มู่ชิงอีไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับท่าทีโมโหกระฟัดกระเฟียดขององค์ชายเก้าเลยสักนิด นางถอนหายใจเสียงเบาเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ว่าจะวางแผนการเช่นใดก็ต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ในเมืองหลวงให้เรียบร้อยก่อนถึงจะไปได้ ใช่แล้ว มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จูซื่อจะเป็นคนของสำนักเย่าหวังกู่”
“เรื่องนี้จะเป็นไปได้เช่นใดกัน” หรงจิ่นขมวดคิ้วเป็นปมเอ่ย “กฎของสำนักเย่าหวังกู่เข้มงวดไม่เบา ปกติมีความเกี่ยวข้องกับคนในเชื้อพระวงศ์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย คิดว่าคนที่อภิเษกกับคนในเชื้อพระวงศ์และอยู่ท่ามกลางการช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท กระทั่งลอบทำร้ายอดีตฮองเฮาและองค์ชายอย่างจูซื่อคงถูกโยนเป็นอาหารให้แมลงพิษกินไปนานแล้ว”
“แต่จูซื่อบอกว่าทั่วทั้งใต้หล้าคนที่มีฝีมือเก่งกว่านางมีอยู่ไม่เกินห้าคน ถึงอย่างไรนางก็หล่อเลี้ยงดูแลหญ้าเก้าหยางสลายวิญญาณได้ หม่อมฉันคิดว่าเชื่อคำพูดของนางได้”
หรงจิ่นเท้าคางพลางขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เจ้าไม่ได้ถามนางหรือ”
มู่ชิงอีถอนหายใจ “เรื่องบางเรื่อง ไม่ว่าเช่นไรก็พูดออกมาไม่ได้ เห็นได้ชัดมากว่าสำหรับจูซื่อแล้ว เรื่องนี้คงเป็นเช่นนั้น” เรื่องสำคัญขนาดนี้นางจะไม่ถามได้เช่นไร แต่สุดท้ายกลับไม่ได้คำตอบอะไรเลย ถึงแม้จะใช้มู่หรงอวี้มาขู่นาง แต่นางก็กัดฟันแน่นไม่ปริปากบอกสักนิด มู่ชิงอีอดสงสัยไม่ได้ว่าต่อให้นางจะใช้มีดแล่เนื้อของมู่หรงอวี้ต่อหน้าจูซื่อ จูซื่อก็คงแค่ยอมกอดบุตรชายของนางแล้วตายไปพร้อมกันโดยที่ไม่ให้คำตอบนางเช่นเคย
มู่ชิงอีส่ายศีรษะ “ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลา อย่างน้อยตอนนี้ก็มีเบาะแสบ้างแล้ว” นางอดดีใจไม่ได้ที่พิษนี้ไม่ใช่พิษที่เกิดอาการในทันที อย่างน้อยภายในระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งนี้พี่ชายก็คงยังไม่เป็นอะไรมากนัก ถึงเวลานั้นพวกเขาน่าจะจัดการเรื่องในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว
ณ จวนหนิงอ๋อง
ผู้ดูแลจวนและบ่าวรับใช้ไม่กี่คนกำลังเดินวนรอบเตียงด้วยท่าทีกระวนกระวายใจพลางมองหมอหลวงตรวจชีพจรของคนบนเตียง รอจนกระทั่งหมอหลวงลุกขึ้น ผู้ดูแลถึงเอ่ยถามด้วยท่าทีร้อนใจ “หมอหลวง หนิงอ๋อง…ไม่สิ องค์ชายแปดเป็นเช่นไรบ้าง”
ถึงแม้มู่หรงอานจะนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงไม่ได้ทำอะไร แต่กลับโชคร้ายพลอยติดร่างแหไปกับจูซื่อและมู่หรงอวี้จนถูกถอดตำแหน่งอ๋อง ทว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์ชาย สำนักหมอหลวงย่อมต้องส่งคนมาตรวจอาการของเขาอยู่แล้ว
จู่ๆ เช้าตรู่วันนี้มู่หรงอานก็มีอาการเหมือนใกล้ฟื้นขึ้นมาแล้ว ผู้ดูแลจึงรีบให้คนไปเชิญหมอหลวงมา ทว่ามู่หรงอานกลับไม่ฟื้น ในทางกลับกันเขาเริ่มเกร็งตัวชักกระตุกไม่หยุด สีหน้าแฝงไปด้วยกลิ่นอายเหมือนคนจวนเจียนใกล้ตายลางๆ ทำให้ทุกคนต่างเป็นกังวลขึ้นมาไม่น้อย
หมอหลวงถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วเอ่ย “ฝีมือการรักษาของข้าไม่ดีนัก ไม่รู้จริงๆ ว่าองค์ชายแปดเป็นอันใดกันแน่ เกรงก็แต่…”
ผู้ดูแลจวนรีบเอ่ยถาม “เกรงว่าอันใดหรือ” หมอหลวงตอบ “เกรงว่าคงไม่ดีนัก เจ้ารีบรายงานฝ่าบาทกับองค์ชายหกว่า…เตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ จะดีกว่า” หากจะให้หมอหลวงพูดตรงๆ ก็คือมู่หรงอานหมดหนทางรักษาแล้ว เริ่มเตรียมจัดงานศพได้เลย
“นี่…จะเป็นไปได้เช่นไรกัน…”
หมอหลวงส่ายศีรษะแล้วไม่พูดอะไรอีก
“น้องแปด!” ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น มู่หรงอวี้ก็รีบสาวเท้าเดินเข้ามา เพราะบัดนี้มู่หรงอวี้ถูกกักบริเวณอยู่ในจวนจึงออกนอกจวนตามใจชอบไม่ได้ ดังนั้นถึงแม้มู่หรงอานจะเริ่มมีอาการผิดปกติมาตั้งแต่เช้า รอกระทั่งมู่หรงอวี้มาก็ช่วงบ่ายแล้ว อีกทั้งคนที่ส่งเข้าวังไปกราบทูลฝ่าบาทนำข่าวกลับมาบอกว่าฮ่องเต้แคว้นหวาไม่มีท่าทีใดต่อเรื่องของมู่หรงอานเลย พระองค์แค่ให้สำนักหมอหลวงเป็นคนจัดการ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทไม่สนใจพระโอรสองค์นี้เลยสักนิด
“น้องแปดเป็นเช่นใดบ้าง” พอพุ่งพรวดเข้ามาก็เหลือบมองมู่หรงอานที่นอนแน่นิ่งหมดสติอยู่บนเตียงเหมือนเดิมแวบหนึ่ง มู่หรงอวี้พลันผุดแววตาผิดหวังพาดผ่านดวงตา ถึงแม้น้องชายผู้นี้จะทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าตอนนี้เพิ่มมาอีกสักคน อย่างน้อยก็มีแรงเสริมเพิ่มมาบ้าง
หมอหลวงจึงนำคำพูดเมื่อครู่มาพูดกับมู่หรงอวี้อีกรอบ มู่หรงอวี้พลันรู้สึกใจหาย สีหน้าเย็นชายิ่งกว่าเดิม “ไร้ความสามารถอย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นหมอหลวง แต่เจ้าบอกข้าว่าเจ้าไร้ความสามารถหรือ หากน้องแปดเป็นอันใดไปข้าจะเอาชีวิตเจ้าเสีย!”
หมอหลวงไม่กล้าตอบโต้อะไรด้วยสีหน้าขมขื่น องค์ชายแปดถูกหมอหลวงทั้งสำนักวินิจฉัยว่าต้องตายตั้งนานแล้ว เพียงแต่จะตายช้าตายเร็วก็เท่านั้น เหตุใดถึงมาโทษเขาเล่า
มู่หรงอวี้เหมือนจะเข้าใจความหมายบนสีหน้าของหมอหลวงเลยแค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่งก่อนจะเดินไปข้างเตียงของมู่หรงอาน ครั้นมองสีหน้าหม่นหมองของมู่หรงอานที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง ไม่ว่าใครถ้าเห็นท่าทีเช่นนี้ก็ย่อมรู้สึกว่ามู่หรงอานหมดหนทางจะช่วยได้แล้วจริงๆ
“ก่อนหน้านี้ก็ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า” มู่หรงอวี้เอ่ยถาม
ผู้ดูแลจวนเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “กระหม่อมเองก็มิทราบพ่ะย่ะค่ะ เช้านี้พอคนที่ดูแลองค์ชายแปดเดินเข้ามาก็เห็นองค์ชายชักกระตุกไปทั้งร่างแล้ว จากนั้นก็รีบเชิญหมอหลวงมาทันที” ถึงแม้หมอหลวงจะฝังเข็มระงับอาการชักเกร็งของเขา แต่ต่อให้เขาจะนอนไม่ได้สติแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้ากลับกระตุกเป็นระยะๆ เลยทำให้รู้ว่าท่าทีสงบเช่นนี้เป็นเพียงภาพลักษณ์เปลือกนอกเท่านั้น
มู่หรงอวี้หรี่ตา ฉับพลันแววตาก็ไปหันไปจับจ้องจุดๆ หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากขอบเตียงนัก เขาเอ่ยถามเสียงขรึม “นั่นมันอะไรกัน”
ครั้นสังเกตเห็นท่าทีเยือกเย็นของมู่หรงอวี้ หมอหลวงและผู้ดูแลจวนจึงหันไปยังทิศทางที่มู่หรงอวี้มองอยู่อย่างพร้อมเพรียง จากจุดที่ไม่ไกลจากเตียงของมู่หรงอานมีโต๊ะไม้ความสูงราวครึ่งตัวคนตั้งอยู่ ด้านบนมีดอกกล้วยไม้เบ่งบานงดงามกระถางหนึ่งวางอยู่ ถึงแม้ตอนนี้จะล่วงเลยฤดูกาลดอกไม้บานมาแล้ว ทว่าใบสีเขียวอ่อนกลับชวนให้รู้สึกสบายตัวเป็นพิเศษ ทำให้ห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยากลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
“นี่เป็น…ดอกไม้ที่เพิ่งเอาเข้ามาใหม่ ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ดูแลจวนเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก เขาไม่มั่นใจนักว่าดอกไม้กระถางนี้ปรากฏอยู่ในห้ององค์ชายเจ็ดตั้งแต่เมื่อไร แต่เหมือนว่าจะอยู่ตรงนี้มาตลอด ท่านอ๋องจะทำสีหน้าเคร่งเครียดไปทำไมกัน หรือว่าอาการขององค์ชายเจ็ดในตอนนี้เกี่ยวข้องกับเจ้านี่อย่างนั้นหรือ ครั้นนึกถึงตรงนี้ ผู้ดูแลจวนก็อดระแวงขึ้นมาไม่ได้
หมอหลวงเดินไปเบื้องหน้าแล้วสำรวจพืชใบกล้วยไม้กระถางนี้อย่างละเอียด อีกทั้งยังเข้าไปดมใกล้ๆ ด้วย จากนั้นก็ส่ายศีรษะกล่าว “นี่…คงเป็นดอกกล้วยไม้ชนิดหนึ่งเท่านั้น ถึงแม้จะล่วงเลยฤดูดอกไม้บานมาแล้ว อีกทั้งกลิ่นของดอกกล้วยไม้นี้ก็เบาบางนักแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย กลิ่นนี้คงไม่ได้ส่งผลอันใดต่อองค์ชายแปดกระมัง” ถึงแม้จะมีกลิ่นหอมจางๆ แผ่ออกมาชวนให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติสักหน่อย อีกอย่างกลิ่นนี้ก็เบาบางมากจริงๆ จุดตรงหัวเตียงขององค์ชายแปดแทบไม่ได้กลิ่นเลยด้วยซ้ำ
“ไสหัวไป!” มู่หรงอวี้กัดฟันเอ่ย
หมอหลวงชะงักไป หลังจากได้สติกลับมาเห็นท่าทีดุดันของมู่หรงอวี้เช่นนั้นก็รีบออกไปด้วยความว่องไว
“ท่านอ๋อง…” ผู้ดูแลจวนมองมู่หรงอวี้ด้วยท่าทีกังวลใจ มู่หรงอวี้รีบสาวเท้าเดินเข้าไปเหวี่ยงมือปัดกระถางดอกไม้บนโต๊ะไม้นั้นลงพื้นจนแตกละเอียดในทันที
“มู่หรงซี!” กระถางดอกไม้นี้ก็คือกระถางที่เขาส่งไปวางไว้ในจวนของมู่หรงซี แน่นอนเขาย่อมไม่ให้มู่หรงซีรู้ว่ากระถางดอกไม้นี้มีความเกี่ยวข้องกับเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมามู่หรงซีไม่นึกสงสัยแต่กลับชื่นชอบมันมากด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าเวลานี้จะเห็นกระถางใบนี้มาตั้งอยู่ในห้องของมู่หรงอานได้
“ท่าน…ท่านอ๋อง ท่านพูดถึง…ผิงอ๋อง…” ผู้ดูแลจวนตกใจยกใหญ่ ถึงแม้หลังจากเกิดเรื่องกับมู่หรงอาน ภายในจวนหนิงอ๋องจะผ่อนปรนการคุ้มกันลง แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่าคนของผิงอ๋องจะเอากระถางดอกไม้นี้เข้ามาวางไว้ในห้องของหนิงอ๋องได้โดยไร้สุ่มไร้เสียงขนาดนี้ กระทั่งไม่มีใครรู้เลยว่าวางไว้นานเท่าไรแล้ว หากคนของผิงอ๋องไม่ได้แค่ต้องการวางกระถางดอกไม้แต่ต้องการชีวิตของหนิงอ๋องล่ะก็…ผู้ดูแลจวนแอบสะท้านเฮือกในใจ มองมู่หรงอวี้ด้วยท่าทีหวาดกลัว