เดิมทีมู่ชิงอีนึกว่าเป็นฝีมือของอู๋ซิน แต่ครั้นเห็นรอยเลือดบนไหล่ของสะใภ้ซุนถึงค้นพบว่าอู๋ซินไม่ได้เป็นคนลงมือ อู๋ซินอยู่หลังนางจึงไม่มีทางโผล่ไปสร้างรอยแผลบนไหล่ของสะใภ้ซุนจากด้านหลังได้แน่นอน
เมื่อเงยหน้ามองบนกำแพงเบื้องหน้าก็เห็นหรงจิ่นสวมชุดสีดำสบายๆ นอนอยู่บนกำแพงด้วยท่วงท่าเกียจคร้านพร้อมมองทุกอย่างเบื้องล่างด้วยรอยยิ้มสดใส เพียงแต่แววตาที่มองไปยังสะใภ้ซุนกลับเต็มไปด้วยไอสังหารเย็นยะเยือก
“ชิงชิงไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย หากเป็นอะไรขึ้นมา…ข้าคงปวดใจแย่” เสียงทุ้มนุ่มนวลของหรงจิ่นดังขึ้น
“ท่านมาได้เช่นไรกัน” มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม
หรงจิ่นยิ้มจนตาหยี “ก็ต้องมาเพื่อช่วยสาวงามสิ หากข้าไม่มา ชิงชิงก็ต้องถูกหญิงบ้าผู้นี้รังแกมิใช่หรือ”
มู่ชิงอีกลอกตามองด้านบนอย่างไม่สบอารมณ์ ต่อให้หรงจิ่นไม่อยู่ เขาคิดว่ามีอิ๋งเอ๋อร์กับอู๋ซินไว้วางประดับเท่านั้นหรือ
หรงจิ่นกลับไม่ได้ใส่ใจท่ากลอกตาของนางเลย จากนั้นก็กระโดดลงมาจากบนกำแพงอย่างอารมณ์ดีแล้วเดินมายืนข้างกายมู่ชิงอี เขาเอียงศีรษะมองสะใภ้ซุนเบื้องหน้า สะใภ้ซุนเองก็ถลึงตามองหรงจิ่นด้วยความเกรี้ยวโกรธเช่นกัน “เจ้าเป็นใคร เหตุใดต้องมาขวางข้าด้วย”
หรงจิ่นไม่ชอบใจนัก “แม้แต่ข้าเป็นใครก็ยังไม่รู้จัก บ้าไปแล้วจริงๆ”
สะใภ้ซุนย่อมรู้จักหรงจิ่นอยู่แล้ว เพราะอย่างน้อยในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวาในวัง นางก็พอจะมองเห็นหรงจิ่นจากมุมไกลอยู่บ้าง เพียงแต่สะใภ้ซุนที่ในสมองคิดแต่จะแก้แค้นแทนบุตรสาวในตอนนี้ย่อมไม่มีทางไตร่ตรองสิ่งใดได้มากไปกว่านี้แล้ว
สะใภ้ซุนกุมไหล่ที่อาบไปด้วยเลือดปวดแผลจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ไม่รู้อะไรทะลุผ่านไหล่นางมาจากด้านหลัง หากไม่เจ็บเลยคงเป็นไปไม่ได้
“ที่นี่คือจวนซู่เฉิงโหว! เจ้า…เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ”
หรงจิ่นกะพริบตาปริบๆ ด้วยท่าทีใสซื่อแล้วยกมือขึ้นเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าสักหน่อย ข้าเป็นคนอ่อนแอไร้ความสามารถแล้วจะทำอะไรเจ้าได้อย่างไร”
ทุกคนต่างสาดแววตาสงสัยมองไปทางใครบางคน หรงจิ่นลูบจมูกปอยๆ เอ่ย “อาจเพราะองครักษ์ของข้าลืมออมมือไปกระมัง” ฮือ…ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนช่วยชิงชิงไว้แท้ๆ เหตุใดต้องปกปิดคุณงามความดีของตัวเองด้วยนะ โชคดีที่ชิงชิงรู้ว่าเขาทำเพื่อนาง
มู่ชิงอีเบือนหน้าหนีแล้วแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาเพ้อฝันที่มองมาทางตนของใครบางคน
เสียงฝีเท้ากระทบลงบนกำแพงของคนสวมชุดสีเทาคนหนึ่งซึ่งตรงกับคำพูดของหรงจิ่นที่บอกว่าเป็นองครักษ์ติดตามตัวที่ลืมออมแรงผู้นั้น อู๋ฉิงเองก็แอบน้อยใจมากเช่นกัน องครักษ์ติดตามตัวต้องคอยขวางมีดขวางกระบี่ต้องเป็นคนดวงซวยรับเคราะห์หายนะทุกอย่างแทนเจ้านายอยู่ร่ำไป โชคดีที่ครั้งนี้องค์ชายเก้าทำร้ายฮูหยินของจวนซู่เฉิงโหวจนบาดเจ็บเท่านั้น หากครั้งหน้าเจ้านายเผลอทำร้ายฮองเฮาแห่งแคว้นหวาเข้า ต่อให้ตนมีเก้าชีวิตก็คงชดใช้ไม่หมดแน่!
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” ฉับพลันเสียงของมู่ฉังหมิงก็ดังขึ้น มู่ชิงอียกยิ้มมุมปากเยาะเย้ย บิดาของตนผู้นี้มักโผล่มาเวลานี้อยู่เรื่อย
“ท่านโหว…” สะใภ้ซุนกุมไหล่ที่เลือดไหลไม่หยุดไว้แล้วมองมู่ฉังหมิงด้วยท่าทีน่าสงสาร แววตาของมู่ฉังหมิงกวาดมองไหล่ของนางพลันเบิกตากว้าง จากนั้นก็มองมู่ชิงอีเอ่ยว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
มู่ชิงอีกลับไม่ได้พูดอะไร อิ๋งเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างนางก้าวขึ้นมาเอ่ยว่า “เมื่อครู่ซู่เฉิงโหวฮูหยินจะฆ่าองค์หญิงต่อหน้าคนมากมาย คนที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นพยานได้เจ้าค่ะ องค์หญิงของพวกเราอ่อนแอไร้ความสามารถ โชคดีที่องค์ชายเก้าผ่านมาทางนี้ องครักษ์ขององค์ชายเก้าเลยช่วยองค์หญิงเอาไว้ได้”
หรงจิ่นมองอิ๋งเอ๋อร์อย่างชื่นชมแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอียงศีรษะมองมู่ฉังหมิงด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ซู่เฉิงโหว คนในจวนพวกท่านช่างน่าสนใจดีจริงๆ ข้าอยู่ด้านนอกยังได้ยินเสียงคนกรีดร้องอยากฆ่าองค์หญิงหมิงเจ๋อเลย อืม…ถึงแม้ข้าจะเป็นแขกมาจากแดนไกล แต่ก็คงมิอาจนิ่งดูดายมององค์หญิงของแคว้นหวาถูกคนทำร้ายได้หรอกกระมัง นี่มัน…โทษหนักประหารเก้าชั่วโคตรเชียวนะ ซู่เฉิงโหวควรขอบคุณข้ามากกว่ามิใช่หรือ”
มู่ฉังหมิงกระตุกยิ้มที่มุมปาก เรือนหลานจื่ออยู่ด้านในของจวนซู่เฉิงโหว องค์ชายเก้าต้องหูดีขนาดไหนถึงจะได้ยินเสียงคนร้องฆ่ากันจากด้านนอกจวนได้ มู่ฉังหมิงพยายามฝืนยิ้มที่มุมปากแล้วพูดขึ้น “ภรรยาของกระหม่อมเลอะเลือนไปชั่วขณะ โปรดองค์ชายให้อภัยด้วย”
“เลอะเลือนหรือ” หรงจิ่นทำท่าทีตกใจ “เลอะเลือนไปชั่วขณะยังฆ่าองค์หญิงได้ เช่นนั้นหากเลอะเลือนขึ้นมาจริงๆ คงฆ่าฮ่องเต้ได้เลยกระมัง”
“องค์ชายเก้าโปรดระวังคำพูดด้วย” มู่ฉังหมิงตกใจยกใหญ่ คำพูดอย่างเรื่องปลงพระชนม์ฮ่องเต้ใช่ว่าจะพูดตามใจชอบได้
หรงจิ่นกะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อราวกับจะบอกว่า ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ
มู่ฉังหมิงมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีจนใจ มู่ชิงอีฉีกยิ้มบางเอ่ยกับหรงจิ่น “มีอะไรก็เข้าไปคุยกันข้างในเถิด”
หรงจิ่นชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “ก็ได้ ข้าเห็นแก่องค์หญิงหมิงเจ๋อหรอกนะ”
“…” มู่ฉังหมิงพูดไม่ออก แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย
ครั้นกลับเข้าเรือนหลานจื่อมาแต่ก็เหมือนไม่มีใครนึกขึ้นได้ว่าควรทำแผลให้สะใภ้ซุนก่อน โชคดีว่าอาวุธลับของหรงจิ่นไม่ได้โดนเส้นลมปราณสำคัญอะไร สะใภ้ซุนกุมไหล่ไว้ตลอด ถึงแม้เลือดสีสดจะไหลอาบย้อมไปครึ่งค่อนไหล่แล้วก็ตาม แต่นอกจากใบหน้าซีดขาวก็ไม่ได้มีอาการสาหัสอะไร
ทว่ามู่ชิงอีกลับลังเลอยู่พักหนึ่งถึงเอ่ยถามว่า “สะใภ้ซุนออกไปก่อนดีหรือไม่” ความจริงเพราะกลิ่นคาวเลือดบนตัวของนางแรงเกินไป ไม่ใช่เพียงเพราะมู่ชิงอีไม่ชอบ แต่หรงจิ่นเองก็มีความอดทนต่อกลิ่นแปลกๆ พวกนี้ต่ำมากเหมือนกัน
หากหรงจิ่นรู้ความคิดในใจของมู่ชิงอีคงซาบซึ้งใจอยู่ไม่น้อย จากนั้นก็คงบอกนางว่าไม่ต้องเป็นห่วงอย่างได้ใจ ถึงแม้อาการป่วยของเขาจะกำเริบได้ตลอด ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยอาการกำเริบเพราะกลิ่นคาวเลือดมาก่อน ในเมื่อหรงจิ่นเริ่มฆ่าคนมาตั้งแต่อายุได้หกชันษาแล้ว หากแม้แต่กลิ่นคาวเลือดยังรับไม่ได้ เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไรเล่า
มู่ฉังหมิงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
ทว่าคนที่ไม่น้อมรับน้ำใจใดๆ ก็คือสะใภ้ซุน สะใภ้ซุนกล่าวปฏิเสธเสียงแข็งกร้าว “ไม่! เพราะท่านโหวต้องให้ความเป็นธรรมต่อข้าเรื่องในวันนี้ด้วย!”
มู่ฉังหมิงสีหน้าดูย่ำแย่อยู่บ้าง เพราะคนที่ทำร้ายนางคือองครักษ์ขององค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์ ข้าต้องล่วงเกินองค์ชายแห่งแคว้นเย่ว์ที่อารมณ์ฉุนเฉียวดุร้ายที่สุดเพียงเพราะเรื่องนี้หรือ
มู่ชิงอีกลับไม่สนใจแล้วสั่งให้อิ๋งเอ๋อร์จุดเครื่องหอมโยวหันที่ตนยังมีเหลืออยู่ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ใครบางคนอาการป่วยกำเริบจนเสียภาพลักษณ์องค์ชายในจวนซู่เฉิงโหว
หรงจิ่นย่อมพออกพอใจต่อคำสั่งของมู่ชิงอีอยู่แล้วจึงฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันขาวส่งให้มู่ชิงอี ทว่าท่าทีเช่นนั้นกลับทำให้ใครต่อใครต่างเบือนหน้าหนี
มู่ฉังหมิงแค่นเสียงเบาเอ่ยถาม “เมื่อครู่เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นมองเขา เอ่ยด้วยท่าทีสงบ “ก็เป็นไปตามที่ท่านพ่อเห็นมิใช่หรือ ข้าจะไปหาท่านพ่อที่ห้องหนังสือ แต่จู่ๆ สะใภ้ซุนก็พาคนพุ่งตัวมาบอกจะฆ่าข้า ท่านพ่อ…มั่นใจว่าตอนนี้อยากให้นางฆ่าข้าจริงๆ หรือ”
ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดเรื่องฆ่านางเลย แค่มู่ชิงอีเกิดแผลเล็กน้อยในจวนซู่เฉิงโหว ฮ่องเต้ก็คงหาข้ออ้างเพื่อจัดการจวนซู่เฉิงโหวได้แล้ว
มู่ฉังหมิงกัดฟันกรอดขึงตามองสะใภ้ซุนแวบหนึ่ง “เจ้าเป็นบ้าคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมาอีก ข้าเคยบอกเจ้าว่าทำตัวดีๆ อยู่ในห้องไป หากมีเวลาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนอวิ๋นหรงมิใช่หรือ”
สะใภ้ซุนแน่นิ่งไป มู่ชิงอีทำให้บุตรสาวของนางต้องตาย หากนางอยากตามตัวมู่ชิงอีมาแก้แค้นแล้วมีอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ เหตุใดท่านโหวยังไม่ทันถามหาสาเหตุใดก็มากล่าวโทษนางแล้วล่ะ หลังจากนั่งนิ่งตกอยู่ในภวังค์อยู่นาน สะใภ้ซุนก็จับจ้องมู่ฉังหมิงเอ่ยถามพร้อมทั้งน้ำตาว่า “เหตุใด…เหตุใดท่านโหวถึงไม่ถามข้า บุตรสาวของเราตายโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ท่านโหวไม่คิดจะสนใจหน่อยหรือ ข้าอยากแก้แค้นให้บุตรสาวของข้า ข้าทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ”