หลังจากที่จวนหนิงอ๋องตัดขาดจากโลกภายนอกมานานในที่สุดก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง อย่างน้อยองค์ชายทุกคนก็มาเคารพศพมู่หรงอานถึงที่ด้วยตัวเองเพื่อสร้างภาพลักษณ์บังหน้า พิธีเคารพศพของมู่หรงอานทำอย่างเรียบง่ายและรวดเร็วตามพระราชโองการของฮ่องเต้แคว้นหวา กล่าวง่ายๆ ก็คือ…กระจอกอย่างมาก
อย่าว่าแต่องค์ชายเลย เพราะแค่พิธีศพของเหล่าขุนนางตระกูลชั้นสูงทั่วไปยังยิ่งใหญ่คึกคักกว่านี้เสียอีก ยกเว้นแต่แขกเหรื่อที่มาร่วมงานศพนับว่าแน่นขนัดพอสมควร
มู่หรงอวี้สวมชุดสีขาวยืนอยู่ในห้องของมู่หรงอาน ถึงแม้ร่างของมู่หรงอานจะถูกเก็บไปแล้ว แต่ทุกอย่างในห้องกลับยังคงเหมือนเดิม มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วทรงดาบอยู่ในห้องอันเงียบสงบแห่งนี้
เขาเพิ่งออกจากจวนหนิงอ๋องไปมู่หรงอานก็สิ้นใจจากไปแล้ว นี่จะไม่น่าแปลกไปหน่อยหรือ เขาเชื่อว่าเหล่าพี่น้องที่อยู่ด้านนอกในตอนนี้ก็คงไม่รู้จะกุข่าวลืออะไรแปลกๆ เพื่อปลอบขวัญเขาแล้ว เพราะแม้แต่เขาเองยังคิดว่ามู่หรงอานตายเร็วเกินไปเหมือนกัน
ตอนที่เขาออกจากจวนหนิงอ๋องไป หมอหลวงเคยบอกว่าภายในวันสองวันนี้มู่หรงอานไม่มีทางเป็นอะไรไปแน่นอน แต่ตอนผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามมู่หรงอานกลับสิ้นใจไปเสียอย่างนั้น แล้วจะไม่สะกิดต่อมสงสัยได้เช่นไรกัน
“ท่านอ๋อง” ผู้ดูแลจวนมายืนข้างกายมู่หรงอวี้ด้วยท่าทีระมัดระวัง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตอนนี้ท่านอ๋องคงอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นเขาจึงต้องยิ่งระมัดระวังมากกว่าเดิม
มู่หรงอวี้นั่งลงเอ่ยเสียงขรึม “หลังจากที่ข้าไปแล้วมีใครมาอีกหรือไม่”
ผู้ดูแลจวนส่ายศีรษะกล่าว “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ นับตั้งแต่องค์ชายแปดได้รับบาดเจ็บ นอกจากช่วงแรกๆ ที่มีเหล่าอ๋องและองค์ชายแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนแล้ว จากนั้นก็ไม่มีใครแวะมาอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้จับจ้องถ้วยชาสองใบบนโต๊ะตรงหน้าเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้ว…ถ้วยชาสองใบนั่นคืออะไรกันเล่า”
ถ้วยชาเปล่าสองใบ หนึ่งในนั้นยังเหลือชาอยู่อีกครึ่งถ้วย แต่คงไม่มีทางมีใครโผล่เข้ามาฆ่าองค์ชายแปดถึงสองคนแล้วนั่งดื่มชาสองถ้วยกันต่อก่อนจะจากไปหรอกกระมัง ผู้ดูแลจวนกลืนคำพูดที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยออกมากลับเข้าไป ชั่งใจครู่หนึ่งถึงเอ่ย “แต่หมอหลวงก็ตรวจสอบแล้วว่าบนร่างกายขององค์ชายแปดไม่มีรอยบาดแผลใด อีกทั้งไม่มีร่องรอยว่าโดนพิษใดด้วย” มองดูแล้วทุกอย่างปกติดี ราวกับมู่หรงอานนอนหลับตายไปในห้วงฝันจริงๆ
แต่มู่หรงอวี้รู้ว่าความจริงไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่นอน ทว่าจู่ๆ เขาก็นึกถึงมู่หรงซีที่เรียกรั้งตนไว้ในระหว่างทางและมาส่งตนถึงจวนด้วยตัวเองในตอนนั้น มู่หรงอวี้ยิ่งมั่นใจมากว่าเป็นฝีมือของมู่หรงซี แต่เขาไม่มีหลักฐาน หลังจากอำนาจของจวนกงอ๋องมลายหายไป กำลังที่เดิมทีวางไว้ในจวนผิงอ๋องก็ว่างเปล่าในทันทีเลยสืบข่าวคราวที่มีประโยชน์อะไรมากไม่ค่อยได้
คนของมู่หรงซีจงใจทิ้งเบาะแสเช่นนี้ไว้ เห็นได้ชัดว่าเจตนายั่วโมโหเขาชัดๆ เพราะเขารู้ความจริงแต่กลับพูดออกไปไม่ได้และยิ่งไม่มีหลักฐานด้วย หากตอนนี้เขาพูดออกไปว่ามู่หรงอานถูกมู่หรงซีฆ่าตาย จะมีใครเชื่อเขาบ้างเล่า
ตอนนี้…เขาทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้เท่านั้น
“ท่าน…องค์ชายหก ฝูอ๋อง ผิงอ๋อง เหล่าท่านอ๋องและองค์ชายคนอื่นๆ มากันแล้วพ่ะย่ะค่ะ” คนของจวนหนิงอ๋องรีบเข้ามากล่าวรายงานอย่างรวดเร็ว
มู่หรงอวี้ปิดตาลงเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้ารู้แล้ว”
ในจวนหนิงอ๋องแขวนผ้าสีขาวไว้ทุกซอกมุม ทั่วทั้งจวนตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบและโศกเศร้า ส่วนห้องโถงได้จัดเตรียมวางศพของมู่หรงอานเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว แม้ว่าจะจากไปอย่างกะทันหัน แต่มู่หรงอานก็ยังถูกเก็บใส่โรงไม้ลายสีทองตามลำดับชั้นขององค์ชายเช่นเดิม
ฝูอ๋องมู่หรงเค่อเดินนำหน้ามา เหล่าอ๋องและพระชายาต่างเข้ามาจุดธูปกราบไหว้ไว้อาลัยด้วยตัวเอง มู่หรงอวี้ยืนยิ้มหน้านิ่งอยู่ด้านข้างพอเป็นพิธี ในเมื่อมู่หรงอานไร้ทายาทและไร้พระชายา เรื่องนี้จึงย่อมตกเป็นหน้าที่ของพี่ชายอย่างมู่หรงอวี้อยู่แล้ว
“น้องหก ขอแสดงความเสียใจด้วย” พอคิดๆ ดูแล้ว ฝูอ๋องเลยเอ่ยปลอบประโลมน้องชายด้วยความจริงใจไปที มู่หรงอวี้พยักหน้าก่อนจะเหลือบมองเหล่าพี่น้องที่แสดงสีหน้าแตกต่างกันออกไปแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบ “ขอบพระทัยพี่ใหญ่ ขอบพระทัยพี่ๆ น้องๆ คนอื่นๆ ด้วย”
“องค์หญิงหมิงเวยเสด็จ! องค์หญิงหมิงเจ๋อเสด็จ!”
ฉับพลันด้านนอกประตูก็มีเสียงสูงแหลมดังแว่วเข้ามา มู่หรงอวี้ยังไม่ทันเดินเข้าไปต้อนรับ ไม่นานก็มีเสียงดังต่อเนื่องขึ้นว่า “ตวนอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์เสด็จ! องค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์เสด็จ! องค์หญิงไหวหยางเสด็จ!”
“เลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นเสด็จ! หย่งจยาจวิ้นจู่เสด็จ!”
มู่หรงจ้าวแค่นเสียงเบาเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ขุนนางทูตของแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่นจะมาด้วย พี่แปดมีหน้ามีตามากทีเดียว”
คำพูดนี้ไม่น่าฟังเลยจริงๆ โดยเฉพาะยามที่พูดต่อหน้าวิญญาณผู้ตายเช่นนี้ แต่เหมือนทุกคนในงานต่างก็รู้สึกว่าเขาพูดไม่ผิดเลย แม้แต่มู่หรงอวี้ยังทำได้แค่กวาดตามองมู่หรงจ้าวด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง มู่หรงเสียขวดคิ้วมุ่นกล่าว “พวกเราออกไปต้อนรับขุนนางทูตของแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่นก่อนดีกว่า”
สำหรับสองพี่น้องมู่หรงอานและมู่หรงซีแล้ว พี่น้องคนอื่นๆ อย่างพวกเขาถือว่าเป็นคนนอก แต่สำหรับขุนนางทูตแล้ว เหล่าอ๋องและองค์ชายอย่างพวกเขากลับถือว่าเป็นคนกันเองเพราะล้วนแสดงถึงหน้าตาของแคว้นหวาทั้งนั้น
ทุกคนต่างขานรับแล้วเดินตามมู่หรงเค่อและมู่หรงซีออกไปต้อนรับด้วยกัน
มู่ชิงอีเองก็นึกไม่ถึงว่ายามที่มาถึงจวนหนิงอ๋องพร้อมกับองค์หญิงหมิงเวยจะเจอะเจอพี่น้องอย่างหรงจิ่น หรงเหยี่ยนและองค์หญิงไหวหยางเข้าพอดี เพิ่งยืนทรงตัวได้ยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยอะไร เกอซูฮั่นก็พาหย่งจยาจวิ้นจู่มาถึงแล้ว
ถึงแม้พิธีของทั้งสามแคว้นจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะมีหลายคนเปลี่ยนไปสวมชุดสีอ่อนไม่ฉูดฉาดตา ทว่าหรงจิ่นกลับยังคงสวมชุดผ้าแพรสีดำเฉกเช่นเดิม แต่พอมองๆ ดูแล้วกลับชวนให้รู้สึกถึงความหรูหราสง่างามและดึงดูดสายตาไม่น้อย เขาช่างชวนให้ใครต่อใครต่างเกลียดเขาได้ทุกเวลาจริงๆ
“เอ๊ะ ชิงชิงคนงามนี่นา” ครั้นเห็นมู่ชิงอี หรงจิ่นก็ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที จากนั้นก็ยิ้มตาหยีเอ่ยทักทาย
มู่ชิงอีอดไม่ได้แสดงท่าทีเอือมระอาใส่เขาไปที ทว่าหรงเหยี่ยนที่อยู่ข้างๆ กลับกวาดตาสำรวจมู่ชิงอีพลางขบคิดอะไรบางอย่าง เอ่ยถามว่า “น้องเก้าสนิทสนมกับองค์หญิงหมิงเจ๋อหรือ”
หรงจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เหตุใดพี่สี่ต้องเอาแต่ถามทุกครั้งไป บอกท่านไปแล้วว่ารู้จักพร้อมยัยอัปลักษณ์แคว้นเป่ยฮั่นอะไรนั่นตอนครั้งก่อนแล้วมิใช่หรือ”
“เจ้าว่าใครเป็นยัยอัปลักษณ์กัน!” น้ำเสียงขึงขังของหย่งจยาจวิ้นจู่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
หรงจิ่นยิ้มเริงร่าหันไปมอง ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ย “ใครรับก็คนนั้นแหละ”
“เกอซูปิง…รู้จักกาลเทศะบ้าง” เกอซูฮั่นเดินรุดเข้ามาด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายพลางมองสีหน้าของหย่งจยาจวิ้นจู่ที่เต็มไปด้วยความโกรธพร้อมส่ายศีรษะ ที่นี่เป็นสถานที่ไว้อาลัย ถึงแม้จะไม่ได้รู้จักสนิทสนมกับมู่หรงอานและไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยสักนิด แต่อย่าแสดงท่าทีระริกระรี้นักได้ไหมเล่า
หย่งจยาจวิ้นจู่หันไปคล้องแขนของเกอซูฮั่นแล้วแลบลิ้นปลิ้นตาใส่หรงจิ่น ไปตายซะ คนชั่ว!
อ่อนหัด! หรงจิ่นกลอกตาใส่อย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็มองมู่ชิงอีด้วยท่าทีน่าสงสาร
มู่ชิงอีอดกุมขมับไม่ได้ ท่านคิดว่าท่านดูปกติไปกว่านางนักหรือ
ครั้นองค์หญิงหมิงเวยเห็นฉากตรงหน้าก็ส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา “พวกน้องหกคงออกมาต้อนรับแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถิด”
ไม่นานพวกมู่หรงอวี้ก็เข้ามาต้อนรับจริงๆ จากนั้นก็นำทุกคนเดินเข้าไป บางคนจุดธูปเคารพศพ บางคนสนทนาพูดคุย ถึงแม้งานศพจะไม่ได้ครึกครื้นอย่างงานอภิเษก หลังจากจุดธูปไหว้แล้ว ใครอยากกลับก็กลับไป ส่วนใครอยากอยู่ต่อก็อยู่ต่อ ดังนั้นคนอย่างมู่ชิงอี หรงจิ่นและหย่งจยาจวิ้นจู่ย่อมกลับอยู่แล้ว แต่พวกหรงเหยี่ยนและเกอซูฮั่นกลับอยู่ต่อ