ทว่าฮ่องเต้แคว้นหวาเองก็รู้ดีว่าตนจัดการเรื่องนี้ได้น่าเกลียดเกินไป เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการเกี่ยวดอง ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงเลือกบุตรสาวของตระกูลเสนาบดีของกรมพิธีการมาคนหนึ่งแล้วตั้งแต่งขึ้นเป็นเหอหลินจวิ้นจู่ไปร่วมเกี่ยวดองด้วย ถึงแม้เพราะพระราชโองการที่เคยประกาศให้มู่อวิ๋นหรงไปเกี่ยวดองนั้นส่งผลให้เปลี่ยนคนไม่ได้ แต่ฮ่องเต้แคว้นหวากลับบอกเกอซูฮั่นทางอ้อมว่าเหอหลินจวิ้นจู่ต่างหากที่เป็นตัวเลือกในการไปเกี่ยวดองอย่างแท้จริง ส่วนเหอหรงจวิ้นจู่ถือว่าแถมให้ก็แล้วกัน
เกอซู่ฮั่นเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไรกับเรื่องนี้ คำว่าเกี่ยวดองก็เป็นแค่การแสดงความจริงใจของแคว้นหวาที่มีต่อแคว้นเย่ว์และแว่นแคว้นละแวกนั้นต่างหาก ส่วนตัวเลือกจะเป็นใครมีคนสนใจด้วยจริงๆ หรือ หากคิดจะทำศึกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวของขุนนางตระกูลใหญ่หรือองค์หญิงของเชื้อพระวงศ์ ความสำคัญของใครก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานะว่าใครสำคัญกว่ากันหรอก ยิ่งไปกว่านั้นสตรีพวกนี้ก็มอบให้เสด็จพี่ เขาไม่สนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว
หลังจากนั้นฮ่องเต้แคว้นหวาก็ฝากฝังให้เนี่ยอวิ๋นช่วยเซ่าจิ่นตรวจสอบเรื่องทั้งหมดขององค์หญิงหมิงเจ๋อ เพราะมีคนคอยแอบชี้นำอย่างลับๆ เลยทำให้ตามสืบเจอว่าเป็นมู่หรงอวี้ได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้เซ่าจิ่นจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ราบรื่นเกินไป แต่ข้อมูลที่ตามสืบมาเป็นความจริงทั้งหมด เขาจึงกราบทูลฮ่องเต้แคว้นหวาได้แค่ว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อตกแม่น้ำไปไม่รู้ว่าตายหรือรอด
ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงกริ้วอย่างมากจึงทรงรับสั่งให้เซ่าจิ่นและเนี่ยอวิ๋นพาคนไปจับกุมตัวมู่หรงอวี้ที่จวนกงอ๋อง แต่น่าเสียดายเพราะยามที่เซ่าจิ่นและเนี่ยอวิ๋นไปถึงจวนกงอ๋อง จวนกงอ๋องกลับว่างเปล่าไม่เหลือใครสักคน วันนั้นฮ่องเต้แคว้นหวาทรงมีพระราชโองการว่ามู่หรงอวี้องค์ชายหกมีใจทะเยอทะยานจนทำร้ายองค์ชาย อีกทั้งยังทำร้ายองค์หญิงหมิงเจ๋อ สร้างความวุ่นวายปั่นป่วนให้เหล่าพี่น้องในราชวงศ์ ดังนั้นจึงขอขับไล่ออกจากเชื้อพระวงศ์ เอาชื่อออกจากบันทึกราชวงศ์ อีกทั้งมีรับสั่งให้ติดประกาศตามหาตัวทั่วทั้งแคว้น หากมีการต่อต้านขัดขืนก็ใช้โทษประหารทิ้งได้เลย
พระราชโองการเรียบง่ายธรรมดา หากอยู่บนตัวข้าหลวงหรือขุนนางผู้มีอำนาจอาจจะไม่เป็นที่สนใจของใครนัก เพราะทุกปีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักหากไม่ถูกฆ่านับสิบ อย่างน้อยก็ต้องมีสักเจ็ดถึงแปดคนได้ แต่พอโทษนี้ติดตัวองค์ชายคนหนึ่งที่เคยรุ่งโรจน์มากที่สุดย่อมตกเป็นที่สนใจของคนมากมาย กระทั่งกล่าวได้ว่าเป็นโทษที่หนักที่สุดสำหรับองค์ชายนับตั้งแต่สถาปนาแคว้นหวามาก็ว่าได้
สำหรับเหล่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์ โทษที่ร้ายแรงที่สุดไม่ใช่การถูกถอดตำแหน่งและไม่ใช่การตายง่ายๆ แต่เป็นการลบรายชื่อออกจากบันทึกราชวงศ์ต่างหาก เพราะสิ่งนี้สื่อว่าไม่ยอมรับการมีตัวตนอยู่ของพวกเขาอย่างแท้จริง นับแต่นั้นก็จะกลายเป็นบุคคลไร้หัวนอนปลายเท้าไร้ชื่อและสกุลคนหนึ่งอย่างสมบูรณ์
ณ จวนราชทูตแคว้นเย่ว์ ครั้นหรงเหยี่ยนได้ยินองครักษ์รายงานข่าวเช่นนั้นก็เขวี้ยงถ้วยชาเคลือบลายดอกสีครามชั้นดีจนแตก “มู่หรงอวี้คนไร้ประโยชน์! จัดการอะไรไม่ได้เรื่องแล้วยังพานทำให้เรื่องแย่ลงไปอีก!”
หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ความคุ้มค่าในการใช้งานของมู่หรงอวี้ก็ลดลงฮวบฮาบ อย่างน้อยแผนการก่อนหน้านี้ของพวกเขาโอกาสที่จะสำเร็จก็เกือบเป็นศูนย์แล้ว องค์ชายที่ชื่อเสียงเสื่อมเสียถูกขับไล่ออกจากราชวงศ์ยังจะมีประโยชน์ให้ใช้งานอะไรได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้มู่หรงอวี้ไม่ถือว่าเป็นองค์ชายด้วยซ้ำ
องครักษ์ตรงหน้าหลุบตาลงกราบทูลเสียงต่ำ “ท่านอ๋อง มู่หรงอวี้หายตัวไปแล้ว ดูท่าทางเรื่องแผนการของเราคงไม่ได้ถูกแพร่งพรายออกไป”
หรงเหยี่ยนปิดตาลงเอ่ย “หากแม้แต่เรื่องนี้ยังถูกคนอื่นรู้เข้า มู่หรงอวี้คงไม่มีประโยชน์ใดแล้วจริงๆ แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน เจ้าไปเตรียมตัวไว้ พวกเราต้องรีบกลับแคว้นเย่ว์ให้เร็วที่สุด”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”
“สองวันมานี้น้องเก้าหายไปไหนหรือ” ทันใดนั้นหรงเหยี่ยนก็โพล่งถามพลางขมวดคิ้วมุ่น
องครักษ์ผงะไป ครุ่นคิดแล้วเอ่ย “เหมือนว่าจะออกไปตามหาองค์หญิงหมิงเจ๋อแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเหยี่ยนแค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่งเอ่ย “แต่น้อยนักจะเห็นน้องเก้าสนใจใครจริงๆ เช่นนี้” หรงจิ่นเป็นคนนิสัยประหลาด สำหรับคนรอบกายแล้วหากไม่ตบตีก็ด่าทอจนใครๆ ต่างไม่ชอบหน้า ต่อให้เป็นบุตรสาวของผู้มียศตำแหน่งสูงหรือขุนนางใหญ่ กระทั่งองค์หญิงจวิ้นจู่ก็ยังไม่นึกเกรงใจ ดังนั้นถึงแม้หญิงสาวในเมืองหลวงแคว้นเย่ว์มากมายจะหลงใหลใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแต่กลับหวั่นเกรงไม่กล้าเข้าใกล้เขาไปตามๆ กัน
“ความจริง…องค์หญิงหมิงเจ๋อเองก็เป็นสาวงามที่หาเห็นได้ยากคนหนึ่งเหมือนกัน” องครักษ์กล่าว
หรงเหยี่ยนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดขององครักษ์ หากเร็วกว่านี้สักสิบห้าสิบหกปี ไม่แน่เขาอาจจะฝักใฝ่ในเรื่องหญิงงาม แต่บัดนี้สำหรับตวนอ๋องที่อยู่ในช่วงวัยสามสิบกว่าแล้วกลับรู้สึกว่าบนโลกนี้สาวงามล่มเมืองแบบใดก็ไม่น่าดึงดูดใจเท่าตำแหน่งองค์รัชทายาทอันสูงส่งนี้แล้ว หากมีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในมือยังจะไม่มีสาวงามใดโผล่มาอีกหรือ
“ไม่ต้องไปสนใจเขา ไปจัดการธุระให้เรียบร้อยเถิด” หรงเหยี่ยนเอ่ยพลางโบกมือ
ขณะเดียวกันเรือนชาวบ้านที่ไม่เตะตาใครตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของเมืองหลวง มู่หรงอวี้สวมชุดผ้าป่านพลางจับจ้องประกาศตรงหน้าที่เพิ่งถูกองครักษ์นำกลับมาด้วยดวงตาแดงก่ำ พระราชโองการของฮ่องเต้แคว้นหวาถูกป่าวประกาศไปทั่วเมืองในพริบตาเดียว ไม่ถึงสิบวันทุกซอกทุกมุมในแคว้นหวาก็ติดประกาศเช่นนี้ไว้หมด ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ทั้งนอกทั้งในเมืองหลวงต่างรู้ข่าวนี้กันแล้ว
ครั้นเห็นตัวอักษรที่เขียนว่าเอาชื่อออกจากบันทึกราชวงศ์และใช้โทษประหารทิ้งเหล่านั้น มู่หรงอวี้ก็เผยสีหน้าดุดันขึงขังจนทำเอาองครักษ์ในห้องหวาดกลัวจนแอบถอยหลังไปหลายก้าว
“เสด็จพ่อ…เสด็จพ่อช่างใจดำยิ่งนัก!” มู่หรงอวี้เอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มู่ชิงอีเป็นเพียงคนนอกไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ในสายตาของเสด็จพ่อกลับสำคัญกว่าบุตรชายแท้ๆ อย่างเขาอีกหรือ หากไม่ใช่เพราะเขาหนีได้เร็ว ไม่แน่ตอนนี้คงถูกเสด็จพ่อสั่งประหารทิ้งไปแล้ว
“ท่านอ๋อง…” องครักษ์เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
มู่หรงอวี้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “มีเรื่องอะไรอีก”
องครักษ์กลืนน้ำลายอึกหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเบา “พรุ่งนี้ยามบ่าย จูซื่อและคนในตระกูลจูจะถูกประหารต่อหน้าประชาชนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้รู้สึกเพียงว่าในสมองผุดเสียงดัง ผึง! ขึ้น ชั่วขณะนั้นเหมือนคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง ถึงแม้เขาจะเป็นคนใจเหี้ยม แต่เขาก็รักใคร่แม่แท้ๆ อย่างจูซื่อไม่น้อย ซึ่งแตกต่างจากมู่หรงอานที่ถูกหมางเมินมาตลอด เหมือนจูซื่อจะมอบความรักของแม่ให้มู่หรงอวี้ทั้งหมด นางวางแผนช่วยมู่หรงอวี้ตั้งแต่วัยเยาว์ ช่วยปูทางทุกอย่างให้เขา กล่าวได้ว่ามู่หรงอวี้มีหน้ามีหน้าอย่างก่อนหน้านี้ได้ย่อมหนีไม่พ้นความทุ่มเทของจูซื่อ หากแต่มู่หรงอวี้ไม่ใช่สัตว์เดียรัจฉานไร้ความเป็นมนุษย์ขนาดนั้น เขาย่อมรู้สึกปวดใจและทุกข์ใจกับข่าวนี้อยู่แล้ว
“ท่านอ๋อง กลัวก็แต่…ฝ่าบาทจะทรงวางแผนหลอกล่อท่านให้ปรากฏตัวมากกว่า ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองให้ดีเถิด” องครักษ์เอ่ยโน้มน้าวเสียงเบา
มู่หรงอวี้ปิดตาลงเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าออกไปก่อน ข้ารู้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”
วันถัดมาช่วงเช้าตรู่ในเมืองหลวงคนหลั่งไหลเข้ามาจนแน่นขนัด เห็นได้ชัดว่าคึกคักกว่ายามปกติมากโข ถึงแม้ประชาชนในเมืองหลวงจะเยอะกว่าคนนอกพื้นที่จนถกเถียงพูดซี้ซั้วกันไปต่างๆ นาๆ แต่ความจริงก็ยังน่าเบื่อหน่ายเช่นเดิม ในเมื่อมีคนถูกประหารย่อมต้องมีคนล้อมวงแห่เข้ามามุงดูเป็นธรรมดา แต่ควรรู้ว่าต่อให้เป็นเรื่องประหารตัดหัวก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เจอได้บ่อยนัก นอกจากคนที่มีโทษหนักถึงขีดสุด เพราะโทษประหารมักตัดสินจัดการกันเบื้องหลังเท่านั้น นอกจากนี้การประหารคนมากมายในครั้งเดียวเช่นนี้กลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตั้งสามสี่ปีมาแล้ว
แต่เพราะพวกเขามีข้อกังขากับการประหารยกครัวตระกูลกู้เมื่อสามสี่ปีก่อน รวมถึงเห็นอกเห็นใจ กระทั่งมีความคิดที่ต่างกันไปถึงขั้นนึกสงสัย ทว่าตระกูลจูถูกประหารในครั้งนี้ทุกคนกลับรู้สึกว่าเป็นโทษที่ควรได้รับ ในใจของประชาชนนั้น จูซื่อลอบฆ่าอดีตฮองเฮา ลอบทำร้ายองค์ชาย กระทั่งบุตรชายที่ให้กำเนิดมายังทำร้ายตระกูลกู้และองค์หญิงอีก แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีอะไร
ครั้งนี้ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงมีรับสั่งลงมาอย่างรวดเร็ว โชคดีที่มู่หรงจ้าวและมู่หรงเสียเอาหลักฐานคดีของตระกูลกู้ส่งขึ้นไปได้ทันท่วงที ถึงแม้จะไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นมู่หรงอวี้โดยตรง แต่คนฉลาดมักมองออกว่าต้นตอทุกอย่างเกิดจากฝีมือของมู่หรงอวี้ ประจวบกับฮ่องเต้แคว้นหวาต้องการจบเรื่องนี้อยู่พอดีย่อมไม่ลังเลที่จะตัดสินคดีนี้เลย ดังนั้นพระองค์ถึงลบรายชื่อของมู่หรงอวี้ออกจากบันทึกของราชวงศ์