ไม่รู้ว่าบุรุษในชุดดำมาปรากฏตัวอยู่ตรงปากประตูทางเข้าออกในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไร สองดวงตาดุดันกำลังจับจ้องสาวน้อยผมยาวปิดไหล่ที่สวมชุดขาวตรงหน้าพร้อมหนังสือในมือ
“ประวัติศาสตร์สิบห้าแคว้นอย่างนั้นหรือ องค์หญิงหมิงเจ๋อมีความสนใจที่ไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าเล่าถึงเป็นจอมวางแผนขนาดนี้”
ครั้นเห็นคนตรงหน้า มู่ชิงอีก็แอบใจหายวาบ จากนั้นนางก็วางหนังสือในมือลงเอ่ยยิ้มบาง “คงสู้องค์ชายหกมิได้ ดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังว่างมาสนทนาในห้องนอนของเด็กสาวอีกหรือ”
“เด็กสาวหรือ” ราวกับมู่หรงอวี้ได้ยินเรื่องขบขันก็มิปาน เขายิ้มเย็นชา มู่หรงอวี้ที่มักสวมชุดสีอ่อนขับให้ดูอ่อนโยนสง่างาม แต่เพราะสวมชุดดำกลับทำให้มีกลิ่นอายของความอันตรายขึ้นไม่น้อย “จะมีเด็กสาวตระกูลใดเจ้าคิดเจ้าแผนการได้เท่าองค์หญิงหมิงเจ๋อเช่นนี้บ้างเล่า คอยบงการปั่นหัวเหล่าคนมีอำนาจในเมืองหลวงและข้าหรือกระทั่งเสด็จพ่อ หากเรียกว่านังอสรพิษยังว่าไปอย่าง”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วน้อยๆ ยิ้มบาง “นังอสรพิษหรือ องค์ชายหกหมายถึงจูซื่อหรืออย่างไรกัน”
“เจ้ากำลังยั่วโมโหข้าหรือ” มู่หรงอวี้แววตาหม่นลงเอ่ยถามเสียงเย็นชา “เจ้า!” ขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไรออกมา ด้านหลังก็มีลมแรงพัดมาปะทะ มู่หรงอวี้ตกตะลึงเพราะคิดไม่ถึงว่าข้างกายมู่ชิงอีจะมียอดฝีมือเช่นนี้ด้วย เขารีบเบี่ยงตัวหลบ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าฮ่องเต้แคว้นหวาส่งตัวเนี่ยอวิ๋นมาคอยอารักขามู่ชิงอีนานแล้ว แต่ใช่ว่าเนี่ยอวิ๋นจะคอยเฝ้าติดตามอยู่ข้างกายมู่ชิงอีตลอดเวลาเสียเมื่อไร เพราะเพื่อรักษาชื่อเสียงขององค์หญิงหมิงเจ๋อไม่ให้ใครก่นด่าเสียๆ หายๆ แต่ไหนแต่ไรมาตอนกลางคืนเนี่ยอวิ๋นจะไม่อยู่ในเรือนรับรองหมิงฟังและเรือนหลานจื่อเลย
ทันทีที่อู๋ซินลงมือก็พุ่งโจมตีใส่ลูกเดียว กระทั่งบีบให้มู่หรงอวี้ถอยหลังไปหลายก้าวจนมาหยุดอยู่ข้างกายมู่ชิงอีถึงพรูลมหายใจออกมา ในฐานะองครักษ์ติดตามคนหนึ่ง ในเมื่อปล่อยผู้บุกรุกคนหนึ่งสนทนากับคุณหนูอยู่นานถึงจะปรากฏตัว เห็นได้ชัดว่าเขาทำหน้าที่ได้หละหลวมอย่างที่สุด
ทว่าจะโทษอู๋ซินก็ไม่ได้ เพราะเดิมทีสถานการณ์อันตรายที่มู่ชิงอีถึงขั้นต้องใช้ยอดฝีมือมีไม่มากนัก อีกทั้งมู่ชิงอีเองก็ไม่อยากให้อู๋ซินคอยเฝ้าคุ้มกันตนอยู่ด้านนอกยามดึกดื่นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีอู๋ซินเพียงคนเดียว ถึงอย่างไรก็ต้องพักผ่อนบ้าง หากต้องมียอดฝีมือเช่นนี้คอยคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นวันหน้ายามที่มู่ชิงอีอยู่เพียงลำพังคงไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว
“อิ๋งเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง” มู่ชิงอีเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
ถึงแม้อู๋ซินจะไม่ได้เฝ้าดูแลความปลอดภัยในตอนกลางคืน แต่อิ๋งเอ๋อร์และจูเอ๋อร์กลับยืนกรานจะนอนห้องด้านนอกเพื่อคอยรับใช้มู่ชิงอีในยามกลางคืนได้ทุกเวลา วันนี้เป็นเวรของอิ๋งเอ๋อร์ มู่หรงอวี้ไม่ใช่คนใจอ่อนเมตตาอะไร หากอิ๋งเอ๋อร์เกิดเป็นอะไรขึ้นมา นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้ความกระจ่างแก่เฝิงจื่อสุ่ยเช่นไรดี
อู๋ซินมองมู่หรงอวี้ด้วยท่าทีระแวงแล้วเอ่ยเสียงนิ่ง “คุณหนูไม่ต้องกังวลไป นางแค่หมดสติไปเท่านั้น”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น มู่ชิงอีถึงผ่อนลมหายใจออกมา
มู่หรงอวี้หรี่ตาจับจ้องอู๋ซิน จากนั้นถึงหันมาถามมู่ชิงอีว่า “เขาเป็นใครกัน” มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยเสียงเรียบ “เหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ได้เกี่ยวกับกงอ๋องกระมัง”
มู่หรงอวี้ยิ้มเย็นชากล่าว “เจ้าคิดว่าลำพังแค่เขาจะขวางข้าได้หรือ”
อู๋ซินเอ่ย “ลองดูก็รู้แล้ว”
มู่หรงอวี้มองมู่ชิงอีเชิงเย้ยหยันกล่าว “เจ้าคิดว่ามู่ฉังหมิงจะช่วยเจ้าหรือ” มู่ชิงอีตอกกลับเสียงเรียบ “เขาจะช่วยข้าหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่เขาก็คงไม่ช่วยท่านหรอกกระมัง”
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู!” พูดจบ มู่หรงอวี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีกก่อนชักดาบอ่อนเล่มหนึ่งมาจากเอวแล้วพุ่งเข้าใส่อู๋ซิน อู๋ซินเผยสีหน้าเย็นยะเยือกผลักมู่หรงอวี้ที่กระโจนเข้ามาออกไป ถึงแม้หากเทียบแล้วมู่หรงอวี้กับเหล่ายอดฝีมืออันดับต้นๆ อย่างหรงจิ่นและเว่ยอู๋จี้ฝีมือจะห่างชั้นกันอยู่ไม่น้อย แต่ในเมื่อเขาขึ้นชื่อว่าเก่งรอบด้าน เช่นนั้นวิทยายุทธของเขาก็แค่เป็นรองจ้าวจื่ออวี้เท่านั้น ถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่ยามปกติไม่จำเป็นต้องให้เขาออกโรงเอง ดังนั้นคนที่เห็นฝีมือวิทยายุทธของเขาจึงมีไม่มากนัก
ทั้งสองปะทะฝีดาบกัน อู๋ซินสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าฝีมือที่แท้จริงของมู่หรงอวี้นั้นไม่ธรรมดาเลย เขาหันไปส่งสายตาให้มู่ชิงอีสื่อว่าให้นางรีบหนีไป ถึงแม้มู่ชิงอีจะเข้าใจสิ่งที่อู๋ซินสื่อ แต่กระนั้นนางก็เป็นแค่สาวน้อยร่างบอบบางไร้ความสามารถคนหนึ่งจริงๆ อีกทั้งประตูห้องก็ถูกพวกเขาสองคนที่กำลังสู้อยู่ขวางเอาไว้ หากจะให้นางหนีออกไปทางหน้าต่างก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้เลย
มู่หรงอวี้ฉีกยิ้มเย็นชาพร้อมปัดดาบของอู๋ซินออกได้ในครั้งเดียว “วิทยายุทธไม่เลวเลย แต่หากคิดจะขวางทางข้าคงอ่อนหัดไปหน่อย”
“ไม่หรอก!” อู๋ซินเอ่ยเสียงขรึม แรงที่ใช้ประทะก็ดุเดือดขึ้นทุกที ครั้นถูกอู๋ซินตามรังควานไม่เลิก มู่หรงอวี้ก็นึกรำคาญใจขึ้นมา “ออกมา!”
คนชุดดำสองคนปรากฏตัวตรงหน้าประตู ไม่ต้องรอมู่หรงอวี้ออกคำสั่งก็พุ่งเข้าไปจัดการอู๋ซินแล้ว ส่วนมู่หรงอวี้ก็รีบวางมือเข้ามาจับตัวมู่ชิงอีไว้ อู๋ซินรีบรุดหน้ามาหมายจะขวางเขาไว้ ทว่ากลับถูกคนชุดดำทั้งสองที่น่าเหนื่อยหน่ายมาขวางทางไว้ก่อน จากนั้นก็ทำได้แค่มองมู่ชิงอีตกอยู่ในเงื้อมมือของมู่หรงอวี้เต็มสองตา ภายใต้ท่าทีตกใจเช่นนั้นเลยทำให้บนร่างผุดบาดแผลขึ้นมาไม่น้อย
หลังจากมู่หรงอวี้คว้าตัวมู่ชิงอีมาได้ก็แสดงท่าทีพึงพอใจในทันที จากนั้นก็มองอู๋ซินที่กำลังต่อสู้หมายจะพุ่งเข้ามาด้วยสายตาเย็นยะเยือก แสยะยิ้มกล่าว “ฆ่าทิ้งเสีย!”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่น ครั้นตาเห็นว่ามู่หรงอวี้จะพาตนกระโดดออกทางหน้าต่าง นางจึงตะโกนบอกอู๋ซิน “รีบหนีไป!”
อู๋ซินผงะ เวลานี้เขารู้ตัวดีว่าตนจนปัญญาจะช่วยมู่ชิงอีได้ เขากัดฟันกวาดตามองคนชุดดำทั้งสองแล้วกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่างมุ่งหน้าหนีออกไปทางด้านนอกจวนซู่เฉิงโหว มู่หรงอวี้ที่ยังอยู่ในจวนหรี่ตามองอู๋ซินที่วิ่งห่างออกไปแวบหนึ่งแล้วออกคำสั่งเสียงเย็นยะเยือก “ตามไป! หากรอดต้องเห็นตัว หากตายต้องเห็นศพ!”
“กงอ๋อง นี่ทำอันใดกันหรือ” เวลาไม่นานนี้เอง ถึงแม้เสียงในเรือนหลานจื่อจะไม่ดังนักแต่กลับรบกวนคนอื่นไม่น้อย มู่ฉังหมิงรีบออกมาพลันมองมู่หรงอวี้ที่สวมชุดดำตรงหน้า จากนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทีตกใจ
ควรรู้ก่อนว่าตอนนี้มู่หรงอวี้ถูกฮ่องเต้แคว้นหวารับสั่งให้กักบริเวณอยู่ภายในจวน บัดนี้เขาไม่ใช่แค่หนีออกจวนโดยพลการแต่ยังลักพาตัวองค์หญิงหมิงเจ๋อด้วย หากฝ่าบาททรงทราบเข้า เกรงว่าวันตายของมู่หรงอวี้คงมาถึงจริงๆ แล้ว
ทว่ามู่หรงอวี้กลับไม่มีท่าทีเคร่งเครียดใดเลย มือหนึ่งจับมู่ชิงอีไว้ จากนั้นก็มองมู่ฉังหมิงด้วยแววตาดุดันเอ่ย “ท่านโหว ไม่เจอกันหลายวัน สบายดีหรือไม่เล่า”
มู่ฉังหมิงสีหน้าดูไม่ดีนัก บัดนี้จวนกงอ๋องและจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องอยู่ในคราวตกอับ จวนซู่เฉิงโหวที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนของจวนกงอ๋องจะรอดไปไหนได้ ถึงแม้เขาจะทำอะไรระมัดระวังและไม่ได้ใช้ข้ออ้างโจมตีพวกเขามากนัก แต่ฮ่องเต้แคว้นหวาเองก็เห็นเขาขัดหูขัดตาเช่นกัน มู่ฉังหมิงย่อมทำได้แค่หนีเอาตัวรอดอย่างเดียวแล้ว
“ท่านอ๋องเข้ามาในจวนซู่เฉิงโหวดึกดื่นมืดค่ำเช่นนี้ ทั้งยังคิดจะจับตัวองค์หญิงหมิงเจ๋อไปด้วย กระหม่อมเกรงว่าจะให้ความกระจ่างแก่ฝ่าบาทไม่ได้” มู่ฉังหมิงเอ่ยเสียงขรึม
“ฮ่าๆ…” ฉับพลันมู่หรงอวี้ก็ปล่อยเสียงหัวเราะลั่นออกมา “ให้ความกระจ่างแก่ฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าให้ความกระจ่างแก่เสด็จพ่อได้ แล้วเสด็จพ่อจะปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นหรือ ซู่เฉิงโหว เจ้าเคยทำอะไรมาบ้างย่อมรู้อยู่แก่ใจตัวเองดีกระมัง เจ้าเองก็คงรู้นิสัยของเสด็จพ่อดี แม้แต่โหรวเฟยอุ้มท้ององค์ชาย เสด็จพ่อยังไม่ปรานีนางเลย เจ้าคิดว่าเขาจะปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นหรือ”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของมู่ฉังหมิงก็ขรึมลง ใช่ว่าเขาจะเดาแผนการของฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ออกเลย เพียงแต่เขาเองก็จนปัญญาแล้วก็เท่านั้น
“ไม่ว่าเช่นไร…ท่านอ๋องโปรดปล่อยตัวองค์หญิงหมิงเจ๋อไปเถิด กระหม่อมไม่ทำให้ท่านอ๋องลำบากใจแน่นอน” มู่ฉังหมิงคิดๆ ดูแล้ว ในที่สุดก็ผ่อนลมหายใจ
มู่หรงอวี้เอ่ยดพลางแสยะยิ้ม “ไม่ใช่ว่าเจ้ากลัวให้ความกระจ่างแก่เสด็จพ่อไม่ได้มิใช่หรือ เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าคิดหาวิธีเอง”