มู่หรงอวี้หลุบตาลงมองดอกไม้บนพื้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองคนบนเตียง
ผิงอ๋องเอากระถางดอกไม้นี่มาส่งให้ถึงที่นี่ในเวลาแบบนี้ ถือเป็นการตักเตือนและท้าทายเขาชัดๆ
พอสงบสติอารมณ์ลงได้ มู่หรงอวี้ก็ออกคำสั่ง “เก็บกวาดเจ้านี่แล้วเอาออกไปทิ้งเสีย ให้คนมาดูแลน้องแปดอย่างดีด้วย”
ผู้ดูแลจวนลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามว่า “เช่นนั้น…ควรทำอย่างไรกับหนิงอ๋องต่อดีพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้ปิดเปลือกตาลงแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “เวลานี้ยังจะทำอะไรได้อีกหรือ รอฟังลิขิตจากสวรรค์เอาเถิด”
ครั้นออกจากจวนหนิงอ๋องมา มู่หรงอวี้ก็จับจ้องเหล่าองครักษ์นอกจวนหนิงอ๋องที่มาคอยรับใช้เขาด้วยท่าทีสับสน คนพวกนั้นมาจวนหนิงอ๋องเป็นเพื่อนตนก็จริง แต่พวกเขามิได้มาดูแลความปลอดภัยของตน แต่มาเพื่อจับตาดูว่าหลังจากตนมาเยี่ยมน้องแปดแล้วกลับจวนกงอ๋องทันทีหรือไม่
ตนมาถึงขั้นนี้…ตั้งแต่เมื่อไรนะ ภาพลักษณ์ในเดิมทีที่ดูฉลาดมีความสามารถ จิตใจเมตตาอ่อนโยนของตนที่ชวนให้ใครต่อใครต่างรู้สึกดี แม้แต่ในหมู่องค์ชายเองก็ถือว่าตนนั้นมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้ ทว่าบัดนี้ตนเพิ่งรู้ว่าทุกอย่างไม่ได้มีความหมายใดต่อเสด็จพ่อที่สถานะสูงศักดิ์ผู้นั้นเลย เพราะเพียงแค่เสด็จพ่อเปลี่ยนความคิด ความทุ่มเทบากบั่นเอาชนะคนอื่นได้ทั้งหมดในหลายปีมานี้ของตนก็มลายหายไปไม่เหลืออะไรสักอย่าง
มู่หรงอวี้กวาดตามององครักษ์ด้านหลังอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนจะย่างกรายเดินมุ่งหน้าไปทางจวนกงอ๋องอย่างช้าๆ โดยไม่สนใจสีหน้าท่าทีแปลกๆ ของคนที่สัญจรไปมาละแวกนั้น
“น้องหก” เสียงอันอบอุ่นเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหู มู่หรงอวี้ชะงักเล็กน้อยก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองไปด้านบน ที่แท้เขาก็เดินมาถึงด้านล่างของศาลาชิงอานแล้ว ริมหน้าต่างที่เปิดอยู่บนชั้นสองปรากฏกายของมู่หรงซีกำลังยืนมองมาทางเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตรงนั้น
“พี่สอง” มู่หรงอวี้หลุบตาลงเพื่อปกปิดอารมณ์เดือดดาลของตนแล้วเอ่ยเรียกอย่างนอบน้อม
มู่หรงซีพยักหน้าเอ่ย “น้องหกขึ้นมานั่งสักหน่อยเถิด”
มู่หรงอวี้ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ย “น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าองครักษ์ที่ติดตามมู่หรงอวี้มาต่างพากันมุ่นคิ้วอย่างเป็นกังวล พวกเขาได้รับคำสั่งให้คุ้มกันพากงอ๋องกลับจวน ห้ามให้เขาเถลไถลอยู่ข้างนอก แต่พวกเขาก็เมินใส่คำพูดของผิงอ๋องไม่ได้เช่นกัน หลายวันมานี้เหมือนฝ่าบาทจะมีท่าทีโอนอ่อนให้แก่ผิงอ๋องไม่น้อย พระองค์ไม่ถามไถ่อะไรแต่กลับส่งของไปให้จวนผิงอ๋องอยู่ตลอด
มู่หรงซีเข้าใจความกังวลของเหล่าองครักษ์ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าวางใจได้ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนไปส่งน้องหกกลับจวนเอง หากฝ่าบาทจะทรงกล่าวโทษ ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
“มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายหกเชิญพ่ะย่ะค่ะ” ผู้นำของเหล่าองครักษ์เอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อมยำเกรง ด้วยความสัมพันธ์ของผิงอ๋องกับองค์ชายหกแล้วไม่มีทางสมรู้ร่วมคิดทำอะไรได้แน่นอน
ครั้นเห็นฝูงชนที่เดินสัญจรไปมาแอบเหลือบมองเขา มู่หรงอวี้ก็แค่นเสียงเบาด้วยความอึดอัดใจก่อนจะสะบัดชายผ้าเดินเข้าศาลาชิงอานไป
มู่หรงซีไม่ได้นั่งในห้องส่วนตัว ถึงแม้เวลานี้คนในศาลาชิงอานจะมีไม่มากนัก แต่พอเห็นมู่หรงอวี้เดินขึ้นมาต่างก็พากันอดผงะไปตามๆ กันไม่ได้ สีหน้าของมู่หรงอวี้ก็ยิ่งเย็นยะเยือกขึ้นมากกว่าเดิม หลังจากเดินมาถึงเบื้องหน้าของมู่หรงซี เขาก็กวาดตามองสีหน้าสงบราบเรียบของมู่หรงซีอยู่พักใหญ่ถึงเอ่ยเสียงขรึม “พี่สองมารออยู่ที่นี่เพื่อสร้างความอับอายให้ข้าอย่างนั้นหรือ ช่างเปลืองแรงเสียจริง”
มู่หรงซีมองเขาด้วยท่าทีแน่นิ่ง ฉีกยิ้มบางเอ่ย “น้องหกคิดมากเกินไปแล้ว ข้าคิดมาตลอดว่าเราควรพูดคุยกัน หรือเจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ”
มู่หรงอวี้เผยรอยยิ้มเยาะทีหนึ่ง พลางมองมู่หรงซีด้วยสีหน้าขึงขัง มู่หรงซีเห็นดังนั้นก็หลุบตาลงถอนหายใจเสียงเบาแล้วเอ่ยขึ้น “หลายปีมานี้…ถึงแม้ข้าจะพอเดาหลายเรื่องได้ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าน้องหก…จะใจเหี้ยมกว่าที่ข้าคิดไว้มากขนาดนี้”
มู่หรงอวี้แค่นเสียงเย็นชาเอ่ย “หากอ่อนแอคงมิใช่สุภาพชน หากไร้เขี้ยวพิษคงมิใช่บุรุษอย่างสมศักดิ์ศรี ถ้าผิงอ๋องอยากวิพากษ์วิจารณ์ข้าล่ะก็ อย่าเลยดีกว่า หรือผิงอ๋องคิดว่าตนเป็นสุภาพชนที่ทำอะไรอย่างเปิดเผยอย่างนั้นหรือ คนบนโลกนี้ก็เหมือนท่านหมดนั่นแหละ”
มู่หรงซีกลับไม่โกรธเลยสักนิดเอ่ยยิ้มๆ “ที่แท้เจ้าก็ยอมรับว่าข้าทำอะไรอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเหมือนกันหรือ หากกล่าวเช่นนี้ พี่สองอย่างข้าก็คงไม่ได้ทำอันใดผิดต่อเจ้า”
มู่หรงอวี้กัดฟันกรอดไม่พูดอะไร มู่หรงซีก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อเขาจริงๆ ไม่ว่าในฐานะองค์รัชทายาทคนหนึ่งของเหล่าขุนนางหรือพี่ชายคนหนึ่งของน้องชายก็ถือว่ามู่หรงซีพยายามชี้นำอย่างเต็มที่แล้ว หากจะพูดถึงเรื่องเดียวที่ผิงอ๋องทำผิดต่อเขาก็คือผิงอ๋องเกิดมามีสถานะสูงส่งมากกว่าเขา มีอำนาจมากกว่าเขา และขัดขวางตำแหน่งที่เขาอยากได้มากที่สุด
มู่หรงอวี้เองก็รู้ดีว่าทุกการกระทำของเขาหากมองจากมุมนั้นแล้วนับว่าเป็นคนเนรคุณ ชั่วร้ายกว่าสัตว์เดียรัจฉานก็จริง แต่เขากลับไม่นึกเสียใจเลย ถ้าเขาไม่ทำเช่นนั้นก็คงกลายเป็นองค์ชายที่ไม่เตะตาใครคอยติดตามองค์รัชทายาทไปชั่วชีวิต ท่านอ๋องเอ๋ย ท่านล้วนแต่อาศัยอิทธิพลของตระกูลกู้ถึงทำให้สามารถยืนหยัดอยู่ในราชสำนักได้อย่างมั่นคงต่างหาก และต่อให้วันเวลาที่เฉิดฉายของเขาจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี แต่เขาไม่มีวันนึกเสียใจภายหลังแน่นอน
“ตกลงท่านต้องการจะพูดอะไรกันแน่!” มู่หรงอวี้กัดฟันเอ่ย ถึงแม้ในใจจะยอมรับว่าทุกการกระทำของตนเหมือนไม่ใช่คน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามู่หรงอวี้จะชอบให้ใครขุดเรื่องที่เขาเคยทำในอดีตมาเล่าให้ตัวเองฟังสักหน่อย
มู่หรงซีมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแล้วกล่าว “ข้าก็แค่อยากบอกเจ้าว่า ในเมื่อข้าไม่เคยทำสิ่งใดผิดต่อเจ้า วันหน้า…หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าคงทำได้แค่โทษตัวเองแล้ว”
มู่หรงอวี้จับจ้องเขาอย่างระแวงแล้วเอ่ยเสียงขรึม “พี่สองจะทำอะไรอีก เสด็จแม่ถูกท่านทำร้ายจนใกล้ตายอยู่รอมร่อ ส่วนน้องแปดก็ใกล้ไม่ไหวเต็มทีแล้วเช่นกัน ท่านจะเอาอย่างไรอีก”
“น้องหก” มู่หรงซีเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เสด็จแม่ของข้าตายไปแล้ว ท่านตาก็ตายไปแล้ว คนของตระกูลกู้ต่างก็ตายกันไปหมดแล้ว” คนที่ตายไปแล้วไม่มีทางฟื้นกลับมาได้อีก ปมแค้นความตายไม่มีทางคลี่คลายได้ นอกเสียจากว่าคนใดคนหนึ่งต้องตายจากไป
มู่หรงอวี้ผงะไป กัดฟันเอ่ย “ดังนั้นผิงอ๋องอยากมาบอกข้าว่า ท่านอยากได้ชีวิตข้าอย่างนั้นหรือ ได้สิ ข้าจะรอท่านมาเอาไปแล้วกัน” เขาเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีหยิ่งผยอง รักษาท่าทีโอหังของตนต่อไปโดยไม่สนยศฐาบรรดาศักดิ์ของคนตรงหน้าอีก มู่หรงอวี้จับจ้องมู่หรงซีอย่างไม่ยอมแพ้
มู่หรงซีพยักหน้าเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี น้องหกรักษาตัวด้วย”
หลังจากได้เจอกันครั้งนี้พวกเขาทั้งสองก็ไม่ใช่พี่น้องกันอีกต่อไป สิ่งที่เคยเรียกว่าสายเลือดเดียวกันก็เอาชนะความเคียดแค้นที่คุกรุ่นไม่ได้ ชั่วเวลานี้มีเพียงปมแค้นพยาบาทและตายกันไปข้างเท่านั้น
มู่หรงซีลุกขึ้นเอ่ย “ไปเถิด ข้าจะไปส่งน้องหกกลับจวนเอง”
มู่หรงอวี้เอาแต่คิดว่านี่เป็นความอัปยศที่มู่หรงซีสร้างให้ตน เขาแค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่งก่อนจะชิงเดินลงศาลาชิงอานไปก่อน
พวกเขาสองคนเดินกลับอย่างช้าๆ ฉากเดินกลับไปยังจวนกงอ๋องชวนให้คนมากมายในเมืองหลวงต่างพากันแปลกใจไม่น้อย หลายวันมานี้ทุกการกระทำของจวนกงอ๋องและจูซื่อที่เคยทำต่ออดีตฮองเฮาและผิงอ๋องต่างเล่าลือไปทั่วเมืองหลวง ครั้งนี้ชื่อเสียงภาพลักษณ์ที่ถือว่าก็ไม่แย่นักสำหรับในใจของประชาชนกลับพังทลายลงจนถึงขั้นที่พวกเขาคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ ทุกคนต่างคิดไปว่าฉากตรงหน้าเป็นเพราะผิงอ๋องมีนิสัยสุขุมและจิตใจเมตตาล้นฟ้า
มู่หรงซียืนยิ้มบางจับจ้องมู่หรงอวี้อยู่นอกจวนกงอ๋องแล้วเอ่ย “น้องหก รักษาตัวด้วย”
มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วมุ่นพลันรู้สึกว่าคำพูดของมู่หรงซีไม่เหมือนคำอวยพรเท่าไรนัก แน่นอนว่าต่อให้มู่หรงซีเกิดเสียสติขึ้นมาก็ไม่มีทางกล่าวอวยพรเขากระมัง เพียงแต่คำพูดของมู่หรงซีมักทำให้เขารู้สึกว่ามีนัยยะบางอย่างที่ไม่ให้ใครรู้แอบแฝงไว้อยู่ นี่เลยทำให้เขาพลอยรู้สึกไม่สบายใจและว้าวุ่นใจไม่น้อย