องครักษ์โกรธอยู่ไม่น้อยเพราะจู่ๆ มู่หรงอวี้กลับไม่ให้ความร่วมมือและแสดงท่าทีต่อต้านใส่ ทว่าด้วยสถานะของเขาจึงไม่สามารถสร้างแรงกดดันใดให้มู่หรงอวี้ได้ เขาทำได้แค่ข่มใจกัดฟันเอ่ยเสียงขรึม “กระหม่อมจะทูลรายงานท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้แค่นเสียงเบาทีหนึ่ง “แบบนี้ก็ดี”
“เช่นนั้นกระหม่อมทูลลา” องครักษ์คนนั้นประสานมือทำความเคารพแล้วหมุนตัวจากไป เขาต้องรีบกลับไปรายงานพฤติกรรมของมู่หรงอวี้ให้ท่านอ๋องทรงทราบ เพื่อให้ท่านอ๋องสามารถหาแผนตั้งรับได้ทันท่วงที
จากนั้นก็เหลือเพียงมู่หรงอวี้นั่งเหม่อลอยจับจ้องจดหมายบนโต๊ะตรงหน้าภายใต้แสงเทียนในห้องหนังสือโดดเดี่ยวลำพัง เขารู้ว่าหรงเหยี่ยนตัดสินใจถูกต้อง เพราะมู่ชิงอีฉลาดเป็นกรดและรู้มากเกินไป หากนางมีชีวิตอยู่ย่อมเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่สำหรับเขา แต่…ครั้นนึกถึงดวงตาที่สงบเรียบนิ่งของหญิงสาวชุดขาว ฉับพลันมู่หรงอวี้ที่คิดว่าคนใจเหี้ยมไร้ความเมตตาอย่างตนกลับฆ่านางไม่ลงเสียแล้ว
เขายังจำได้ว่าเมื่อสี่ปีก่อน…มีหญิงสาวใบหน้างดงามเหนือใครเฉกเช่นเดียวกันมองเขาจากด้านนอกประตูจวนกงอ๋อง รอยยิ้มที่มักแฝงไปด้วยความสงบและงดงามกลับฉายแววตกตะลึงและผิดหวังพาดผ่านสองดวงตา เขายังจำได้ว่าดวงตาที่มักสงบนิ่งของสาวในชุดแดงงดงามดั่งดาวจรัสฟ้าที่หอนางโลมชุ่ยหงเมื่อสองปีก่อนแฝงไปด้วยความเคียดแค้นและแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนทนเห็นสองดวงตาเศร้าหมองและผิดหวังที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้ไม่ได้อีกต่อไป
แต่…มู่ชิงอีคือศัตรูของเขา
มู่หรงอวี้ถอนหายใจอย่างปวดใจภายในห้องหนังสือเพียงลำพัง
“ชิงชิง”
ระหว่างสะลึมสะลือ มู่ชิงอีก็รู้สึกเหมือนตนเห็นใบหน้าอันคุ้นเคย นางอดขมวดคิ้วไม่ได้พลางปัดป่ายใบหน้านั้นไปด้านข้างตามความเคยชิน
“ชิงชิง” เหมือนเสียงนั้นจะแฝงไปด้วยความน้อยใจยิ่งกว่าเดิม มู่ชิงอีเบิกตาโพลงตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็เห็นหรงจิ่นกำลังนั่งกะพริบตาปริบๆ มองนางด้วยท่าทีน้อยใจอยู่ข้างเตียง
“องค์ชายเก้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไรกัน” มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงเบาพลางตกใจยกใหญ่
หรงจิ่นรีบสำรวจดูว่ามู่ชิงอีบาดเจ็บหรือไม่ก่อนจะเอ่ยคาดโทษเสียงเบา “ชิงชิงใจร้ายนัก ข้ารบราฆ่าฟัน ฝ่าอันตรายมาช่วยเจ้าแท้ๆ แต่เจ้ากลับปัดข้าออกเสียได้”
รบราฆ่าฟันหรือ มู่ชิงอีมองใครบางคนที่สวมชุดสีดำงามสง่า กระทั่งแม้แต่รอยกลีบชุดยังไม่ยับด้วยซ้ำด้วยความสงสัย
หรงจิ่นหัวเราะเหอะๆ ทีหนึ่งก่อนจะย่อตัวอุ้มมู่ชิงอีขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อครู่ไม่ได้รบราฆ่าฟันกันก็จริง แต่ตอนนี้คงต้องมีแล้วล่ะ”
มู่ชิงอียังไม่ทันกล่าวโทษพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นของเขา ประตูด้านนอกก็ถูกคนถีบเข้ามาอย่างแรง มู่หรงอวี้ยืนอยู่ด้านนอกพลางมองมู่ชิงอีที่ถูกบุรุษชุดดำสวมหน้ากากคนหนึ่งอุ้มอยู่ในอ้อมกอดด้วยสีหน้าถมึงทึง
“เจ้าเป็นใครอีกเล่า” มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงเข้ม
หรงจิ่นเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “เจ้าไม่มีสิทธิ์รู้ว่าข้าเป็นใคร ส่วนสาวงามผู้นี้ ข้าขอแล้วกัน” หรือเพราะสวมหน้ากากอยู่เลยทำให้น้ำเสียงอันเย่อหยิ่งรู้สึกฟังดูแปลกหูและทุ้มต่ำมากกว่าเดิม ทว่ากลับยิ่งแตกต่างจากเสียงของหรงจิ่นในยามปกติ
มู่ชิงอียื่นมือไปบิดเอวใครบางคนอย่างหัวเสียสื่อว่าให้วางนางลง ถึงแม้วิทยายุทธของมู่หรงอวี้จะไม่ธรรมดา แต่คนมากมายขนาดนี้ ต่อให้หรงจิ่นจะฝีมือดีแค่ไหนก็คงไม่อาจต่อสู้พลางอุ้มนางไปพร้อมกันแบบนี้ได้หรอก
หรงจิ่นวางนางลงพร้อมยิ้มตาหยี ทว่าอีกมือยังคงโอบเอวบางของนางไว้ในอ้อมอกตนพร้อมมองมู่หรงอวี้ตรงหน้าที่มีสีหน้าดูไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม จากนั้นหรงจิ่นก็ยิ้มเอ่ยเสียงต่ำ “ชิงชิง ต้องกอดข้าเอาไว้ให้แน่นล่ะ”
“ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร ปล่อยนางเสีย แล้วข้าจะไม่เอาเจ้าถึงตาย” มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงเย็นเฉียบ
หรงจิ่นยิ้มเยาะอย่างไม่พอใจ เอ่ยว่า “ขี้โม้หน้าไม่อาย ลำพังแค่ทหารธรรมดาอย่างพวกเจ้าก็คิดจะขวางข้าได้แล้วหรือ คนงาม เจ้าเลือกเขาหรือข้ากันแน่”
มู่ชิงอีกลอกตาใส่อย่างไม่สบอารมณ์ สำหรับหรงจิ่นแล้ว นางมักแสดงท่าทีไม่น่ามองเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง จนแม้แต่นางเองยังพลอยชินไปด้วยเลย
มู่หรงอวี้ยิ้มเย็นชาเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าหาว่าข้าใจเหี้ยมแล้วกัน! จัดการ!”
หรงจิ่นโบกมือซ้ายกลางอากาศทีหนึ่ง “เข็มพิษดอกสาลี่ต้องพายุวรุณ!”
ถึงแม้เข็มพิษดอกสาลี่ต้องพายุวรุณจะไม่ปรากฏให้เห็นในยุทธภพนานแล้วแต่กลับเล่าลือตำนานเรื่องของมันมาตลอด อีกอย่างที่โชคร้ายกว่านั้นก็คือลูกน้องเหล่านั้นของมู่หรงอวี้เกินครึ่งเป็นคนในยุทธภพ เพราะแม้แต่คนที่มู่หรงอวี้เลี้ยงดูมาเองก็ถือว่าเป็นคนในยุทธภพครึ่งหนึ่งแล้ว
หากได้ยินเข็มพิษดอกสาลี่ต้องพายุวรุณแล้วไม่มีปฏิกิริยาใดคงเป็นประเภทคนถึงคราวตายไม่ก็โง่เขลา ทว่าคนเหล่านั้นในเรือนย่อมไม่ใช่ทั้งสองประเภทนี้ ดังนั้นปฏิกิริยาแรกคือรีบหลบ คราวนี้เลยทำให้หรงจิ่นสบโอกาส เขาโอบตัวมู่ชิงอีไว้แล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคาราวกับอีกาตัวหนึ่งที่บินหายวาบไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังไม่ลืมทิ้งน้ำเสียงดูแคลนโอหังไว้ด้วย “ฮ่าๆ พวกโง่ พวกเจ้าคิดว่าเข็มพิษดอกสาลี่ต้องพายุวรุณเป็นเข็มปักผ้าที่มีขายตามท้องตลาดหรืออย่างไรกัน”
ครั้นทุกคนถูกปั่นหัวเช่นนั้นก็หน้าเขียวทีม่วงทีอย่างเดือดดาล มู่หรงอวี้กัดฟันเอ่ย “ตามไป! ฆ่าทิ้งเสีย!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ถึงแม้หรงจิ่นจะมีวิทยายุทธเก่งกาจเพียงใด แต่หากมีอีกคนติดสอยห้อยตามมาด้วยย่อมเคลื่อนไหวช้าลงเป็นธรรมดา อีกทั้งมู่หรงอวี้เองก็เสียหวัดเบี้ยดูแลเหล่านักสู้ยอดฝีมือนี้มาไม่น้อยจึงไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ กระทั่งหรงจิ่นยังมองออกว่าหลายคนในนั้นมีลูกศิษย์คนเก่งของสำนักชื่อดังในยุทธภพด้วย มู่หรงอวี้แอบรวมพลคนในยุทธภพมาได้ขนาดนี้ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าเขามีใจทะเยอทะยานมากแค่ไหน
“พวกเขาตามมาแล้ว” มู่ชิงอีถูกหรงจิ่นอุ้มไว้ในอ้อมอกพลางถูกลมยามค่ำคืนในฤดูร้อนปะทะใบหน้า มู่ชิงอีมองไปทางด้านหลังพร้อมบอกเสียงขรึม
หรงจิ่นไม่สนใจแล้วยิ้มตาหยีกล่าว “ข้าไม่คุ้นชินกับทางนัก ตอนนี้พวกเขาไม่อยากให้เรากลับเข้าเมืองแน่นอน” หากกลับถึงเมืองหลวง ต่อให้คนของมู่หรงอวี้จะมีมากแค่ไหนก็คงจนปัญญาจะจัดการกับพวกเขาได้ เวลานี้มู่หรงอวี้วางคนดักโจมตีระหว่างทางกลับเมืองหลวงไม่น้อย หรงจิ่นเองก็ไม่ได้คิดจะกลับตอนนี้ หากพาชิงชิงกลับไปในเวลานี้คงถูกคนเห็นเข้าแน่นอน
“ชิงชิง เจ้าว่าพวกเราไปทางไหนดี” หรงจิ่นใช้วิชาตัวเบาพลางเอ่ยถาม เขาไม่คุ้นเส้นทางละแวกเมืองหลวงเลยจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่ถูกคนพวกนั้นตามมาเร็วขนาดนี้ได้
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างเอือมระอา “ไปทางไหนก็สายไปแล้ว ด้านหน้ามีคนอยู่”
เบื้องหน้าไม่ใช่แค่มีคนโผล่มาเท่านั้น แต่เขาคือมู่หรงอวี้ เห็นได้ชัดว่ามู่หรงอวี้ถูกหรงจิ่นยั่วโมโหจนไฟโทสะปะทุขึ้นมาแล้วจริงๆ ในมือถือดาบยาวที่เคยใช้ฆ่าคนในจวนซู่เฉิงโหวมาแล้วไม่น้อย เขาจับจ้องหรงจิ่นและมู่ชิงอีที่กำลังมุ่งมาทางนี้ด้วยสีหน้าดุดัน
หรงจิ่นโอบมู่ชิงอีไว้พลางดิ่งตัวแตะพื้นอย่างรวดเร็ว เลิกคิ้วกวาดตามองมู่หรงอวี้ “องค์ชายหกไล่ล่าตามเราไม่ปล่อยขนาดนี้ต้องการสิ่งใดหรือ”
มู่หรงอวี้ใช้ดาบยาวในมือชี้หน้าพร้อมเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร แต่ปล่อยนางแล้วยอมรับความตายเสียเถิด” หรงจิ่นเองได้ยินแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าใครจะตายกันแน่!”
มีดเล็กเล่มหนึ่งไหลจากแขนเสื้อลงมาอยู่ในมือของหรงจิ่น มีดของหรงจิ่นไม่ได้หนาใหญ่เหมือนมีดทั่วไป แต่เห็นได้ชัดว่าบางเบาและกะทัดรัดมาก ภายใต้แสงคบเพลิงที่สาดส่องลงมาทำให้มองเห็นลวดลายดอกไม้บนด้าม ทว่าบนคมมีดกลับมีไอเย็นยะเยือกแผ่จากแสงสะท้อนคมดาบสีแดงสดอย่างปิดไว้ไม่มิดซึ่งทำให้ต่างรู้ดีว่ามีดเล่มนี้ไม่ใช่ของเล่นที่ใครๆ จะเล่นด้วยได้