องค์ชายเก้าพิงกายบนเก้าอี้ แค่นเสียงหัวเราะเยาะทีหนึ่งแล้วพึมพำเสียงเบาว่า “พูดเหมือนมีแค่มู่เฟยหลวนเป็นบุตรสาวคนเดียวของจวนซู่เฉิงโหวอย่างนั้นแหละ”
มู่ฉังหมิงสีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาวด้วยความโกรธ ผ่านไปนานถึงกัดฟันเอ่ยว่า “เรื่องของเฟยหลวนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชิงอี!”
“เป็นนาง! นางเป็นคนทำให้หลวนเอ๋อร์ต้องตาย เมื่อครู่นางยังยอมรับเองเลย!” สะใภ้ซุนกรีดร้องเสียงสูง
มู่ฉังหมิงมองมู่ชิงอี มู่ชิงอีหยีตายิ้มร่ามองมู่ฉังหมิงเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ “อนุซุนยืนกรานที่จะโยนความผิดเรื่องนี้ให้ข้า ข้าเลยตกปากรับคำไป ถึงอย่างไรความจริงเรื่องนี้ใครๆ ต่างก็รู้กันหมดแล้ว แล้วจะให้ข้าหาข้ออ้างยืนต่อปากต่อคำกับนางตรงหน้าประตูไปอย่างนั้นหรือ”
ครั้นเห็นสีหน้าบึ้งตึงของมู่ฉังหมิง หรงจิ่นก็แอบอุทานในใจอย่างอารมณ์ดีว่า หากกล่าวถึงความเกลียดแค้นชิงชังพวกนี้แล้ว ความสามารถของชิงชิงยังเป็นรองข้าอยู่หรือ อืม ความจริงชิงชิงต้องการข้าให้ช่วยดูแลปกป้องนาง!
ชิงชิง ข้าจะดูแลปกป้องเจ้าเป็นอย่างดีเลย! หรงจิ่นกะพริบตามองไปทางมู่ชิงอีไม่หยุดหย่อน
เขาเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ มู่ชิงอีเผยสีหน้าเอือมระอา
ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดมู่ฉังหมิงก็กลับมามีสีหน้าปกติ จากนั้นก็ขึงตาใส่สะใภ้ซุนไปทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พอแล้ว เรื่องนี้หยุดแค่นี้พอ เจ้ากลับเรือนตัวเองไปพักผ่อนก่อน หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้าก็ห้ามออกมาอีก!”
“ท่านจะเลียแข้งเลียขานังสารเลวนี้หรือ” สะใภ้ซุนเอ่ยอย่างโมโห
เพล้ง! ถ้วยชาในมือของมู่ชิงอีตกลงข้างเท้าของสะใภ้ซุนและแตกในทันที จากนั้นมู่ชิงอีก็เงยหน้าจับจ้องสีหน้าตกตะลึงของสะใภ้ซุนเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “พูดจาให้ดีๆ เสียหน่อย หากข้าได้ยินอีกครั้ง ข้าจะเอาเศษแก้วที่แตกพวกนี้ยัดใส่ปากท่านเสีย!”
สะใภ้ซุนเปิดปากหมายจะด่ากลับ ทว่ายามที่สบตาเย็นยะเยือกของมู่ชิงอีจู่ๆ ก็ทำเอานางพูดไม่ออก ฉับพลันสะใภ้ซุนก็เข้าใจแล้ว มู่ชิงอีไม่ได้พูดเล่นหรือพูดด้วยความโกรธ แต่นางตั้งใจจะทำเช่นนั้นจริงๆ
“เจ้า…เจ้า…”
“พอแล้ว! ใครก็ได้เข้ามาที ประคองฮูหยินกลับเรือนไปพักผ่อน!” มู่ฉังหมิงถือโอกาสโพล่งคำสั่งออกมาตัดบทสนทนา บ่าวรับใช้ร่างบึกบึนสองคนเข้ามาด้านใน จากนั้นก็เข้าไปประคองสะใภ้ซุนขนาบข้างซ้ายขวาโดยไม่สนท่าทีดิ้นพล่านของนางแล้วลากตัวออกไปด้านนอก
กระทั่งเดินออกไปไกลมากแล้วก็ยังได้ยินเสียงดีดดิ้นและก่นด่าของสะใภ้ซุนดังแว่วมา ทว่าระหว่างนั้นสะใภ้ซุนกลับไม่ได้ก่นด่ามู่ชิงอีด้วยคำหยาบคายอีกต่อไป ดูท่าทางคงจะไม่ได้บ้าถึงขนาดนั้นกระมัง หรงจิ่นเลิกคิ้วแล้วมองไปทางมู่ชิงอี
มู่ชิงอีเมินใส่ทำเป็นมองไม่เห็นแล้วโบกมือเรียกให้คนเอาชามาให้ใหม่
“ล่วงเกินองค์หญิง คิดไม่ถึงว่าจะจัดการด้วยวิธีง่ายดายขนาดนี้ มิน่าคนในเมืองหลวงถึงว่ากันว่าซู่เฉิงโหวเป็นพ่อยอดนักรัก” หรงจิ่นจิบชาพลางอุทานขึ้นมาอย่างเป็นกันเอง
บนโลกใบนี้ พ่อยอดนักรักกลับไม่ใช่คำน่าชื่นชมแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นยังทำเพื่อภรรยาที่มีภูมิหลังเป็นแค่บ่าวรับใช้ ถึงตอนนี้จะดึงขึ้นมาเป็นฮูหยิน แต่คนในเมืองหลวงที่ยอมรับว่าสะใภ้ซุนมีสถานะเป็นภรรยาเอกของจวนกลับมีน้อยนัก มู่ฉังหมิงเผยสีหน้าขึงขังเล็กน้อยมองหรงจิ่นพลางเอ่ย “กระหม่อมมีเรื่องบางเรื่องอยากคุยกับบุตรสาว มิทราบว่าองค์ชายเก้าจะออกไปก่อนได้หรือไม่”
หรงจิ่นเลิกคิ้ว “ข้าตั้งใจมาเยี่ยมเยียนองค์หญิงหมิงเจ๋อ เรื่องของท่านโหวค่อยคุยกันทีหลังมิได้หรือ หรือหากข้าอยากมาเยี่ยมเยียนองค์หญิงต้องรอให้ท่านโหวสะดวกด้วยหรือ”
มู่ฉังหมิงขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็จนปัญญาจะตอกกลับ ด้วยสถานะของหรงจิ่นได้กำหนดไว้แล้วว่าขอแค่เขาไม่ได้ล้ำเส้นขอบเขตแคว้นหวา เขาย่อมทำเรื่องกำเริบเสิบสานใดก็ได้ เหล่าท่านอ๋องและขุนนางในแคว้นหวา กระทั่งองค์ชายองค์หญิงยังต้องยอมเขาเลย
มู่ชิงอีคลึงหว่างคิ้วแล้วเอ่ยออกคำสั่งเสียงเรียบ “อิ๋งเอ๋อร์ เชิญองค์ชายเก้าไปนั่งรอที่ห้องหนังสือก่อน”
อิ๋งเอ๋อร์เดินโผล่ออกมาจากด้านหลังของมู่ชิงอี ทำความเคารพและเอ่ยกับหรงจิ่นด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายเก้า โปรดตามหม่อมฉันมาเถิดเพคะ”
หรงจิ่นมองมู่ชิงอีอย่างไม่ชอบใจนัก มู่ชิงอีมองเขาแล้วเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “องค์ชายเก้า หม่อมฉันมีธุระสำคัญเพคะ”
“ก็ได้” หรงจิ่นยู่ปาก ถลึงตามองมู่ฉังหมิงอย่างไม่พอใจแวบหนึ่งแล้วกวาดตามองอิ๋งเอ๋อร์ “เจ้านำทางไปเถิด”
“เชิญองค์ชายเก้าเพคะ” อิ๋งเอ๋อร์รีบรุดไปด้านหน้าเพื่อนำทาง หลังจากอิ๋งเอ๋อร์ทำความรู้จักกับอู๋ซินมาหลายวันย่อมรู้อยู่แล้วว่าองค์ชายผู้นี้กำราบยากเพียงใด ตอนนี้เขายอมให้ความร่วมมือกับนางได้ก็นับว่าซาบซึ้งใจแทบแย่แล้ว
“เหอะ!” หรงจิ่นเดินตามอิ๋งเอ๋อร์ไปพร้อมกับวางมาดหยิ่งผยอง
“ท่านพ่อ ท่านอยากคุยอันใดกับข้าหรือ” ในห้องโถงกลับมาสงบอีกครั้ง แต่พวกเขาสองคนที่นั่งอยู่ในห้องโถงกลับไม่มีใครเปิดปากพูดก่อน แต่เพราะมู่ชิอีรู้สึกรำคาญเลยเป็นฝ่ายเปิดปากถามเอง
เดิมทีมู่ฉังหมิงอยากพูดจาแดกดันนางก่อนแต่สุดท้ายก็อดใจไว้ได้ เขาจ้องมู่ชิงอีด้วยสายตาครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ยถาม “เรื่องครั้งนี้…เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่”
มู่ชิงอีมองมู่ฉังหมิงด้วยท่าทีแปลกใจเอ่ยว่า “เรื่องครั้งนี้ ท่านพ่อหมายถึงเรื่องอันใดหรือ”
“อย่ามาแสร้งโง่ เจ้ารู้ว่าข้าหมายถึงเรื่องใด!” มู่ฉังหมิงเอ่ยเสียงขรึม “เรื่องกงอ๋องกับจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่”
มู่ชิงอีเม้มริมฝีปากก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดท่านพ่อถึงคิดว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับข้าเล่า”
มู่ฉังหมิงกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ “เพราะข้าไม่ได้โง่! เรื่องพวกนี้…ทั้งหมดเพิ่งเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าเข้าวังไป ตกลงเจ้าทำอะไรกันแน่”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “อ้อ เริ่มหลังจากข้าเข้าวังไปอย่างนั้นหรือ ท่านพ่อ…ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ ไม่ใช่ว่า…เริ่มมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วหรือ”
มู่ฉังหมิงหลับตาลง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นจับจ้องมู่ชิงอีด้วยแววตาเย็นยะเยือกเอ่ยเสียงดุดัน “เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย! เหตุการณ์ที่วัดเป้ากั๋วในตอนนั้น เรื่องของหลิงเอ๋อร์ก็เป็นฝีมือเจ้าด้วยสินะ!”
มู่ชิงอียกยิ้มมุมปาก “ข้าเป็นคนทำเอง แต่จะอย่างไรเล่า หรือท่านพ่อคิดจะไปฟ้องฝ่าบาท บอกว่าข้าเป็นคนฆ่าบุตรชายสุดที่รักที่ตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ ท่านพ่อคิดว่า…ฝ่าบาทจะเข้าข้างข้าหรือเข้าข้างท่านพ่อกันเล่า”
มู่ฉังหมิงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่มีทางช่วยเขาแน่นอน เวลานี้เขาสงสัยว่าหากมู่ชิงอีฆ่าเขา ฮ่องเต้แคว้นหวาก็คงแค่ช่วยมู่ชิงอีปกปิดความผิดและแอบนึกดีใจด้วยซ้ำ
“ท่านพ่อวางใจได้ ชิงอีไม่ฆ่าท่านพ่อหรอกเจ้าค่ะ” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงนุ่มนวลราวกับมองความคิดของมู่ฉังหมิงออก อย่างน้อยนางก็จะไม่ใช้สองมือนี้ฆ่าเขา ครั้นนึกถึงน้องสาวที่ทั้งอ่อนโยนสุภาพ แววตาของมู่ชิงอีก็ฉายแววอบอุ่นจางๆ ปรากฏให้เห็น หากอีเอ๋อร์ต้องมือแปดเปื้อนเลือดสีสดของบิดา นางคงปวดใจน่าดูกระมัง
มู่ฉังหมิงสงบสติอารมณ์ มองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยว่า “ข้ามาหาเจ้ามิใช่เพราะมาคุยเรื่องนี้หรอก”
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแล้วกลับลงไปนั่งบนเก้าอี้ของตนเอง เอ่ยถาม “เช่นนั้นท่านพ่อมาคุยเรื่องอันใดหรือ”
มู่ฉังหมิงเงียบไปนาน หลังจากนั้นก็เงยหน้าแล้วถามนางว่า “ต้องทำเช่นไร เจ้าถึงจะยอมปล่อยจวนซู่เฉิงโหวไป”
มู่ชิงอีเอียงศีรษะกวาดตามองเขาอย่างสนใจ “ท่านพ่อ…ท่านกำลัง…ขอร้องข้าหรือ เพราะจุดจบของจวนกงอ๋องและจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องเลยทำให้ท่านกลัวอย่างนั้นหรือ ดังนั้นวันนี้ท่านพ่อเลยไม่โมโหใส่ข้า แล้วมาขอร้องวิงวอนข้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
มู่ฉังหมิงกำมือสองข้างแน่นจนเสียงดัง กร๊อบ กัดฟันเอ่ยว่า “จวนซู่เฉิงโหวเป็นอย่างที่เจ้าต้องการยังไม่พออีกหรือ พี่รองกับพี่หญิงใหญ่ของเจ้าตายกันไปหมดแล้ว บัดนี้พี่หญิงสามของเจ้าเองก็ต้องเกี่ยวดองไปอยู่แคว้นเป่ยฮั่น ข้ารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเกอซูฮั่นและหย่งจยาจวิ้นจู่สนิทสนมกันมาก ขอแค่เจ้าเอ่ยปากบอกพวกเขา อวิ๋นหรงก็พร้อมตายในเป่ยฮั่นได้ทุกเมื่อ แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ”