มู่หรงอานมองเขาด้วยท่าทีแปลกๆ ในโลกนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าพี่หกของเขาคือกงอ๋อง แต่หลายปีมานี้มีน้อยคนนักที่จะเรียกพี่หกว่าองค์ชายหกแล้ว
เขาได้ยินกู้ซิ่วถิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “องค์ชายหกเพิ่งถูกฝ่าบาทถอดตำแหน่งอ๋องไป รวมถึงองค์ชายแปดเองก็ด้วย อีกอย่างเสด็จแม่ของท่าน…จูซื่อ ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในคุกเทียนสวรรค์รอฤกษ์วันประหารอยู่”
“อะไรนะ!” มู่หรงอานเผยท่าทีตกใจพลางกุมศีรษะที่ปวดตุบๆ เป็นระยะๆ จับจ้องกู้ซิ่วถิงแน่นิ่งเอ่ย “จะเป็นอย่างนั้นไปได้เช่นไร เป็นเพราะเจ้าหรือ”
กู้ซิ่วถิงหลุบตาลงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นับว่าองค์ชายแปดฟื้นได้สติกลับมาแล้วจริงๆ”
มู่หรงอานชะงักไปทั้งร่างพร้อมเผยสีหน้าเหลือเชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโชคร้ายของเสด็จแม่และท่านพี่ หรือเพราะผู้บงการทุกอย่างนี้คือกู้ซิ่วถิงกันแน่ ผ่านไปนานมู่หรงอานถึงเปิดปาก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…เวลานี้เจ้ามาทำอะไรที่นี่เล่า เจ้ากับมู่ชิงอีเป็นพวกเดียวกันหรือ เป็นเพราะตอนที่นางเจอเจ้าครั้งก่อน พวกเจ้าก็แอบติดต่อกันแล้วหรือ ข้า…ข้าไม่น่า…”
กู้ซิ่วถิงมองท่าทีเจ็บปวดของเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผ่านไปได้พักใหญ่มู่หรงอวี้ถึงสงบสติอารมณ์ลงได้ก่อนจะหันมองกู้ซิ่วถิงแล้วกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…แล้วชิงเซวียน เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
กู้ซิ่วถิงเอาถ้วยชาในมือกลับไปวางไว้บนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น “องค์ชายแปดยังไม่เข้าใจอีกหรือ กระหม่อมมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ก็เพื่อ…ส่งท่านอย่างไรเล่า”
“ส่งข้าหรือ” มู่หรงอานตื่นตระหนกพลันเอ่ยอย่างระแวง “เจ้าคิดจะฆ่าข้าหรือ”
กู้ซิ่วถิงไม่ได้เอ่ยตอบอะไร เพียงแค่ใช้แววตาเย็นชาจับจ้องมู่หรงอาน มู่หรงอานย่อมเป็นคนหนึ่งที่กลัวตายอยู่แล้ว เขาจองหองโอหังกว่าใคร และยิ่งทำตัวกำเริบเสิบสานเพราะมีพี่ชายที่เก่งกาจคนหนึ่ง อีกทั้งเพราะเขาเป็นองค์ชายด้วย ในยามที่เสาพักพิงเหล่านี้ใช้ประโยชน์ไม่ได้ เขาย่อมตื่นตระหนกและหวาดกลัวยิ่งกว่าใคร
“ไม่…” มู่หรงอานดีดดิ้นด้วยท่าทีหวาดกลัว แต่กลับค้นพบสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นเพราะตนไม่ได้ขยับร่างกายมาหลายวันแล้วจึงทำให้ร่างกายไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขาเลย แม้แต่เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือก็ยังเปล่งออกมาไม่ได้ แค่คิดจะตะโกนใช้เสียงจากลำคอ แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับแหบแห้งจนไม่น่าฟัง กระทั่งดังลอยออกไปจากห้องนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ทำเช่นนั้นไปทำไมเล่า องค์ชายแปดเองก็เคยตายมาครั้งหนึ่งแล้วมิใช่หรือ” กู้ซิ่วถิงเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ
มู่หรงอานส่ายศีรษะอย่างแรง เพราะเคยตายมาครั้งหนึ่งแล้วเขาเลยยิ่งกลัวจะผิดหวังอีก “ไม่นะ…ซิ่วถิง ชิงเซวียน ปล่อยข้าไป…ข้า…หลายปีมานี้ข้าก็ดีกับเจ้าไม่น้อยนะ” มู่หรงอานเอ่ยเว้าวอนด้วยเสียงอันแหบต่ำ
กู้ซิ่วถิงมองเขา “ปล่อยท่านไปหรือ หากกระหม่อมปล่อยท่านไปแล้วใครปล่อยเกอเอ๋อร์ของกระหม่อมได้บ้างเล่า ใครปล่อยตระกูลกู้ของกระหม่อมได้บ้าง” ถึงแม้ตอนนี้เกอเอ๋อร์จะยังมีชีวิตอยู่ แต่พอนึกถึงว่านางเคยผ่านอะไรมาบ้าง กู้ซิ่วถิงก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับมีมีดมากรีดหัวใจก็ไม่ปาน ความทุกข์ทรมานจากการเผาร่างเป็นความเจ็บปวดแบบไหนกันนะ ถึงแม้ตนจะไม่เคยเจอเช่นนั้นก็เถอะ แต่น้องสาวของเขาเป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้ที่งดงามและได้รับความเอ็นดูมาตั้งแต่เด็ก ต้องตัดสินใจอย่างไรและสิ้นหวังขนาดไหนถึงเอาตัวเข้าไปในกองเพลิงจนร่างมอดไหม้ไม่เหลือแม้แต่กระดูกเช่นนั้น
“กู้อวิ๋นเกอ?” ครั้นเอ่ยถึงกู้อวิ๋นเกอ มู่หรงอานก็นึกขยะแขยงขึ้นมาตามนิสัย แต่พอเห็นไอเย็นยะเยือกในแววตาของกู้ซิ่วถิง เขาก็รีบเก็บความรู้สึกนั้นกลับไปทันทีแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่นะ…ซิ่วถิง ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่ากู้อวิ๋นเกอ…ถึงนางตายไปแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าสักหน่อย”
“ข้าไม่ได้มาฟังคำพูดไร้สาระของท่าน” กู้ซิ่วถิงมองออกไปด้านนอก “นี่ก็สายมากแล้ว อีกประเดี๋ยวคงมีคนมา องค์ชายแปด ไปดีก็แล้วกัน”
“ไม่นะ…” มู่หรงอานจับจ้องใบหน้าเปื้อนยิ้มของกู้ซิ่วถิงที่กำลังวางถ้วยชาในมือลงด้วยสีหน้าหวาดผวา จากนั้นก็เห็นเขาเทของเหลวที่อยู่ในขวดเล็กสีดำลงในถ้วยชาแล้วเดินมาหาตนที่เตียง
หากเป็นเมื่อก่อน หนอนหนังสือร่างกายอ่อนแออย่างกู้ซิ่วถิงคงใช้พละกำลังบังคับให้มู่หรงอานดื่มของเหลวที่อยู่ในถ้วยชาได้ยาก แต่ตอนนี้กลับต่างออกไป เพราะมู่หรงอานบาดเจ็บสาหัสยังไม่หายดี อีกทั้งยังนอนอยู่บนเตียงเพิ่งฟื้นได้ไม่นาน หากดีดดิ้นขยับตัวมากเกินไปก็พลันทำให้เขาปวดศีรษะเหมือนใกล้ระเบิดเต็มที และยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนแล้ว
กู้ซิ่วถิงบีบคางเขาไว้แล้วกรอกน้ำในถ้วยชาเข้าปากช้าๆ โดยไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิด
ยาที่กู้ซิ่วถิงใช้กลับไม่ใช่ยาพิษซับซ้อนน่าพิศวงอะไร นี่เป็นเพียงยาใช้ปลิดชีวิตคนที่เตรียมเอาไว้แล้วเท่านั้น ดังนั้นผลลัพธ์จึงแสดงออกมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว ทันทีที่น้ำชาเพิ่งไหลลงท้องไป มู่หรงอานก็รู้สึกเหมือนมีเพลิงไฟร้อนรุ่มแผดเผาอยู่ในกระเพาะ ราวกับชั่วขณะนั้นทั่วทั้งกระเพาะของเขาถูกเผามอดไหม้ก็มิปาน ไม่นานเพลิงไฟนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดทุรนทุราย กลิ่นคาวเลือดพวยพุ่งออกมาจากลำคอ จากนั้นเลือดสีดำก็ไหลออกมาจากปากอย่างรวดเร็ว
สีหน้าสิ้นหวังในเดิมทีของมู่หรงอานก็ยิ่งหดหู่ลงมากกว่าเดิม ไม่นานแม้แต่แรงดิ้นพล่านก็ยังไม่มี เขาทำได้แค่มองบุรุษรูปงามที่ยืนถือถ้วยชาในมือตรงหน้าเตียงแน่นิ่ง ชั่วขณะนั้นราวกับความคิดล่องลอยกลับไปเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ เวลานั้นบุรุษเย็นชาตรงหน้ายังเป็นหนุ่มน้อยรูปงามอ่อนโยนคนหนึ่ง ในงานเลี้ยงบรรจุข้าหลวง ปรากฏกายหนุ่มน้อยจอหงวนในชุดสีแดงสง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้จนได้รับสายตาที่ชื่นชมและรักใคร่ ทว่ามู่หรงอานในเวลานั้นกลับเป็นเพียงองค์ชายหัวรั้นที่เสด็จพ่อไม่ให้ความสำคัญอะไร
ตอนแรกที่เขาหาเรื่องยุแหย่กู้ซิ่วถิงเพราะอีกฝ่ายมีท่าทีหยิ่งผยองภายใต้ท่าทีสุขุมอ่อนโยนนั้นหรือเพราะอีกฝ่ายได้รับคำชื่นชมและได้รับความสำคัญจากเสด็จพ่อกันแน่ เขาเองก็จำไม่ได้นานแล้ว แต่เขาจำได้เพียง…ช่วงเวลาปีนั้น พระราชอุทยาน ใต้ต้นดอกไห่ถัง ชุดสีแดงเพลิง…
“ชิงเซวียน ข้า…ข้า…”
กู้ซิ่วถิงก้มหน้าลงมองคนตรงหน้าตั้งแต่เผยท่าทีหวาดกลัวในตอนแรกจนกระทั่งดิ้นพล่านไปมาอย่างสิ้นหวังด้วยท่าทีสงบ จนสุดท้ายเขาถึงยอมแพ้แล้วแน่นิ่งไป ดวงตาล่องลอยไร้สติของมู่หรงอานสาดทอประกายแสงสุดท้ายก่อนจะค่อยๆ ปิดลง ทรวงอกที่เต้นอย่างรุนแรงเองก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ในห้องกลับมาเงียบสงัดดังเดิม
ไม่นานรอยเลือดสีดำที่ไหลออกมาทางปากของมู่หรงอานก็ค่อยๆ เลือนหายไป เหมือนว่ายาพิษที่ใครบางคนให้มาจะมีเอกลักษณ์ที่พิเศษไม่น้อย ท่าทางของมู่หรงอานราวกับหลับใหลตายไปในห้วงฝัน ไม่ใช่เพราะได้รับความทุกข์ทรมานใดๆ ก่อนจะสิ้นใจไปมากกว่า
กู้ซิ่วถิงหมุนตัววางถ้วยชาไว้บนโต๊ะแล้วจากไปอย่างเงียบๆ
การจากไปขององค์ชายคนหนึ่งย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก ถึงแม้องค์ชายผู้นี้จะถูกถอดตำแหน่งไปแล้ว อีกทั้งนอนหมดสติมาเกือบเดือน รวมถึงหมอหลวงแทบทุกคนต่างก็วินิจฉัยแล้วว่าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
มู่หรงอวี้ที่เดิมทีถูกกักบริเวณให้สำนึกผิดอยู่ในจวนก็ถูกปล่อยออกมาให้จัดการธุระของน้องชาย ในเมื่อบัดนี้จูซื่อถูกขังอยู่ในคุกเทียนสวรรค์ สองพี่น้องมู่หรงอวี้เองต่างก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้แคว้นหวา เดาว่าคงมีองค์ชายไม่กี่คนจะยอมเปลืองแรงมาช่วยจัดการงานศพให้มู่หรงอานด้วยซ้ำ
ด้วยสถานะของมู่หรงอาน แต่เพราะเรื่องก่อนหน้านี้ของจูซื่อและงานอภิเษกในเดือนหน้าขององค์หญิงไหวหยางและองค์ชายเก้า ฮ่องเต้แคว้นหวาจึงทรงมีพระราชโองการให้จัดงานไว้อาลัยอย่างเรียบง่าย สำหรับองค์ชายคนหนึ่งแล้วนับว่าเป็นเรื่องที่น่าน้อยใจนัก แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครคิดคัดค้านแทนมู่หรงอานเลย แม้แต่พี่ชายร่วมสายเลือดของเขาเองก็ไม่ติดใจอะไร ในเมื่อสำหรับมู่หรงอวี้แล้ว การจากไปอย่างกะทันหันของมู่หรงอานนับว่าเป็นโอกาสหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็ช่วยให้ผู้ที่รักในชื่อเสียงอย่างฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ขังเขาต่อแล้วปล่อยเขาออกมาช่วยจัดการเรื่องงานศพของน้องชายตัวเอง