พอถูกหรงเหยี่ยนขวางทางไว้เช่นนี้ อารมณ์ของหรงจิ่นก็ยิ่งฉุนเฉียว เขาขึงตามองหรงเหยี่ยนเอ่ยอย่างโมโห “องค์หญิงหมิงเจ๋อถูกมู่หรงอวี้ลักพาตัวไปแล้ว! ข้าจะไปช่วยนาง!”
“องค์หญิงหมิงเจ๋อถูกลักพาตัวไปแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า…เจ้าว่าอย่างไรนะ” ฉับพลันหรงเหยี่ยนก็ร้องขึ้นเสียงสูง ความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงหมิงเจ๋อและหรงจิ่นดีไม่หยอก เรื่องนี้หรงเหยี่ยนรู้ดี หากกล่าวให้ถูกคือหรงจิ่นหน้าด้านตามตื้อองค์หญิงหมิงเจ๋อฝ่ายเดียวมากกว่า หรงเหยี่ยนเองก็นึกสงสัยว่าน้องเก้าผู้นี้ของเขากำลังถูกใจองค์หญิงหมิงเจ๋ออยู่หรือเปล่า ในเมื่อถือว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อก็เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามมากจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่ฮ่องเต้แคว้นหวาแสดงท่าทีเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าไม่ให้องค์หญิงหมิงเจ๋อไปเกี่ยวดองต่างแคว้น
แต่มู่หรงอวี้…มู่หรงอวี้ลักพาตัวองค์หญิงหมิงเจ๋อไปอย่างนั้นหรือ ทันใดนั้นสีหน้าของหรงเหยี่ยนก็หม่นลงและเริ่มสงสัยว่าข่าวที่ตนแอบส่งบอกมู่หรงอวี้ก่อนหน้านี้จะเป็นการกระตุ้นอารมณ์เขามากเกินไป เรื่องแผนการลับของพวกเขายังทำไม่สำเร็จ เหตุใดเขาถึงวิ่งแจ้นไปลักพาตัวองค์หญิงหมิงเจ๋อได้เล่า อีกทั้งยังถูกน้องเก้ารู้เรื่องนี้เข้าด้วย เช่นนี้จะไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือ
“น้องเก้า…เจ้ารู้เรื่องนี้ได้เช่นไร” หรงเหยี่ยนเอ่ยถามอย่างสงสัย หรงจิ่นแค่นเสียงเย่อหยิ่ง “ข้ารู้ได้เช่นไรต้องทูลรายงานท่านด้วยหรือ”
ครั้นเห็นบรรยากาศตึงเครียด อู๋ฉิงก็เปิดปากเอ่ยยิ้มๆ “ทูลตวนอ๋อง องค์ชายเก้ารับสั่งให้อู๋ซินเอาของขวัญเล็กน้อยไปให้องค์หญิงหมิงเจ๋อเลยเจอเข้าพอดี ได้ยินมาว่า…ตอนนั้นซู่เฉิงโหวมู่ฉังหมิงและองครักษ์ของจวนซู่เฉิงโหวก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยไม่น้อย”
หากเป็นคนอื่นอ้างด้วยเหตุผลนี้หรงเหยี่ยนคงไม่เชื่อ แต่เพราะคนอย่างหรงจิ่นทำเรื่องอะไรแปลกๆ มาหมดแล้ว เช่นนั้นการเอาของไปให้หญิงสาวยามดึกดื่นมืดค่ำเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติมาก
หรงเหยี่ยนถอนหายใจเอ่ย “น้องเก้า เวลานี้เป็นช่วงเวลาห้ามออกจวน พวกเราเองก็เป็นคนนอกจะผลีผลามก่อเรื่องวุ่นวายในเมืองหลวงแคว้นหวาไม่ได้ คิดว่าองค์ชายหกแคว้นหวาก็คงไม่ทำอะไรองค์หญิงหมิงเจ๋อง่ายๆ กระมัง สู้เจ้ารีบกลับเข้าไปพักผ่อนในห้องก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าตรู่พวกเราค่อยส่งคนไปสืบถามความจากจวนซู่เฉิงโหวแล้วค่อยว่ากัน หากเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเล่า ถ้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมากลับจะพลอยสร้างความเสื่อมเสียให้องค์หญิงหมิงเจ๋อไปด้วย”
หรงจิ่นจับจ้องหรงเหยี่ยนด้วยสีหน้าขึงขังอยู่พักใหญ่ถึงแค่นเสียงแล้วหมุนตัวเข้าห้องไป หรงเหยี่ยนที่อยู่ด้านหลังพรูลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ทว่าสีหน้ากลับค่อยๆ ขรึมลงมากกว่าเดิม
ครั้นกลับมาถึงห้อง อู๋ฉิงก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “องค์ชาย นี่..”
หรงจิ่นเลิกคิ้วแล้วเดินเข้าไปในห้องด้านในอีกฝั่งพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “อู๋ซิน เจ้ารีบไปรายงานกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซี ส่วนอู๋ฉิง เจ้าคอยเฝ้าประตูไว้ หากใครกล้าย่างกรายเข้ามาก็ฆ่าทิ้งได้เลย”
“แล้ว…องค์ชายเล่า”
“ข้าจะไปหาชิงชิง”
สององครักษ์มองหน้าสบตากันแวบหนึ่ง เพราะพวกเขาโง่เกินไปอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเมื่อครู่องค์ชายเดินป้วนเปี้ยนอยู่ตรงประตูจนตวนอ๋องเข้ามาขวางทางไว้เพื่ออันใดกันเล่า
แต่คำสั่งของหรงจิ่นย่อมไม่มีสิทธิ์ให้คนอย่างพวกเขาได้เอ่ยถาม พวกเขาขานรับอย่างพร้อมเพรียง “ พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
ส่วนในห้องหรงเหยี่ยนที่อยู่อีกฝั่ง หลังจากหรงเหยี่ยนเขียนจดหมายฉบับหนึ่งปิดผนึกเองเรียบร้อยก็ส่งให้องครักษ์คนสำคัญข้างกายกล่าว “รีบเอาไปส่งให้มู่หรงอวี้”
องครักษ์รับจดหมายมาด้วยสองมือแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นเห็นองครักษ์ออกไป สีหน้าของหรงเหยี่ยนก็หม่นลงในทันที เดิมทีวางแผนกันไว้อย่างดิบดี คิดไม่ถึงว่ามู่หรงอวี้กลับทำผิดพลาดเสียเอง หากมู่หรงอวี้จะเสียรู้พ่ายแพ้ให้กับมู่หรงซีและกู้ซิ่วถิงก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเลย ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ยังกล้ากระทำการบุ่มบ่ามตามอำเภอใจอีก!
หากเรื่องแผนการของพวกเขาล่วงรู้ไปถึงคนในแคว้นหวา ไม่ต้องพูดถึงว่ามู่หรงอวี้จะล้มไม่เป็นท่า เกรงว่าแม้แต่พวกเขาเองก็คงไม่ได้กลับแคว้นเย่ว์ได้ง่ายๆ เช่นกัน ส่วนมู่ชิงอี...ก็คงเก็บไว้ไม่ได้ด้วย!
หลังจากองครักษ์ของหรงเหยี่ยนได้รับจดหมายก็มุ่งหน้าออกจากจวนราชทูตแคว้นเย่ว์ไปท่ามกลางความมืด คนที่ทำให้หรงเหยี่ยนฝากฝังเรื่องสำคัญด้วยได้ย่อมเป็นคนที่มีฝีมือไม่ธรรมดา เขาใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็ออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าออกไปที่ใดสักแห่งนอกเมืองหลวงได้แล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าจากมุมที่ไม่ไกลปรากฏร่างคนสวมชุดดำคนหนึ่งกำลังเดินตามหลังห่างจากเขาไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
สถานที่ที่มู่หรงอวี้อยู่ถือว่าอยู่ไม่ไกลเมืองหลวงเท่าไรนัก ออกจากเมืองหลวงมาได้สักพักหนึ่งก็มาถึงเรือนแห่งหนึ่งซึ่งมีสภาพไม่เป็นที่เตะตา เพียงแต่เรือนแห่งนี้มีการคุ้มกันแน่นหนา องครักษ์ผู้นั้นอาศัยจดหมายที่หรงเหยี่ยนให้มาเลยสามารถเข้าไปได้
เมื่อเห็นองครักษ์ผู้นั้นเข้าเรือนนั้นไปเต็มสองตา คนชุดดำที่เดินตามหลังเขามาตลอดก็ลอยตัวลงมาแตะเท้าบนพื้น เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลพลางมองเรือนที่แขวนด้วยโคมไฟเบื้องหน้า บุรุษที่สวมหน้ากากสีเงินลายทองแค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบาเข้าเรือนจากอีกฝั่ง ผ่านไปพักหนึ่งบุรุษชุดดำก็กลมกลืนเข้ากับความมืดแล้วแฝงตัวบุกเข้าไปในเรือนได้ราวกับอีกาสีดำ
ในห้องหนังสือ มู่หรงอวี้จับจ้ององครักษ์ชุดดำตรงหน้าแล้วมองจดหมายในมือด้วยสีหน้าย่ำแย่ ต่อให้ตอนนี้เขาจะตกอับแต่เขาก็เป็นถึงองค์ชายคนหนึ่งของแคว้น ทว่าข้อความในจดหมายของหรงเหยี่ยนกลับไร้ซึ่งความปรานีอย่างสิ้นเชิง เพราะขาดเพียงแต่ไม่ได้ด่าเขาโต้งๆ ว่าโง่เขลาก็เท่านั้น
องครักษ์ชุดดำมองมู่หรงอวี้อยู่เช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าในจดหมายเขียนอะไรบ้าง แต่ในฐานะที่เป็นองครักษ์คนสำคัญของเจ้านายย่อมพอจะเดาออกอยู่บ้าง ด้วยนิสัยของเจ้านายเขาแล้ว เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้เจ้านายไม่มีทางเขียนคำพูดดีๆ ลงไปแน่นอน เขาต้องระวังตัวเพราะภายใต้ความขึงโกรธเช่นนี้ หากกงอ๋องนึกอยากระบายความโกรธขึ้นมาคงแย่ไม่น้อย
มู่หรงอวี้อ่านจดหมายตรงหน้าอยู่นานจนในที่สุดก็ผ่อนคลายลงเอ่ยเสียงขรึม “ท่านอ๋องของพวกเจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน”
องครักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ย “ได้ยินองค์ชายเก้าบอกมาพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีองค์ชายเก้าคิดจะออกมาตามหาองค์หญิงหมิงเจ๋อ แต่ถูกท่านอ๋องเอ่ยเกลี้ยกล่อมจนกลับห้องไป”
“หรงจิ่นหรือ” มู่หรงอวี้มุ่นคิ้วแล้วเอ่ยเสียงนิ่ง “หรือว่าคนๆ นั้นคือคนของหรงจิ่นอย่างนั้นหรือ ไร้ประโยชน์เสียจริง!” เขาส่งตัวยอดฝีมือไปสองคน ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้คนๆ นั้นหนีรอดไปได้ อีกทั้งยังทำให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปด้วย
องครักษ์ขบคิดก่อนกล่าวขึ้นว่า “องค์ชายเก้าถูกตาต้องใจองค์หญิงหมิงเจ๋อ เมื่อคืนส่งคนเอาของไปให้องค์หญิงหมิงเจ๋อ เพราะเขาเอาข่าวกลับไปรายงาน องค์ชายเก้าถึงได้รู้เข้า”
ครั้นได้ยินคำพูดขององครักษ์ มู่หรงอวี้ก็ขมวดคิ้วมุ่นเอ่ย “หรงจิ่นถูกตาต้องใจองค์หญิงหมิงเจ๋ออย่างนั้นหรือ”
องครักษ์พยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ หลังจากงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวา องค์ชายเก้าก็เอาแต่ชื่นชมองค์หญิงหมิงเจ๋อมาตลอด แต่…ได้ยินมาว่าฮ่องเต้แคว้นหวาเคยแสดงพระประสงค์ว่าจะไม่ให้องค์หญิงหมิงเจ๋อไปเกี่ยวดองต่างแคว้น กงอ๋อง ท่านอ๋องรับสั่งมาว่าตอนนี้เขายังพอจัดการองค์ชายเก้าได้ แต่องค์หญิงหมิงเจ๋อคงเก็บไว้ไม่ได้แล้ว” ขอแค่ตายก็จะไร้หลักฐานแล้วค่อยจัดการเก็บกวาดเรื่องหลังจากนี้ แค่นี้ใครก็เป็นพยานไม่ได้ว่าเป็นฝีมือของมู่หรงอวี้แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจะไม่มีใครสงสัยเรื่องแผนการของพวกเขา ถึงอย่างไรมู่หรงอวี้ก็ไม่คิดจะอยู่แคว้นหวาแล้ว ต่อให้ต้องแบกข้อหาฆ่าองค์หญิงหมิงเจ๋อแล้วจะอย่างไรเล่า
“ไม่ได้!” มู่หรงอวี้เอ่ยปฏิเสธเสียงกร้าวคัดค้านทันที ขนาดตัวเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ยังพูดไม่ทันจบเขาก็ผงะไป หลังได้สติกลับมาก็จับจ้ององครักษ์เอ่ยเสียงเย็นชา “องค์หญิงหมิงเจ๋อยังมีประโยชน์จะฆ่าทิ้งไม่ได้”
“แต่หากองค์หญิงหมิงเจ๋อถูกคน…”
“ไม่มีคำว่าแต่!” มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงขรึมแล้วใช้แววตาขึงขังจับจ้องไปทางองครักษ์ “เมืองหลวงแคว้นหวาแห่งนี้เป็นถิ่นของข้า ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร ข้าไม่ทำให้ท่านอ๋องของเจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วยแน่นอน เจ้ากลับไปบอกหรงเหยี่ยน หากกลัวนักก็กลับไปเลย ข้าไม่ฝืนใจ”