ไม่ง่ายเลยกว่าจะลากตัวหรงจิ่นมาใต้ต้นไม้ริมฝั่งได้ มู่ชิงอีเองก็เหนื่อยจนหายใจหอบถี่ จากนั้นนางก็นั่งลงข้างกายหรงจิ่นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์อะไรอีก
นางก้มหน้ามองหนุ่มรูปงามที่นอนแน่นิ่งสงบน่าเอ็นดูบนพื้น ถึงแม้ไม่ง่ายเลยหากมู่ชิงอีจะเอ่ยปากชม แต่หากเทียบกับตอนลืมตาซึ่งคุยจ้อไม่หยุดแล้ว หรงจิ่นตอนหมดสติกลับดูไร้พิษภัยราวกับผลึกใสบริสุทธิ์ก็มิปาน
“เหตุใดต้องทำขนาดนี้ด้วย” มู่ชิงอีลูบไล้ใบหน้าเย็นๆ ของเขาอย่างเบามือพร้อมถอนหายใจเสียงเบา
นางเงยหน้ามองท้องฟ้า ถึงแม้ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาจะเกิดเรื่องราวขึ้นไม่น้อย แต่เวลาในตอนนี้กลับยังเร็วนักเพราะเพิ่งเลยช่วงเที่ยงคืนไปแค่นิดเดียว หากรอจนฟ้าสว่างคงใช้เวลาอีกนาน อีกอย่าง…จะปล่อยหรงจิ่นไว้ตรงนี้ไม่ได้เช่นกัน
นั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง มู่ชิงอีก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนลากหรงจิ่นไปจุดพรางตัวที่ดีกว่านี้ นางไม่สามารถก่อไฟตรงนี้ได้ ถึงแม้คนที่เห็นอาจเป็นพี่ใหญ่และพี่ชาย แต่ก็อาจเป็นคนของมู่หรงอวี้ได้เช่นกัน หากเจอคนของมู่หรงอวี้อีก ช่วงเวลาที่หรงจิ่นหมดสติเฉกเช่นตอนนี้ พวกเขาคงกลายเป็นแพะรอเชือดแล้วจริงๆ
ไม่ง่ายเลยกว่ามู่ชิงอีจะหาศาลไหว้เจ้ารกร้างที่อยู่ไม่ไกลจากริมฝั่งแม่น้ำเจอ ดูจากระดับความรกร้างของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แล้ว ที่นี่น่าจะห่างจากเส้นทางกลับเมืองหลวงมากพอสมควร ละแวกนั้นไม่มีผู้อยู่อาศัยเลยสักคน เมื่อครู่ตอนอยู่ในแม่น้ำนางถูกสายน้ำซัดสาดจนปวดศีรษะเกือบหมดสติไป นางไม่รู้เลยว่าพวกเขาลอยอยู่กลางแม่น้ำมานานเท่าไรแล้ว
มู่ชิงอีวางตัวหรงจิ่นลงตรงจุดที่สะอาดสะอ้านที่สุดอย่างระมัดระวัง จากนั้นถึงเริ่มค้นเสื้อผ้าของหรงจิ่น และเป็นไปตามคาดเพราะในเสื้อผ้าตัวโคร่งงดงามนั้นมีของดีหายากน่าจะใช้ประโยชน์ได้อยู่ด้วย มีดซิวหลัวถูกนางโยนทิ้งไปอีกฝั่ง ส่วนขวดเล็กๆ อีกเป็นกองที่ไม่รู้ว่าใช้งานอย่างไรถูกวางไว้อีกฝั่ง รวมถึงอาวุธลับนานาชนิด ถุงผ้าหูรูด กระทั่งพัดอีกหนึ่งอัน แต่น่าเสียดายที่ภาพวาดบนหน้าพัดถูกน้ำแช่จนเปียกชุ่มไปหมดแล้ว
ในที่สุดก็หาตะบันไฟสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้เจอแล้ว มู่ชิงอีลอบพรูลมหายใจ นับว่าหรงจิ่นยังพึ่งพาได้บ้าง เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้พกแต่ของไร้ประโยชน์มาเสียทีเดียว
นางไปหาไม้เก่าๆ บางส่วนจากศาลไหว้เจ้ามาก่อไฟ มู่ชิงอีที่เคยผ่านความลำบากมาช่วงหนึ่ง เรื่องก่อไฟจึงไม่ใช่อุปสรรคสำหรับนางอยู่แล้ว สักพักเปลวเพลิงอันอบอุ่นก็สว่างโชติช่วงขึ้นมา
ครั้นเห็นหรงจิ่นที่นอนอยู่บนพื้นสีหน้าขาวซีดร่างกายเย็นเฉียบ มู่ชิงอีจึงตัดใจถอดเสื้อคลุมตัวสวยผ้าหนาออกแล้ววางไว้อีกฝั่งค่อยๆ ผึ่งไฟให้แห้ง ส่วนชุดขาวตัวในก็เอาเข้ามาใกล้กองไฟ ด้วยอากาศในตอนนี้ไม่ได้หนาวอะไรคงแห้งเร็วกว่าแน่นอน
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ มู่ชิงอีก็มองหรงจิ่นที่นอนอยู่บนพื้นอย่างชั่งใจแวบหนึ่ง จากนั้นก็ล้มเลิกความคิดที่จะไปตักน้ำริมแม่น้ำ หากทิ้งหรงจิ่นไว้เพียงลำพังที่นี่ในเวลานี้คงไม่ปลอดภัยจริงๆ สิ่งของอย่างเข็มพิษดอกสาลี่ต้องพายุวรุณนางก็ไม่ได้พกติดตัวมาด้วย นางมีเพียงแหวนหยกขาวใช้ป้องกันตัว มู่ชิงอีถอนหายใจเล็กน้อยแล้วนั่งลงข้างกายหรงจิ่นพลางเหม่อลอยลูบแหวนบนนิ้วอย่างเบามือ
ถึงแม้อากาศช่วงเดือนหกจะไม่หนาว แต่ผ่านไปครู่เดียวหรงจิ่นก็เริ่มตัวสั่นสะท้าน อีกทั้งหน้าผากก็ผุดเหงื่อเย็นไหลซึมออกมาไม่หยุด ครั้นเห็นหรงจิ่นนอนปากซีดตัวสั่นเทาอยู่บนพื้นเช่นนั้น มู่ชิงอีก็รู้สึกว่านับตั้งแต่นางฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าตนไร้ความสามารถเช่นนี้
นางอ่อนแอไร้ความสามารถ กระทั่งไม่ชำนาญวิธีการรักษาโรคจึงทำอะไรกับอาการของหรงจิ่นในตอนนี้ไม่ได้เลย
“หรงจิ่น หรงจิ่น...ตื่น” มู่ชิงอีตัดสินใจปลุกหรงจิ่นให้ตื่นก่อนค่อยว่ากัน ถึงแม้อาจทำให้หรงจิ่นที่หมดสติอยู่ทรมานมากกว่าเดิม แต่เขาย่อมรู้อาการของตนเองดี บางทีอาจมีหนทางใดบ้างกระมัง
หรงจิ่นที่นอนหมดสติอยู่มุ่นคิ้ว อีกทั้งโดนมู่ชิงอีทั้งดึงทั้งบีบ เขาจึงไม่ได้หลับใหลหมดสติขนาดนั้น ไม่นานก็ลืมตาขึ้นมองห้องสภาพซอมซ่อด้วยความมึนงงแวบหนึ่ง จากนั้นก็อดฉีกยิ้มให้กับแววตาเป็นห่วงของมู่ชิงอีไม่ได้ “ชิงชิง ข้าไม่เป็นไร”
“องค์ชายตัวร้อน อีกอย่าง…” ยังพูดไม่ทันจบ หรงจิ่นก็ตัวสั่นสะท้านอีกครั้ง หากร้อนๆ หนาวๆ เช่นนี้ต่อไป พวกเขาคงไม่ต้องรอกระทั่งถูกมู่หรงอวี้จับตัวได้ หรงจิ่นก็คงตัวร้อนไหม้จนเสียสติไปก่อนแล้ว
หรงจิ่นยิ้มอย่างจนใจเล็กน้อยเอ่ย “ตอนนี้ข้ายังไม่มีแรงเลย” ไม่มีเรี่ยวแรงใดเหลือแล้ว เมื่อครู่เขาฝืนกำลังลงมือ ท่าโจมตีสุดท้ายเขาใช้พลังทั้งหมดที่มีจนหมดเกลี้ยง จากนั้นยังพามู่ชิงอีลอยอยู่กลางแม่น้ำมานานขนาดนั้น ตอนนี้แค่คิดขยับตัวเล็กน้อยยังลำบากด้วยซ้ำ
มู่ชิงอีรีบหยิบขวดยาที่โยนไว้อีกฝั่งขึ้นมาเอ่ยถามว่า “มีอะไรที่ใช้ได้บ้างหรือไม่” หรงจิ่นมองแวบหนึ่งแล้วส่ายศีรษะอย่างเศร้าใจ อาการป่วยของเขาไม่มียาขนานใดสามารถรักษาได้เลย ทุกครั้งล้วนเป็นตนอดกลั้นต่อความทรมานจนดีขึ้นเอง ดังนั้นบนตัวย่อมไม่มียาใดที่ใช้ได้ผล ของเหล่านี้เป็นแค่ยารักษาแผลทั่วไปและยาพิษเท่านั้น
“ยาในขวดเล็กนั่นเอามาให้ข้าทานเม็ดหนึ่ง” หลังจากขบคิดดูแล้ว หรงจิ่นก็เอ่ยขึ้น ยาเสริมพลังลมปราณ อย่างน้อยกินก็ดีกว่าไม่กินอะไรเลย ถือเสียว่าปลอบใจชิงชิงแล้วกัน
มู่ชิงอีลังเลใจครู่หนึ่ง แต่ก็เชื่อฟังคำพูดของหรงจิ่นหยิบยาออกมาเม็ดหนึ่งแล้วเอาให้เขาทาน สีหน้าของหรงจิ่นเหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดีขึ้น เพียงแต่หลังจากฟื้นขึ้นมาก็ไอไม่หยุด เสียงไอดังต่อเนื่องราวกับจะไอเอาปอดออกมาด้วยก็มิปาน
มู่ชิงอีขบคิดก่อนเอ่ยถาม “องค์ชายอยู่ตรงนี้คนเดียวก่อนได้หรือไม่”
หรงจิ่นหันมองนางอย่างช้าๆ “ชิงชิง ข้าเป็นถึงขนาดนี้แล้ว…เจ้ายังคิดจะทิ้งข้าอีกหรือ”
มู่ชิงอีไม่มีอารมณ์มาต่อปากต่อคำด้วยจึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “หม่อมฉันจะไปเอาน้ำ ท่านไม่ดื่มหรือ”
ครั้นเห็นเขาไอไม่หยุด นางรู้สึกว่าเขาคงคันคอน่าดู หรงจิ่นชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งพลางเงี่ยหูฟังเสียงจึงพบว่าพวกเขาอยู่ห่างริมแม่น้ำไม่ไกลนัก จากนั้นถึงพยักหน้ากล่าว “ก็ได้ เจ้าระวังตัวด้วย”
มู่ชิงอีพยักหน้า ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนถอดแหวนบนมือออกยัดใส่มือหรงจิ่นไว้ จากนั้นถึงหาของใช้บรรจุน้ำสักอย่างในศาลผุพังนั้นแล้วเดินออกไป
ศาลผุพังแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงที่ราบมุมโค้งของริมแม่น้ำ พอออกมาก็มองเห็นแม่น้ำหยางหลิ่วไหลเชี่ยวอยู่ไม่ไกลนัก มู่ชิงอีรอครู่หนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่าบริเวณรอบด้านไม่มีใครถึงรีบสาวเท้ามุ่งหน้าไปทางริมแม่น้ำ หลังจากจัดการล้างชามตักน้ำเสร็จสรรพก็รีบกลับมา ตอนนางกลับเข้ามาก็เห็นหรงจิ่นตกอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น
ครั้งเห็นนางเข้ามา หรงจิ่นก็เหมือนเบาใจแล้วค่อยๆ ปิดตาลง มือที่กำแหวนเอาไว้แน่นก็คลายออกอย่างช้าๆ แหวนหยกขาวที่สลักอย่างประณีตเรียบง่ายก็กลิ้งตกลงสู่พื้นทันที แต่มู่ชิงอีสังเกตเห็นว่ามีดสั้นรูปลักษณ์เรียบง่ายงดงามที่ถูกนางวางทิ้งไว้อีกด้านกลับมาอยู่ข้างกายหรงจิ่นอีกครั้ง
“ชิงชิง…อย่าไปไหน อย่าไปจากข้าเลย” หรงจิ่นพึมพำเสียงเบาในห้วงฝัน มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบาอย่างเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็คว้าเสื้อผ้าที่แห้งแล้วด้านข้างมาคลุมร่างของหรงจิ่นพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “นอนเถิด หม่อมฉันไม่ไปไหนหรอกเพคะ”
เหมือนหรงจิ่นได้ยินคำพูดของนางจึงลืมตาที่ว่างเปล่าขึ้นมองนางแวบหนึ่งก่อนหลับตาลงอีกครั้ง “ชิงชิง…อย่าไปจากข้า”
“หม่อมฉันไม่ไปไหนหรอก”