มู่ชิงอีเท้าคางด้วยท่าทีผ่อนคลาย แววตาสุกใสจับจ้องมู่ฉังหมิงที่มีท่าทีกระฟัดกระเฟียดตรงหน้า “ความหมายของท่านพ่อก็คือถึงแม้พี่หญิงสามจะตายที่แคว้นเป่ยฮั่นก็ไม่เป็นไร ขอแค่ข้าปล่อยจวนซู่เฉิงโหวไปก็พออย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
มู่ฉังหมิงกัดฟันจนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน เขารู้ว่ามู่ชิงอีกำลังบีบบังคับเขาอยู่ บีบบังคับให้เขายอมรับว่าตนไร้ความสามารถ บีบบังคับให้เขายอมรับว่าเลวทรามและไร้หัวใจ
ครั้นเห็นสีหน้าบึ้งตึงของมู่ฉังหมิง มู่ชิงอีกลับไม่ได้ใส่ใจและไม่เปิดปากยั่วโมโหเขาอีก นางเพียงเอนตัวลงบนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสบายๆ มองมู่ฉังหมิงที่ดิ้นพล่านไปมาอย่างสงบ ทว่านัยน์ตาสุกใสกลับปรากฏความเศร้าหมองจางๆ น้าหญิง…นี่คือสามีที่ท่านแต่งงานด้วย บิดาของมู่ชิงอี...หากได้เห็นฉากนี้ ท่านจะนึกเสียใจภายหลังกับเรื่องที่ยืนกรานในตอนนั้นหรือไม่นะ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ยามที่บรรยากาศในห้องโถงอึดอัดจนแทบทำให้หายใจไม่ออก ในที่สุดมู่ฉังหมิงก็พูดโพล่งขึ้นว่า “ใช่ ไม่ว่าเจ้าคิดจะทำเช่นไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น แค่ปล่อยจวนซู่เฉิงโหวไปก็พอ”
ในที่สุดหน้ากากจอมปลอมที่มู่ฉังหมิงไว้ใช้ตบตาเพื่อรังแกคนบนโลกใบนี้และตัวเองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ถูกตีจนพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี ไม่มีเรื่องใดเลวร้ายเท่ากับการยอมรับต่อหน้าบุตรสาวแท้ๆ ของตนว่าตนยอมเสียสละบุตรสาวอีกคน กระทั่งบุตรชายบุตรสาวคนอื่นๆ ก็ต้องรักษาอำนาจเงินทองต่อให้เผชิญกับเรื่องน่าอดสูก็ตาม โดยเฉพาะสำหรับคนๆ หนึ่งที่คิดว่าตนเป็นคนดีมาตลอด
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างผิดหวังเล็กน้อย ถึงแม้นางจะบีบบังคับมู่ฉังหมิงมาตลอด แต่ยอมรับว่าในใจนางยังแอบหวังอยู่ลึกๆ หวังว่ามู่ฉังหมิงจะปฏิเสธเงื่อนไขของนางแล้วรักษาเลือดเนื้อเชื้อไขและศักดิ์ศรีสุดท้ายของเขาเอาไว้ เพราะอย่างน้อยก็ทำให้นางรู้สึกว่าตอนนั้นน้าหญิงยอมกล้ำกลืนขัดขืนพระราชโองการของฮ่องเต้เพื่อคนๆ นี้ยังคุ้มค่าอยู่บ้าง
แต่น่าเสียดาย มู่ฉังหมิงยังคงทำให้นางผิดหวังเช่นเคย
มู่ชิงอีส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่ายเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านพ่อ ท่านเข้าใจผิดแล้ว เรื่องครั้งนี้…ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับข้า ข้าไม่ได้เป็นคนทำ” เรื่องพวกนี้เป็นฝีมือของพี่ใหญ่และพี่ชายแอบทำโดยลับๆ คนที่อยู่ในวังอย่างนางมากสุดก็คงทำได้แค่คอยผสมโรงไปด้วยก็เท่านั้น
มู่ฉังหมิงทั้งตกใจทั้งโมโห รู้สึกว่าตัวเองถูกมู่ชิงอีปั่นหัวเสียแล้ว แต่คำพูดต่อมาของมู่ชิงอีกลับทำให้เขาชะงักไป
“แต่ข้ารู้ว่าเป็นใคร ตอนนี้โปรดท่านพ่อบอกข้ามา…เรื่องของตระกูลกู้ในตอนนั้น จวนซู่เฉิงโหวมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่” มู่ชิงอีถามเสียงเรียบ
“อะไรนะ” มู่ฉังหมิงผงะไป
มู่ชิงอีกลับไม่ได้ใจร้อนแล้วเอ่ยซ้ำอีกรอบ “เรื่องตระกูลกู้ จวนซู่เฉิงโหวมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่”
“เปล่า…ไม่ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง” มู่ฉังหมิงเอ่ยเสียงแข็ง
“จริงหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วอย่างสงสัย มู่ฉังหมิงกัดฟันยืนกราน “เป็นความจริงอยู่แล้ว! ตอนนั้น…ความสัมพันธ์ระหว่างจวนซู่เฉิงโหวและจวนกงอ๋องยังไม่ได้สนิทสนมกัน”
มู่ชิงอียิ้มแผ่วเบา “แต่ความสัมพันธ์ระหว่างจวนซู่เฉิงโหวและผิงหนานจวิ้นอ๋องกลับดีไม่หยอกมาตลอดนี่นา”
มู่ฉังหมิงเอามือไพล่หลังแล้วประคองตัวไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่เรื่องตระกูลกู้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า”
ผ่านไปสักพัก มู่ชิงอีถึงพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้น…บอกข้าทีว่าท่านพ่อรู้อะไรมาบ้างเถิด” มู่ฉังหมิงปิดปากเงียบ มู่ชิงอีจึงยกยิ้มบางๆ “แม้แต่ตอนนี้จูเปี้ยนยังยอมหักหลังมู่หรงอวี้เลย ท่านพ่อยังคิดจะช่วยมู่หรงอวี้ปกปิดอีกหรือ”
ครั้งนี้มู่ฉังหมิงเงียบกริบอยู่นาน ขณะที่มู่ชิงอีลุกขึ้นเตรียมเดินออกไปถึงได้ยินมู่ฉังหมิงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะบอกเจ้า…”
ยามที่มู่ชิงอีกลับไปที่ห้องหนังสือ หรงจิ่นกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน เอนกายนอนหลับในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง มีหนังสือปิดหน้าเอาไว้
พอได้ยินเสียง หรงจิ่นถึงเอาหนังสือบนหน้าออกแล้วเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มกว้าง “เรื่องของชิงชิงจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”
มู่ชิงอีมองใครบางคนอย่างเอือมระอาใจ เอ่ยขึ้น “มีเรื่องอันใดหรือถึงทำให้องค์ชายเก้าโผล่มาหาหม่อมฉันถึงจวนซู่เฉิงโหวตอนกลางวันแสกๆ เช่นนี้ได้”
หรงจิ่นมองนางอย่างน้อยใจ “ชิงชิงออกวังมาไม่ไปหาข้าแต่กลับไปหาเกอซูฮั่นกับนังเด็กอัปลักษณ์นั่น”
มู่ชิงอีอดใช้มือปิดหูไม่ได้ “หย่งจยาจวิ้นจู่นับว่าเป็นสาวงาม ท่านตาบอดหรืออย่างไรกัน” หรงจิ่นยิ้มจนตาหยี “ในสายตาของข้า นอกจากชิงชิงแล้วที่เหลือก็คือหญิงอัปลักษณ์หมดนั่นแหละ!”
นับว่าเป็นคำหยอดหวานหยดย้อยที่ไม่เลวเลยจริงๆ เพราะแม้แต่มู่ชิงอีเองยังรู้สึกว่าตนยังเผลอเคลิ้มตามไปด้วย
จากนั้นมู่ชิงอีก็อมยิ้มน้อยๆ ปลอบใจหรงจิ่นที่กำลังอารมณ์ไม่ดีแล้วเอ่ยถาม “ไม่มีธุระใดจริงหรือเพคะ”
หรงจิ่นมองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าจริงจังซึ่งเห็นได้ยากนักแล้วกล่าวว่า “ระวังมู่หรงอวี้เอาไว้ด้วย”
มือที่ถือถ้วยชาของมู่ชิงอีชะงักเล็กน้อยทันที พลันเงยหน้าเอ่ย “มู่หรงอวี้หรือ เขาคิดจะทำอะไร หมาจนตรอกอย่างนั้นหรือ”
หรงจิ่นเลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่สนใจเลยว่ามู่หรงอวี้คิดจะทำอะไร และไม่เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย หากไม่ใช่เพราะกังวลว่าชิงชิงจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย เขาก็ไม่อยากสนใจสักนิด
“องค์ชายเก้า ตกลงมู่หรงอวี้จะทำอะไรกันแน่” มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงเบา
“เหอะ!” องค์ชายเก้าเชิดคางขึ้นด้วยท่าทีหยิ่งผยอง ข้ายังไม่หายโกรธสักหน่อย
“องค์ชายเก้า องค์ชายเก้าเพคะ นายท่าน” มู่ชิงอีร้องเรียกเสียงเบา หรงจิ่นทำท่าทางชั่งใจเพียงครู่เดียวก่อนจะใช้ใบหน้าอันหล่อเหลาจับจ้องสาวน้อยที่เผยท่าทีอ่อนโยนซึ่งเห็นได้น้อยครั้งนักตรงหน้า “จูบข้าสักทีก่อนสิ”
“ท่านกลั้นใจตายไปเสียเถิด” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมถือโอกาสปัดหน้ารูปไข่อันหล่อเหลาของเขาไปอีกฝั่ง
หรงจิ่นนวดใบหน้าของตนพลางเอ่ยหน้าเศร้า “ชิงชิงช่างเย็นชาไร้หัวใจนัก!”
มู่ชิงอีพลันรู้สึกเอือมระอาใจ “องค์ชายเก้า บอกข้าว่าท่านรู้อะไรมาเถิดนะ เด็กดี…”
“ก็ได้ ข้ายอมเสียเปรียบหน่อยก็แล้วกัน” หรงจิ่นพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “มู่หรงอวี้แอบติดต่อกับหรงเหยี่ยน” เรื่องนี้มู่ชิงอีย่อมรู้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เกอซูฮั่นก็เคยพูดมาก่อน แต่ว่า…ในฐานะที่หรงเหยี่ยนเป็นองค์ชายของแคว้นเย่ว์จึงเป็นไปได้ยากหากจะมาแก่งแย่งอำนาจกับองค์ชายแคว้นหวา อีกอย่างต่อให้ความสัมพันธ์จะดีแค่ไหน แต่เขาจำเป็นต้องช่วยองค์ชายที่ใกล้ตกอับคนหนึ่งด้วยหรือ
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาเอ่ย “อย่ามองข้าอย่างนั้นสิ ถึงแม้หรงเหยี่ยนมิอาจช่วยมู่หรงอวี้แก่งแย่งบัลลังก์ได้ แต่หากมู่หรงอวี้คิดจะทำอะไรสักอย่าง ขอแค่เงื่อนไขมากพอ หรงเหยี่ยนไม่มีทางเมินโดยไม่ช่วยอะไรเขาหรอก มู่หรงอวี้ก็น่าจะรู้หลักการนี้ดี สองวันมานี้พวกเขาติดต่อกันบ่อยครั้ง หากให้ข้าเดา…มู่หรงอวี้คงคิดจะฮึดสู้กลับเป็นครั้งสุดท้าย”
มู่ชิงอีพูดพึมพำกับตัวเอง ต้องยอมรับว่าที่หรงจิ่นพูดนั้นมีเหตุผลพอสมควร หากมู่หรงอวี้คิดจะผงาดขึ้นมาใหม่คงเป็นไปไม่ได้ ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ…หมาจนตรอก อยากหาคนพังพินาศไปพร้อมกัน
“เขาคิดจะช่วยจูซื่อหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
หรงจิ่นยิ้มเยาะอย่างไม่เห็นด้วย “ดูเหมือนมู่หรงอวี้เป็นคนรักครอบครัวญาติพี่น้องขนาดนั้นเชียวหรือ”
มู่ชิงอีกะพริบตาปริบๆ พลันรู้สึกว่าการคาดเดาของตนน่าขันอยู่บ้าง หรงจิ่นฉวยโอกาสตอนที่นางกำลังครุ่นคิดพุ่งเข้าไปแนบประชิดตัวนางโดยไร้ซึ่งความขัดเขินใดๆ ฉีกยิ้มร่าแล้วเอ่ยว่า “ชิงชิงต้องระวังตัวให้มากนะ ข้ารู้สึกว่า…มู่หรงอวี้อาจลุ่มหลงจนเสียสติไปแล้ว”
“ลุ่มหลงจนเสียสติไปอย่างนั้นหรือ มู่หรงอวี้ฝึกวิทยายุทธ์สุดยอดอันใดหรือ” มู่ชิงอีเกิดความสงสัย
หรงจิ่นเลิกคิ้วแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เทพยุทธ์แห่งขันติถือว่าใช่หรือไม่เล่า ถึงแม้จะอดทนอดกลั้นจนกลายเป็นเซียน แต่อัดอั้นมาตั้งหลายปีคงไม่กลายเป็นเซียน ข้าเดาว่าจะกลายเป็นจอมมารมากกว่ากระมัง” สีหน้าสงสัยของชิงชิงช่างน่ารักเหลือเกิน หรงจิ่นยิ้มพรายพยายามข่มใจไว้ไม่ให้พุ่งเข้าไปขบกัดนาง