“ขอบพระทัยพี่สอง ข้าไม่ขอส่งแล้วกัน” มู่หรงอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
พอกลับถึงจวน ผู้คุมจวนอ๋องก็รีบรุดหน้าเข้ามาเอ่ยรายงานเสียงเบาทันที “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องกับพระสนมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้รีบจ้ำอ้าวเดินเข้าห้องหนังสือไปด้วยสีหน้าเรียบตึง
ถึงแม้มู่หรงอวี้จะถูกฮ่องเต้แคว้นหวารับสั่งให้กักบริเวณ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเป็นนักโทษ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้จะเป็นนักโทษจริงๆ ก็ยังมีสายสอดแนมรายงานข่าวได้ ถึงแม้บัดนี้อำนาจของจวนกงอ๋องจะสลายหายไปแล้ว แต่ก็ยังพอมีคนที่ใช้งานได้อยู่ แน่นอนว่าคุกเทียนสวรรค์ที่จูซื่อถูกจับเข้าไปย่อมเป็นสถานที่ที่พวกเขาให้ความสนใจเช่นกัน
มู่หรงอวี้นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือตัวยาว อ่านรายงานข่าวที่เพิ่งได้รับเมื่อครู่ในห้องหนังสือ จากนั้นก็เอ่ยเสียงขรึม “องค์หญิงหมิงเจ๋อ…เจ้าเหิมเกริมนัก! เหตุใดถึงไม่มีใครเข้าไปขวางนางเลยเล่า”
มู่หรงอวี้คิดไม่ถึงว่ามู่ชิงอีจะใจกล้ามากถึงขนาดนี้ ไปหาเสด็จแม่ถึงคุกเทียนสวรรค์ไม่พอ นางยังสั่งคนตัดแขนทั้งสองข้างและลิ้นของเสด็จแม่อีก มู่ชิงอีต้องเค้นถามอะไรจากเสด็จแม่มาได้แน่นอน หรือเสด็จแม่รู้เรื่องความลับอะไรเข้ากันแน่นะ มิเช่นนั้นมู่ชิงอีคงไม่มีทางทำเช่นนี้ มู่หรงอวี้ไม่เชื่อว่านางจะทำเพื่อระบายความโกรธเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น…เสด็จแม่กับมู่ชิงอีจะมีความแค้นใหญ่หลวงอะไรต่อกันได้
ผู้คุมเผยสีหน้าซีดขาวแล้วกล่าวรายงานเสียงเบา “คนในคุกเทียนสวรรค์ถูกองค์หญิงหมิงเจ๋อซื้อตัวไปแล้ว คนในคุกเทียนสวรรค์ของเราสถานะต่ำต้อยนักเลยใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ เขาทำได้แค่ส่งข่าวคราวของพระสนมมาได้เท่านั้น” เวลานี้ไม่ว่าใครที่มีสถานะสำคัญล้วนเอนเอียงไปเข้าพวกกับเหล่าองค์ชายและท่านอ๋องคนอื่นๆ คนที่หลงเหลือส่วนใหญ่ก็แทบใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ และบางส่วนก็ถูกหยิบยื่นเงินทองซื้อตัวไปเป็นพวกด้วยอีกต่างหาก
มู่หรงอวี้ขบคิดครู่หนึ่งถึง ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “ส่งคนไปเยี่ยมเสด็จแม่ที่คุกเทียนสวรรค์สักคน”
ผู้คุมลังเลสักพักถึงเอ่ย “ท่านอ๋อง เกรงว่าคงไม่ได้ พระสนมถูกขังอยู่ด้านในสุดของคุกเทียนสวรรค์ หากคิดจะแฝงตัวเข้าไปคงเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้คนของเราเองก็เข้าคุกเทียนสวรรค์ไม่ได้ เพราะคุกเทียนสวรรค์ไม่ให้ใครเข้าไปเยี่ยมเยียนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ให้ใครเข้าเลยอย่างนั้นหรือ” มู่หรงอวี้ยิ้มหยัน “แล้วมู่ชิงอีเข้าไปได้เช่นไรเล่า”
ผู้คุมเอ่ยเสียงต่ำ “ได้ยินมาว่า…องค์หญิงหมิงเจ๋อได้รับคำสั่งจากฮองเฮาให้ไปสืบหาความจากพระสนมพ่ะย่ะค่ะ” ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น เพียงแต่น่าเสียดายเพราะด้วยนิสัยของฮองเฮาแล้ว พวกเขาไม่มีทางได้รับความช่วยเหลือจากฮองเฮาแน่นอน ส่วนไทเฮาและฮ่องเต้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
มู่หรงอวี้ปิดตาลงพยายามสงบสติเรื่องวุ่นวายในหัว ฉับพลันในหัวก็ผุดสีหน้าสดใสเริงร่าของมู่หรงซีขึ้นมา ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจประโยคที่ว่า ‘รักษาตัวด้วย’ ของมู่หรงซีว่าหมายถึงอะไร เห็นได้ชัดว่ามู่หรงซีรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว หรือจะกล่าวได้ว่า…ความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงหมิงเจ๋อและมู่หรงซีไม่ได้ห่างเหินอย่างที่พวกเขาแสดงออกมานั่นเอง
“นังมู่ชิงอีตัวดี!” ที่แท้เขาก็ถูกหญิงสาวคนนี้หลอกมาตั้งนาน! บางทีมู่ชิงอีและมู่หรงซีอาจวางแผนทำลายจวนกงอ๋องและเสด็จแม่มาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ
“ท่านอ๋อง ตอนนี้…” ผู้คุมเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล เพราะด้วยสถานการณ์ของจวนกงอ๋องตอนนี้ อีกทั้งในจวนเองก็ไม่มีนายหญิงคอยจัดการ ทุกคนในจวนกงอ๋องจึงพากันหวาดกลัว ตอนนี้ยังมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ราวกับเรื่องเลวร้ายทุกอย่างมารุมล้อมจวนกงอ๋องในเวลาเดียวกัน ผู้คุมเลยแอบเป็นกังวลกลัวว่าท่านอ๋องจะรับไม่ไหว
มู่หรงอวี้สงบสติอารมณ์ เอ่ยด้วยรอยยิ้มเยาะ “คิดจะเอาชีวิตข้าคงไม่ง่ายขนาดนั้น! ในเมื่อพวกเจ้าทำลายจนข้าไม่เหลือชิ้นดี เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าโหดเหี้ยมแล้วกัน!”
“ทูลท่านอ๋อง คนของจวนหนิงอ๋องมาพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์นอกประตูรีบเข้ามารายงาน
“มีเรื่องอันใด!” มู่หรงอวี้เอ่ยขึ้นอย่างรำคาญใจ
องครักษ์ด้านนอกชั่งใจสักพัก ก่อนจะตอบว่า “ทูลท่านอ๋อง…เมื่อครู่คนของจวนหนิงอ๋องมารายงานว่าองค์ชายแปด…สิ้นใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงแม้จะรู้ว่าอีกไม่นานมู่หรงอานต้องตาย แต่พอได้เผชิญเวลานี้จริงๆ กลับทำให้มู่หรงอวี้เอาแค้นเก่าและแค้นใหม่มาผูกเข้าด้วยกันในทันที ความเกรี้ยวโกรธทุกอย่างถูกโยนไปให้มู่หรงซีและมู่ชิงอีสองคนนั้น
“มู่หรงซี! วิธีการดีนักนะ พี่สองตัวดีของข้า ช่างเป็น…อดีตองค์รัชทายาทที่ร้ายกาจมากจริงๆ!” มู่หรงอวี้เอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ท่านอ๋อง…”
มู่หรงอวี้นั่งลงหลังโต๊ะหนังสือแล้วคว้าพู่กันมาขีดเขียนลงไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปสักพักหลังจากจดหมายสั้นๆ ฉบับหนึ่งถูกเขียนเสร็จก็ยัดลงใส่ซองปิดผนึกเรียบร้อย มู่หรงอวี้ส่งจดหมายนี้ให้ผู้คุมเอ่ย “เอาออกไปส่งให้ตวนอ๋อง”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านอ๋อง…” ผู้คุมเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของมู่หรงอวี้ดูไม่ดีเท่าไรนัก
มู่หรงอวี้ยิ้มเย็นชาเอ่ย “น้องแปดตายแล้ว คิดจะให้ข้าเอาแต่เก็บตัวไม่ออกไปเจอใครเลยหรือ พวกเขาอยากเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของข้านักมิใช่หรือ ข้าก็จะทำให้พวกเขาดูว่าสุดท้ายคนที่แพ้ต้องเป็นใครกันแน่!”
ณ จวนหนิงอ๋อง ในห้องนอนของมู่หรงอานตกอยู่ในความเงียบ นอกจากมู่หรงอานที่นอนแน่นิ่งบนเตียงก็ไม่หลงเหลือใครอีกแล้ว ในเมื่อเจ้าของจวนนอนป่วยไม่ได้สติ อีกทั้งในจวนก็ไม่มีนายหญิงคอยกำกับดูแล ลำพังอาศัยแค่ผู้ดูแลจวนคนเดียวย่อมวุ่นจนหัวหมุนเป็นธรรมดา นานวันเข้าเหล่าบ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติดูแลมู่หรงอานก็เริ่มอู้งาน เพราะการไม่มีใครคอยเฝ้าดูแลสักชั่วยามก็กลับกลายเป็นเรื่องปกติ เพราะในจวนไม่มีใครคิดว่าหนิงอ๋องที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับอยู่บนเตียงยังต้องการใครคอยดูแลอีก
คนที่นอนบนเตียงขยับตัวเล็กน้อย ผ่านไปนานเปลือกตาที่ปิดสนิทก็เริ่มขยับ มู่หรงอานขยับเปิดเปลือกตาได้ยากเหลือเกิน เสียงแหบแห้งที่เปล่งออกมาจากลำคอชวนให้รู้สึกไม่ภิรมย์ใจนัก “ใคร…ใครก็ได้เอาน้ำมาที”
ผ่านไปนานแต่ก็ไม่มีใครขานตอบสักคน มู่หรงอานชะงักไปแล้วถึงหันหน้าออกไปมองด้านนอกอย่างรวดเร็ว ทางฝั่งซ้ายมีบุรุษสวมชุดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่จากมุมที่ไม่ไกลนัก ถึงแม้จะเห็นเพียงเงาแผ่นหลังของบุรุษคนนั้น แต่มู่หรงอานกลับรู้ตัวตนของอีกฝ่ายทันที “ชิงเซวียน”
บุรุษหนุ่มชุดขาวหันมา ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติเผยสีหน้าเรียบนิ่งสบายๆ ถึงแม้บนใบหน้าจะมีรอยแผลเป็นชัดเจนแต่กลับไม่สามารถทำอะไรความหล่อเหลาของเขาได้เลย ทว่าขับให้ดูห้าวหาญมากกว่าเดิม ถ้าไม่ใช่กู้ซิ่วถิงแล้วจะเป็นใครไปได้เล่า
วินาทีนั้นมู่หรงอานก็นึกเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะหมดสติขึ้นได้ ทันใดนั้นเขาก็คิดจะลุกขึ้นนั่ง “นี่…ที่นี่ที่ใดกัน” แต่เขานอนอยู่บนเตียงมาเกือบหนึ่งเดือน อีกทั้งก่อนหน้านี้ร่างกายเองก็ได้รับบาดเจ็บอยู่หลายครั้ง พอเวลานี้นึกอยากลุกขึ้นนั่งพลันก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาราวกับมีเข็มมากมายทิ่มแทงก็มิปาน ไม่นานก็ลงกลับไปนอนอย่างไร้เรี่ยวแรงเฉกเช่นเคย
กู้ซิ่วถิงรู้อาการของเขาดีเลยไม่ได้เข้าไปขวางแต่อย่างใด เขาเพียงจ้องมองมู่หรงอานที่ล้มตัวกลับลงไปบนเตียงเกร็งตัวไปมาอย่างเจ็บปวดด้วยท่าทีสงบ
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดมู่หรงอานก็รู้สึกได้ว่าอาการปวดหัวทุเลาลงแล้วถึงสังเกตเห็นว่าสถานที่ที่ตนอยู่ก็คือห้องนอนของจวนหนิงอ๋อง จากนั้นก็แอบปลอบใจตัวเองเอ่ยด้วยท่าทีตกใจว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไรกัน เจ้า…ถูกพี่หกจับตัวกลับมาหรือ แล้วมู่ชิงอีอยู่ที่ไหนเล่า”
หลังจากพูดจบเขาก็รู้สึกตงิดใจ ด้วยนิสัยของพี่หกแล้ว หากกู้ซิ่วถิงถูกเขาจับกลับมาจริงคงไม่มีทางเหลือรอดชีวิตเช่นนี้ได้ แต่เขาจนปัญญาจะคิดหาคำอธิบายได้ว่าเหตุใดกู้ซิ่วถิงถึงมาอยู่ในจวนหนิงอ๋อง รวมถึงตั้งแต่เขาฟื้นขึ้นมาก็ไม่เห็นมีบ่าวรับใช้คนใดโผล่หน้าเข้ามาเลย ในขณะเดียวกันเขาเองก็รู้สึกหวั่นใจแปลกพิกล
“กงอ๋อง?…ท่านหมายถึงองค์ชายหกหรือ” กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วถามพลางยิ้มบาง