมื่อเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหวา เขาแค่คอยรับความเคารพเลื่อมใสของคนทั่วทั้งใต้หล้าอยู่เบื้องบนอันสูงส่งหลังพายุเมฆฝนผ่านพ้นไปก็พอแล้ว
หากเป็นไปได้เหตุใดมู่หรงอวี้จะไม่อยากให้ตนเป็นกษัตริย์ตัวจริงเล่า คิดว่าเขาอยากกลายเป็นคนต่ำต้อยที่ยอมทำได้ทุกอย่างมาตั้งแต่เกิดเลยหรือไรกัน
ครั้นเห็นสีหน้าย่ำแย่ของมู่หรงอวี้ หลินตวนจึงถอนหายในอย่างนึกรำคาญใจเล็กน้อย เขารู้ว่าหากตอนนี้ไปขอร้องผิงอ๋องคงเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตนเอง อีกอย่างเป็นไปได้มากว่าอาจจะเป็นการมอบศักดิ์ศรีให้เขาเหยียบย่ำเปล่าประโยชน์โดยไม่ได้ผลลัพธ์อะไรเลยด้วยซ้ำ แต่เวลานี้คนที่ช่วยชีวิตกงอ๋องได้คงมีแค่ผิงอ๋องคนเดียวแล้ว
“ท่านอ๋อง…โปรดท่านอ๋องลองไตร่ตรองดูเถิด”
มู่หรงอวี้เงียบอยู่นานถึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว” หลังจากส่งหลินตวนกลับไป ในที่สุดจูหมิงรุ่ยที่นั่งเหม่อลอยอยู่ด้านข้างก็กลับมาได้สติ มองมู่หรงอวี้ด้วยท่าทีหวาดกลัว “ท่านอ๋อง…ข้าควรทำเช่นไรดี”
มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยเสียงเรียบ “ลำพังข้าเองยังเอาตัวไม่รอด เจ้า…คิดหาวิธีหนีออกไปจากเมืองหลวงเสียเถิด”
จูหมิงรุ่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมสติที่ล่องลอยไปไกล “จบกัน…พวกเราต้องจบเห่เช่นนี้หรือ” เพราะอิทธิพลของมู่หรงอวี้ในหลายปีมานี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจูหมิงรุ่ยจะได้อะไรสมใจปรารถนาเพราะมีแรงหนุนอยู่เบื้องหลัง ทว่าจู่ๆ ตอนนี้ก็ต้องกลับไปเหมือนอดีต…ไม่สิ แย่กว่าอดีตเสียด้วยซ้ำ เขาต้องกลายเป็นนักโทษหลบหนีที่ไร้ซึ่งสิ่งใด แล้วจูหมิงรุ่ยจะรับเรื่องเหล่านี้ได้เช่นไรเล่า
มู่หรงอวี้มุ่นคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ตกอยู่ในสภาพนี้แล้วจะทำอะไรได้อีก ให้เขาไปขอร้องมู่หรงซีหรือ…ครั้นนึกถึงคำพูดของหลินตวน มู่หรงอวี้ก็แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตนไม่มีทางไปขอร้องมู่หรงซีแน่นอน!
“เจ้าไปก่อนเถิด ตอนนี้ข้าเองก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้” มู่หรงอวี้เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
จูหมิงรุ่ยมองสีหน้าเย็นชาของมู่หรงอวี้อย่างไม่พอใจ และรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ตนคงทำได้แค่จากไปอย่างโกรธแค้น หากคนของศาลอิงเทียนฝู่หาเขาไม่เจอ สุดท้ายก็ต้องมาตามหาถึงจวนกงอ๋องแน่นอน หากถึงตอนนั้นโดนขังอยู่ในจวนคงยุ่งยากน่าดู ฉะนั้นรีบหนีออกไปแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า
ในห้องหนังสือเหลือเพียงมู่หรงอวี้คนเดียวแล้ว สีหน้าเย็นยะเยือกบนใบหน้าของมู่หรงอวี้ค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความงงงันมากกว่าเดิม
ในขณะเดียวกันก็มีคนในจวนซู่เฉิงโหวกระวนกระวายใจไม่ต่างกันเลย ถึงแม้ตอนนี้เรื่องของจวนกงอ๋องและจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องจะยังลามมาไม่ถึงจวนซู่เฉิงโหว แต่ใครต่างก็รู้ว่าจวนซู่เฉิงโหวก็เป็นผู้สนับสนุนของจวนกงอ๋องด้วย อีกอย่างหากไม่มีแรงหนุนจากจวนกงอ๋องและจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง ลำพังหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างจวนซู่เฉิงโหวจะทนแรงจู่โจมของจื้ออ๋องและองค์ชายเจ็ดได้เช่นไร
มู่ฉังหมิงเดินวนไปมาอยู่ในห้องหนังสือด้วยความร้อนใจ ส่วนมู่เชินยืนนิ่งเงียบอยู่อีกฝั่งด้วยสีหน้าราบเรียบ
“เรื่องหลายวันมานี้ เจ้าคิดเห็นเช่นใดบ้าง” ในที่สุดมู่ฉังหมิงก็ชะงักฝีเท้าหมุนตัวหันมาถามมู่เชิน
มู่เชินเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ เงียบไปพักใหญ่ถึงเอ่ยว่า “ลูกโง่เขลานัก…” ในที่สุดเวลานี้บิดาของเขาก็คิดได้ว่าต้องถามความเห็นของเขาแล้วหรือ หลังจากมู่หลิงตายไปแล้ว ส่วนตอนนี้มู่เคอก็ยังวัยเยาว์ ทั่วทั้งจวนซู่เฉิงโหวจึงเหลือเขาเพียงคนเดียวที่พอจะจัดการทุกอย่างได้ แต่มู่เชินกลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด กระทั่งรู้สึกว่าอย่างน้อยชั่วชีวิตนี้ก็มีเรื่องหนึ่งที่เขาพ่ายแพ้ให้กับมู่หลิงไปตลอดกาลแล้ว