ครั้นถูกนางเอ่ยเตือน ฉับพลันมู่หรงอวี้ก็นึกถึงจุดประสงค์ของตนขึ้นได้ สีหน้ากลับมาดุดันอีกครั้ง “องค์หญิงหมิงเจ๋อฝีมือไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้ข้าดูแคลนเจ้าเกินไป”
มู่ชิงอีขยิบตาให้แต่กลับไม่ได้ตอบกลับอะไร เพราะเห็นได้ชัดว่ามู่หรงอวี้ไม่ได้อยากให้นางตอบกลับ “เจ้าวางกลอุบายทำร้ายข้ามาตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ ว่ามา เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับมู่หรงซีตั้งแต่เมื่อไร”
มู่ชิงอีส่ายศีรษะกล่าว “มาถามเรื่องพวกนี้เอาป่านนี้…จะมีความหมายใดหรือ”
มู่หรงอวี้ยิ้มเย็นชา “เจ้าก็พูดถูก ความจริงมันไม่มีความหมายใดเลย มู่หรงซีและกู้ซิ่วถิงอยากเห็นข้าเจ็บปวดกับเรื่องใดหรือ บางทีก่อนที่ข้าจะเจ็บปวดอาจจะชิงทำให้พวกเขาได้ลิ้มรสว่าอะไรที่เรียกว่าความทุกข์ทรมานและความแค้นก่อน เจ้าว่า…ข้าแบ่งเจ้าเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งส่งไปให้มู่หรงซี ส่วนอีกครึ่งหนึ่งส่งไปให้กู้ซิ่วถิง เจ้าคิดเห็นเช่นไรเล่า”
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบด้วยสีหน้าแน่นิ่ง “หม่อมฉันกับพี่ชายเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกัน และยิ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับผิงอ๋องทั้งสิ้น ท่านคิดว่าพวกเขาจะปวดใจเพราะหม่อมฉันได้มากแค่ไหนกัน พวกเขาอยากแก้แค้นท่าน แต่ข้าแค่อยากแก้แค้นให้ท่านแม่ของข้า แต่ละคนต่างมีจุดประสงค์ของตนเองก็เท่านั้น”
“แต่เจ้าให้คนตัดแขนและลิ้นของเสด็จแม่ข้า!” มู่หรงอวี้ตะโกนออกมา มู่ชิงอีเหมือนจะตกใจเล็กน้อย “องค์ชายหกโกรธเพราะเรื่องนี้จริงๆ หรือ” ในใจของมู่หรงอวี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าความรักอยู่จริงๆ ช่างชวนให้นางรู้สึกตกใจเหลือเกิน
“นางเป็นมารดาของข้า!” มู่หรงอวี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เดิมทีในสายตาของมู่ชิงอีราวกับเห็นเขาเป็นสัตว์เดียรัจฉานที่ไร้หัวใจคนหนึ่ง พอเขาแสดงท่าทีมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาจึงทำให้นางตกใจมาก
“ดังนั้นตอนนี้องค์ชายหกเลยคิดจะใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟันอย่างนั้นหรือ”
มู่หรงอวี้จับจ้องนาง ผ่านไปนานถึงเอ่ยว่า “เจ้ากำลังยั่วยุข้าหรือ เจ้าไม่กลัวตายจริงๆ หรือ”
มู่ชิงอีเม้มริมฝีปากเอ่ย “หม่อมฉันย่อมกลัวตายอยู่แล้ว เพียงแต่รู้ว่าตอนนี้หม่อมฉันไม่มีทางตายแน่นอน” หากเป็นมู่หรงอาน มู่ชิงอีไม่มีทางยั่วโมโหเขาแน่นอน เพราะคนอย่างมู่หรงอานต่อให้ไม่ยั่วโมโหก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะฆ่านางทิ้งก่อนโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่มู่หรงอวี้ไม่เป็นเช่นนั้น ถึงแม้เขาจะโกรธสุดขีด มู่หรงอวี้ก็จะยังคงประคองสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้ คนแบบนี้ไร้ความปรานีมากที่สุด แต่บางครั้งกลับรับมือง่ายกว่าคนที่อารมณ์บุ่มบ่ามทำอะไรไม่นึกถึงผลที่ตามมาเหล่านั้นอยู่มาก
มู่หรงอวี้ชะงักไป แต่ไม่นานก็พยักหน้ายิ้มเย็นชากล่าว “เจ้าพูดถูก ตอนนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก”
มู่ชิงอียกยิ้มที่มุมปากแต่ไม่ปริปากพูดอะไร
“บอกข้ามาว่าตอนนี้กู้ซิ่วถิงอยู่ที่ไหน แล้วตระกูลกู้…สมบัติประจำตระกูลกู้ รวมถึงจิ่วจ่วนหลิงหลงก็อยู่ในมือของเจ้ากับกู้ซิ่วถิงใช่หรือไม่” มู่หรงอวี้เอ่ยถามเสียงเย็นเยียบ
มู่ชิงอีหลุบตาลงเอ่ยเสียงเรียบ “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”
มู่หรงอวี้มองแววตางดงามของนางอย่างเห็นใจ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่อยากทรมานเจ้า ดังนั้นทางที่ดีเจ้าพูดออกมาอย่างว่าง่ายเองดีกว่า”
มู่ชิงอีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “หากหม่อมฉันพูดออกไป…องค์ชายหกจะเชื่อหรือ” ในเมื่อนางสามารถหลอกฮ่องเต้แคว้นหวามาได้ครั้งหนึ่งย่อมหลอกมู่หรงอวี้เป็นครั้งที่สองได้เช่นกัน นางสงสัยนักว่าเหตุใดมู่หรงอวี้ถึงคิดว่านางจะพูดความจริง
มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าพูดออกมาก็รู้แล้ว ข้าจะพาไปหา แต่หากหาไม่เจอ…ข้าก็จะขุดหลุมฝังเจ้าไว้ตรงนั้น”
มู่ชิงอีแย้มยิ้มด้วยท่าทีสงบราวกับไม่สนใจคำข่มขู่ของมู่หรงอวี้เลยสักนิด เพียงแค่ถามอย่างจริงจังว่า “องค์ชายหกมีเวลานั้นด้วยหรือ”
มู่หรงอวี้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่มีเวลาแล้วจริงๆ เหล่าพี่น้องทั้งหลายของเขาไม่มีทางปล่อยให้เขาเก็บตัวสำนึกผิดอยู่ในจวนคนเดียวง่ายดายขนาดนั้นหรอก แต่โชคดีเพราะก็ไม่ได้หวังว่าพวกเขาจะปล่อยตัวเขาไปอยู่แล้ว
ครั้นเห็นมู่หรงอวี้เดินวนไปมาในห้องด้วยสีหน้าถมึงทึง มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร นางนั่งลงตรงมุมสงบในห้องมุมหนึ่งพลางจับจ้องเขาอย่างเงียบๆ มู่หรงอวี้จับนางมาเพื่อใช้ข่มขู่พี่ใหญ่กับพี่ชายเท่านั้น เพียงแต่พอตอนที่เขาค้นพบว่านางไม่ใช่ตัวประกันที่มีค่าอะไรจึงอดกระวนกระวายใจไม่ได้
มู่ชิงอีก็รู้ว่าเวลานี้มู่หรงอวี้ไม่มีทางฆ่านางแน่นอน หากมู่หรงอวี้คิดจะฆ่านางจริงคงรีบฆ่าตั้งแต่ก่อนอู๋ซินจะโผล่มาแล้ว ในเมื่อยอมเสียแรงตั้งมากมายเพื่อพานางออกมาย่อมต้องมีประโยชน์ไว้ใช้งานได้บ้างถึงจะถูก นี่ต่างหากคือวิธีคิดของมู่หรงอวี้
ถึงแม้ตอนนี้ดูแล้วเหมือนมู่หรงอวี้จะใจเย็น แต่แววตากลับแสดงความคลุ้มคลั่งออกมารางๆ เห็นได้ชัดมากว่าเขาถูกบีบมาถึงทางตันแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ถ้าไม่ลุกขึ้นมาตอบโต้ก็คงรอชะตามอดม้วย อีกอย่างเห็นได้ชัดว่ามู่หรงอวี้เลือกข้อแรก ครั้นนึกถึงว่าระยะนี้มู่หรงอวี้และหรงเหยี่ยนแอบติดต่อกัน ฉะนั้นตอนนี้สิ่งที่ทำให้มู่หรงอวี้ใจเย็นได้น่าจะเพราะมีที่พักพิงแล้ว และคนๆ นั้น…คงไม่ใช่แค่องค์ชายอย่างหรงเหยี่ยน หรืออาจจะเป็น…มู่หรงเทียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นเย่ว์นั่นเอง
ณ จวนราชทูตแคว้นเย่ว์ บรรยากาศในห้องของหรงจิ่นเย็นเฉียบราวกับถูกน้ำแข็งปิดผนึกไว้ หรงจิ่นมองอู๋ซินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชาเอ่ยเสียงขรึม “เอาคำพูดที่เจ้าเพิ่งบอกเมื่อครู่พูดใหม่อีกครั้งสิ”
อู๋ฉิงที่คอยยืนรับใช้อยู่ด้านข้างอดสะท้านเฮือกไม่ได้ ถึงแม้เห็นสหายรักที่รู้จักกันมาหลายปีบาดเจ็บหนักล้มลงพื้นจนอดเห็นใจไม่ได้ แต่เวลานี้ต่อให้ทำเช่นไรเขาก็ไม่กล้าเข้าไปช่วยประคองตัวอู๋ซินขึ้นมา
อู๋ซินปาดรอยเลือดที่ริมฝีปากก่อนเอ่ยด้วยเสียงนอบน้อม “คุณหนูถูกกงอ๋องจับตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”
“คนไร้ประโยชน์!” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเย็นชา
อู๋ซินเงียบไป เพราะเขาเห็นกงอ๋องจับตัวคุณหนูไปเต็มสองตา แต่เขาก็ยังทิ้งคุณหนูแล้วหนีออกมาอีก ถึงแม้จะเป็นความต้องการของคุณหนูแต่ก็ปกปิดความจริงที่ว่าเขาทำงานไม่ได้เรื่องและไร้ความสามารถไม่ได้เลย
อู๋ฉิงกระแอมเสียงเบาเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “องค์ชาย พวกเรา…ควรไปช่วยคุณหนูก่อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นแค่นเสียงเย็นชา ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกไปข้างนอก อู๋ฉิงรีบคว้าเสื้อกันลมอีกด้านหมายจะสวมให้เขาแต่กลับถูกมือเขาปัดออกแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่จำเป็น”
อู๋ฉิงรีบเดินตามไป ส่วนอู๋ซินที่อยู่ด้านหลังก็รีบลุกขึ้นเดินตามไปเช่นกัน
ยังไม่ทันเดินออกจากประตูใหญ่ก็ถูกหรงเหยี่ยนพุ่งเข้ามาขวางทางไว้ก่อน ครั้นเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของหรงจิ่นร้อนใจจะรีบไปไหนสักแห่งก็เอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “น้องเก้า ดึกดื่นขนาดนี้แล้วจะไปไหนหรือ”
หรงจิ่นเอ่ยอย่างรำคาญใจ “ไปตามหาคน!”
“ตามหาคนหรือ” หรงเหยี่ยนมององครักษ์ด้านหลังของหรงจิ่นด้วยความสงสัยแวบหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงขรึม “องค์ชายเก้าทำเรื่องเหลวไหล พวกเจ้าก็เอากับเขาด้วยหรือ ที่นี่มิใช่แคว้นเย่ว์ของเรา ที่นี่เป็นเมืองหลวงของแคว้นหวา ตอนนี้เป็นเวลาห้ามไม่ให้คนสัญจรด้านนอก เจ้าจะไปตามหาใครกัน หรือเดี๋ยวจะให้ข้าไปขอความช่วยเหลือจากองครักษ์ละแวกนี้”
ถึงแม้คำพูดนี้จะเป็นการตำหนิอู๋ซินและอู๋ฉิง แต่ใครต่างก็รู้ดีว่าเขาจงใจตำหนิหรงจิ่น เพียงแต่หรงจิ่นเป็นคนนิสัยประหลาด หากตำหนิเขาตรงๆ ล่ะก็ ใครจะรู้ว่าเขาจะก่อเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า หรงเหยี่ยนก็แค่กล่าวโทษทางอ้อมเท่านั้น
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาทีหนี่งก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องหรอก เพราะตอนนี้ข้าจะไปศาลอิงเทียนฝู่”
หรงเหยี่ยนอดใจทำท่าทางเอือมระอาใส่เขาไม่ได้ “อยู่ดีๆ เจ้าจะไปศาลอิงเทียนฝู่ทำไมกัน หรือคนที่เจ้าจะไปหาคือเซ่าจิ่น พี่ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนว่าเจ้าจะรู้จักมักคุ้นอะไรกับเขาเลยนี่นา”