พอออกจวนหนิงอ๋องมา บุรุษรูปงามที่สวมชุดสีดำบนทางเดินคนหนึ่งและสาวน้อยในชุดต่างแคว้นสีฟ้าอ่อนใบหน้าสะสวยคนหนึ่งก็ยืนประจันหน้ากันพลางถลึงตาจับจ้องอีกฝ่ายอย่างขึงขัง สาวน้อยสวมชุดสีขาวที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาเผยสีหน้าระอาใจน้อยๆ “พวกเจ้าสองคนพอได้แล้ว”
หย่งจยาจวิ้นจู่แค่นเสียงเบาใส่ทีหนึ่ง คว้าแขนของมู่ชิงอีมาแล้วกล่าว “ชิงอี พวกเราจะกลับเป่ยฮั่นกันแล้ว เจ้าไปเที่ยวเล่นเป็นสหายข้าส่งท้ายหน่อยได้หรือไม่”
หรงจิ่นเองก็อยากคว้าแขนอีกข้างของชิงชิงมาเช่นกัน แต่การกระทำเช่นนั้นก็ออกจะดูเหมือนเด็กผู้หญิงเกินไปหน่อย ต่อให้เป็นคนที่หน้าด้านหน้าทนอย่างองค์ชายเก้าก็ทำไม่ลง ดังนั้นเขาเลยทำได้แค่แอบปลอบตัวเองในใจว่า ชิงชิงต้องไปแคว้นเย่ว์กับเขาอยู่แล้ว ส่วนยัยอัปลักษณ์นั่น ชาติหน้าก็คงไม่ได้เจอกันอีก ฉะนั้นข้ายอมให้นางหน่อยแล้วกัน
หย่งจยาจวิ้นที่ได้รับชัยชนะหันไปแสยะยิ้มร้ายกาจใส่หรงจิ่นด้วยท่าทีดีอกดีใจ จากนั้นก็รีบลากตัวมู่ชิงอีจากไปราวกับกลัวว่าองค์ชายเก้าจะไล่ตามไปก็มิปาน บุรุษชุดสีดำที่โดนทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวจับจ้องเงาแผ่นหลังที่เดินจากไปของพวกนางด้วยแววตาหม่นลง กระทั่งใบหน้าหล่อเหลาในเดิมทีของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเดียวกันกับเสื้อผ้าของเขา
จริงๆ เลย…อยากตีหัวของยัยอัปลักษณ์นั่นให้ระเบิดเหลือเกิน
“ชิงอี...” รอกระทั่งวิ่งลับตามองไม่เห็นหรงจิ่นแล้ว หย่งจยาจวิ้นจู่ถึงชะงักฝีเท้าแล้วลากมู่ชิงอีมาหยุดตรงริมสะพานหินทิวทัศน์งดงามแห่งหนึ่ง จากนั้นถึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราจะกลับเป่ยฮั่นแล้วนะ”
มู่ชิงอีผงะไปเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ใช่ว่ายังเหลือเวลาอยู่อีกหน่อยหรือ” เพราะเหลือเวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะถึงงานอภิเษกขององค์ชายเก้าและองค์หญิงไหวหยาง
หย่งจยาจวิ้นจู่ส่ายศีรษะเอ่ยอย่างอาลัยอาวรณ์ “พี่สิบเอ็ดบอกว่ามีธุระต้องกลับไปจัดการที่เป่ยฮั่น รอหลังจากกราบไหว้ศพหนิงอ๋องวันนี้แล้ว พี่สิบเอ็ดก็จะเข้าวังไปทูลลาฮ่องเต้แคว้นหวาเลย อย่างช้าที่สุดพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องออกเดินทางแล้ว”
มู่ชิงอีรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ในเมื่อใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา ถึงอย่างไรหย่งจยาจวิ้นจู่ก็มิใช่คนแคว้นหวาย่อมไม่มีทางอยู่แคว้นหวาไปตราบชั่วชีวิตอยู่แล้ว
“เจ้าไม่อยากกลับเป่ยฮั่นหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามพลางเผยรอยยิ้ม
หย่งจยาจวิ้นจู่กลอกตาใส่นางอย่างไม่สบอารมณ์นัก จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาบีบแก้มเรียวงามของนางพลันแสร้งเอ่ยอย่างโมโหว่า “ข้าต้องอยากกลับอยู่แล้ว แม้แต่อยู่ในห้วงฝันข้าก็ยังคิดถึงเป่ยฮั่นเลย แต่ข้าไม่อยากจากเจ้าไปต่างหาก”
มู่ชิงอีรู้สึกอุ่นวาบในใจ ยื่นมือไปโอบหย่งจยาจวิ้นจู่แล้วเอ่ย “ข้าเองก็ไม่อยากแยกจากกับเจ้าเหมือนกัน ต่อให้วันหน้าเจ้ากลับไปแล้ว ข้าก็หวังว่าเราจะยังเป็นมิตรแท้กันตลอดไป” หลังจากใช้ชีวิตมาสองภพชาติ ถือได้ว่าหย่งจยาจวิ้นจู่เป็นสหายคนหนึ่งที่มีความจริงใจอันบริสุทธิ์ที่สุดตั้งแต่เคยคบมาของนางแล้ว กระทั่งมู่ชิงอียังคิดว่าการจากลาเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรดีเลย เพราะอย่างน้อยในความทรงจำระหว่างกัน พวกนางก็กลายเป็นมิตรแท้ที่ดีต่อกันแล้ว
“ฮือๆ…เหตุใดชิงอีถึงไม่กลับเป่ยฮั่นไปกับข้าเล่า” หย่งจยาจวิ้นจู่โผกอดมู่ชิงอีแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์ สตรีในราชวงศ์ของแคว้นเป่ยฮั่นมีไม่มากนัก ดังนั้นต่อให้หย่งจยาจวิ้นจู่จะไม่ได้เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเกอซูฮั่นแต่กลับได้รับความโปรดปรานขนาดนี้ ถึงแม้นางจะมีสหายที่เป่ยฮั่นมากมาย แต่สตรีที่เป่ยฮั่นกลับอ่อนโยนสง่างามและละเอียดอ่อนสู้หญิงสาวแคว้นหวาไม่ได้เลย และไม่มีใครทำให้หย่งจยาจวิ้นจู่รู้สึกถูกชะตาได้อย่างมู่ชิงอีแล้ว
มู่ชิงอียกมือขึ้นลูบหลังนางอย่างจนใจ เอ่ยปลอบประโลมว่า “วันหน้าหากมีโอกาส ข้าไปเยี่ยมเจ้าแน่นอน”
“จริงหรือ!!” หย่งจยาจวิ้นจู่กะพริบตากลมโตปริบๆ จ้องมองอย่างคาดคั้น ทำเอามู่ชิงอีหมดคำพูด นางสังเกตว่ามีบางจุดที่หย่งจยาจวิ้นจู่และหรงจิ่นละหม้ายคล้ายกันนัก ไม่แปลกใจที่สองคนนี้ถึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน
“จริงสิ”
หย่งจยาจวิ้นจู่ตะโกนโห่ร้องอย่างดีอกดีใจขึ้นมาทันที “ข้ารู้อยู่แล้วว่าชิงอีเป็นสหายที่ใจถึงที่สุดแล้ว” มู่ชิงอีที่ถูกใครบางคนกอดอยู่ในอ้อมอกพลันหมดคำจะพูด
แม่นางเอ๋ย ข้าก็ไม่ได้เป็นสหายที่ใจถึงมากอะไรนักหรอก เจ้าไม่เคยไตร่ตรองบ้างเลยหรือ…ปกติแล้วจะมีคนตระกูลสูงศักดิ์คนใดรอนแรมเดินทางหลายพันลี้ไปเยี่ยมเจ้าถึงเป่ยฮั่นเล่า ข้าก็แค่พูดปลอบใจเจ้าเท่านั้นเอง
ขณะที่หย่งจยาจวิ้นจู่ดีอกดีใจ ความคิดของมู่ชิงอีก็เปลี่ยนไปคิดเรื่องที่เกอซูฮั่นใกล้ออกจากเมืองหลวงแล้ว หย่งจยาจวิ้นจู่บอกว่าเป่ยฮั่นมีธุระต้องให้เลี่ยอ๋องเป็นคนไปจัดการ แต่นางไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก เกอซูฮั่นคุมอำนาจดูแลทหารนับล้านของเป่ยฮั่นจึงแทบไม่เข้าไปวุ่นวายเรื่องงานในราชสำนักเลย นอกเสียจากเป่ยฮั่นจะเปิดศึกกับแคว้นเย่ว์หรือแคว้นหวาเท่านั้น มิเช่นนั้นคงไม่เรียกตัวเกอซูฮั่นรีบกลับแคว้นไปเช่นนี้กระมัง
หากสองแคว้นนี้เปิดศึกขึ้นมาจริงๆ ข่าวของทางฝั่งแคว้นเย่ว์ไม่มีทางช้าไปกว่าเป่ยฮั่นแน่นอน แต่ตวนอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์กลับไม่มีท่าทีอะไรเลย ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ…เกอซูฮั่นคิดว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับแคว้นหวาแน่ ในฐานะที่เป็นเลี่ยอ๋องของแคว้นเป่ยฮั่นจึงไม่อยากเข้าไปเกี่ยวพันด้วย
หากเป็นเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ…จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ
ห้องหนังสือของจวนหนิงอ๋องนั้นเงียบสงบ ณ ลานนอกห้องหนังสือมีลูกน้องคนไม่สนิทอยู่ประปราย หากยามปกติใครอยากเข้าไปใกล้ห้องหนังสือแล้วล่ะก็คงถูกคนเข้ามาขวางไว้แน่ แต่บัดนี้เจ้านายของจวนหนิงอ๋องลาลับโลกนี้ไปแล้ว คนทั่วไปจึงไม่มีใครอยากเข้าไปในห้องหนังสือของเขาแล้ว
ในลานด้านหน้ามีเสียงเพลงโศกเศร้าดังแว่วมา จึงขับให้ทั่วทั้งห้องหนังสือยิ่งเงียบเหงามากกว่าเดิม
มู่หรงอวี้นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือด้วยสีหน้าเศร้าหมองพลางจับจ้องใบหน้าสบายๆ ของหรงเหยี่ยนตวนอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากเขานัก
หรงเหยี่ยนกลับไม่ใส่ใจสีหน้าของเขา ทว่าเพียงยิ้มบางเอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดกงอ๋องยังต้องลังเลอีกเล่า กงอ๋องอ่อนข้อให้พวกเขา แต่จื้ออ๋อ งองค์ชายเจ็ดและผิงอ๋องกลับไม่มีท่าทีอ่อนข้อให้กงอ๋องเลยสักนิด”
มู่หรงอวี้สีหน้าหม่นลงมากกว่าเดิม ใจดีอ่อนข้ออะไรนี่เป็นเพียงคำพูดประจบเอาใจของหรงเหยี่ยนก็เท่านั้น มู่หรงอวี้เคยอ่อนข้อให้พี่น้องเขาด้วยหรือ เพียงแต่ไม่สบโอกาสก็เท่านั้น ทว่าตอนนี้โอกาสกลับถูกพี่น้องของเขาคว้าโอกาสไว้ได้ก่อนแล้ว
“ข้าก็แค่นึกแปลกใจ แคว้นเย่ว์ต้องเกี่ยวดองกับแคว้นหวาอยู่แล้วมิใช่หรือ หากจัดการเรื่องไม่สำเร็จขึ้นมา ตวงอ๋องก็น่าจะรู้จุดจบขององค์หญิงไหวหยางดีกระมัง” มู่หรงอวี้เลิกคิ้วถาม
“หืม? กงอ๋องเป็นกังวลเรื่องนี้ด้วยหรือ” หรงเหยี่ยนยักคิ้วอย่างขบขัน “องค์หญิงของแคว้นเย่ว์มีมากมายก่ายกอง…ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องจะปรองดองกันหรือเปิดศึกกันระหว่างสองแคว้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว หากมีผลประโยชน์ตามมาที่มากกว่านั้น อย่าว่าแต่ตอนนี้ไหวหยางกับองค์ชายเก้ายังไม่อภิเษกกันเลย ต่อให้ในงานอภิเษกก็ช่าง หรือกงอ๋องจะไม่ทำลายงานอภิเษกหรืออย่างไร”
มู่หรงอวี้จ้องลึกไปยังดวงตาของหรงเหยี่ยนแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ตวนอ๋องช่างใจเหี้ยมจริงๆ”
“คนที่กระทำการใหญ่สำเร็จจะใจอ่อนต่อสตรีมิได้” หรงเหยี่ยนแสดงท่าทีไม่ใส่ใจสักนิด ในเมื่อทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไร ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำตัวเป็นคนจิตใจดีตบตาอีกฝ่าย
“ข้าขอเวลาไตร่ตรองดูก่อน” มู่หรงอวี้ปิดตาลงเอ่ย ทว่าเปลือกตาที่ขยับถี่ยิบนั้นกลับแสดงให้เห็นว่าในใจของเขาไม่ได้สงบเหมือนภายนอกเลย
หรงเหยี่ยนเลิกคิ้วถาม “กงอ๋องยังเหลือเวลาให้คิดตรึกตรองอีกหรือ หากไม่ใช่เพราะหนิงอ๋องตายถูกเวลาพอดี เกรงว่าเวลานี้กงอ๋องคงเกือบโดนจื้ออ๋องและองค์ชายเจ็ดจับเข้าคุกเทียนสวรรค์แล้วกระมัง พอถึงตอนนั้นคงไม่มีโอกาสมานั่งเสียใจทีหลังแล้วจริงๆ”
“ตวนอ๋อง!” มู่หรงอวี้คำรามเสียงเข้มอย่างหงุดหงิด จากใบหน้าหล่อเหลาในวันวาน บัดนี้ปรากฏเส้นเลือดตรงหน้าผากปูดโปน อารมณ์บูดบึ้ง ไร้คราบองค์ชายบุคลิกอ่อนโยนงามสง่าในตอนแรกอย่างสิ้นเชิง มู่หรงอวี้มองหรงเหยี่ยนพลางเอ่ยเสียงเย็นชา “พวกเขา…เป็นพี่น้องของข้า…”
หรงเหยี่ยนยิ้มเย้ยหยัน “แล้วมู่หรงซีมิใช่พี่น้องของกงอ๋องหรือ เอาเถิด…คิดว่าข้าว่างมากเกินไปแล้วกัน ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา…ถือว่าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลยจะดีกว่า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับกงอ๋อง ปีหน้าในเวลาเดียวกันนี้ข้าจะดื่มสุราเพื่อเคารพศพจากที่ไกลๆ แก่ท่านสักจอกก็แล้วกัน ” พอพูดจบ หรงเหยี่ยนก็ลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป