บนถนนที่มุ่งหน้าไปลานประหารเบียดเสียดไปด้วยผู้คน ครั้นเหล่าราษฎรนึกถึงบุญคุณที่กู้เซียงมีต่อพวกเขาและคุณงามความดีของตระกูลกู้ ไฟโทสะก็ยิ่งพวยพุ่ง คนที่อยู่ข้างทางต่างทยอยปาไข่และผลไม้เน่ามากมายใส่คนที่อยู่ในเกวียนขัง คนที่โดนรุมประชาทัณฑ์คนแรกก็คือจูซื่อที่อยู่คันหน้าสุด
เพียงแต่เสื้อผ้าขาดวิ่นของนาง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ถึงแม้จะถูกจับเข้าคุกได้ไม่นานแต่ร่างกายกลับซูบผอมจนเหลือแต่กระดูก แววตาของนางล่องลอยว่างเปล่า ถึงแม้จะถูกไข่เน่าปาใส่หน้าแต่กลับแน่นิ่งไม่มีปฏิกิริยาใดเลยสักนิดราวกับนางทื่อทึ่มไปแล้ว
จูซื่อน่าจะทื่อทึ่มไปแล้วจริงๆ นับตั้งแต่พระราชโองการของฮ่องเต้แคว้นหวาเล่าต่อกันไปถึงในคุก จูซื่อก็ไร้ซึ่งความเกรี้ยวโกรธจนสิ้น เพราะทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ความมั่งคั่งและเกียรติยศที่นางคะนึงหา…จบสิ้นลงแล้ว
ในหอสุราแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลานประหาร มู่หรงอวี้กำลังนั่งกรอกเหล้าใส่ปากพร้อมดวงตาแดงก่ำ พอมองออกนอกหน้าต่างแววตาก็ทอดมองจับจ้องไปยังลานประหารด้านล่างที่เคยว่างเปล่าซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ทว่าตอนนี้กลับแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
หรงเหยี่ยนที่นั่งอยู่ข้างกายเขาเผยสีหน้าเรียบนิ่งมองมู่หรงอวี้ที่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลานานก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ราษฎรของแคว้นหวารักความครื้นเครงมากกว่าราษฎรของแคว้นเย่ว์เสียอีก”
มู่หรงอวี้แค่นเสียงเบาทีหนึ่งแต่ไม่พูดอะไร หรงเหยี่ยนเองก็ไม่สนใจ ในเมื่อต้องเห็นแม่แท้ๆ ของตนถูกประหารคาตาย่อมมีสิทธิ์ระเบิดอารมณ์ออกมาจริงๆ หรงเหยี่ยนไม่ได้จงใจยั่วโมโหมู่หรงอวี้อีก เพียงแค่ยกถ้วยชาขึ้นพลางกวาดตามองสถานการณ์ในลานประหารด้วยท่าทีสบายๆ
สักพักรถม้าที่ใช้ลากเกวียนกักขังนักโทษก็เคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ จากนั้นจูซื่อและเหล่าคนตระกูลจูก็รอทหารมาลากตัวไปคุกเข่าบนลานประหาร เหล่าคนตระกูลจูในลานประหารต่างพากันกรีดร้องโหยหวน หากเทียบกับจูซื่อแล้วพวกเขาถูกใส่ความแท้ๆ ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย กระทั่งไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ ทว่าเวลานี้กลับต้องถูกบั่นคอเป็นเพื่อนจูซื่อในลานประหาร
ระหว่างนั้นมีเพียงจูซื่อเพียงคนเดียวที่มีท่าทีสงบหรือกล่าวได้ว่านั่งคุกเข่าเหม่อลอยอยู่ด้านหน้าสุดโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ แววตาล่องลอยว่างเปล่า
ทันใดนั้นมู่หรงอวี้ที่นั่งอยู่ในหอสุราก็ลุกขึ้น แต่หรงเหยี่ยนกลับยกมือมากดเขาไว้พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าคิดจะทำอะไร” มู่หรงอวี้จับจ้องหรงเหยี่ยนแน่นิ่งไม่พูดอะไร หรงเหยี่ยนหัวเราะลั่นเกินจริง เลิกคิ้วเอ่ย “เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเจ้าจะชิงตัวคนในลานประหาร”
มู่หรงอวี้กำหมัดแน่นแต่ไม่พูดอะไร หรงเหยี่ยนถอนหายใจส่ายศีรษะกล่าว “ข้าว่าเจ้าปล่อยไปเถิด เรื่องคุ้มกันของเมืองหลวงแคว้นหวาแน่นหนาแค่ไหนเจ้าน่าจะรู้ดีมากกว่าข้า ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหนยังพอแฝงตัวออกนอกเมืองไปได้ หากเจ้าปรากฏตัวในลานประหาร พอถึงตอนนั้นอาจต้องเผชิญกับธนูนับพันนับหมื่น หากเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วก็อย่าทำให้ข้าเดือดร้อนไปด้วยเลย”
ครั้นมองออกไปด้านนอก หรงเหยี่ยนก็เอ่ยต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เป็นจูซื่อก็คงไม่อยากให้เจ้าทำอะไรผลีผลามเช่นนี้กระมัง อย่างน้อยตราบใดที่ยังมีชีวิตก็ยังกลับมาผงาดได้”
ผ่านไปนานในที่สุดมู่หรงอวี้ถึงค่อยๆ นั่งลง เพียงแต่ถ้วยสุราในมือของเขากลับถูกมือที่สั่นเทิ้มบีบจนแตกละเอียด สุราชั้นดีในถ้วยกระฉอกเปื้อนเต็มมือ รวมถึงเสื้อผ้าก็พลอยเปียกชุ่มไปด้วย
เมื่อเห็นมู่หรงอวี้กลับมาสงบลงได้อีกครั้ง หรงเหยี่ยนถึงฉีกยิ้มอย่างพอใจ ความจริงต่อให้เขาไม่อยู่ที่นี่ มู่หรงอวี้ก็ไม่มีทางทำเรื่องผลีผลามเช่นนั้นจริงๆ เขาเข้าใจคนอย่างมู่หรงอวี้ดี ในเมื่อกมลสันดานของพวกเขาเหมือนกัน สติสัมปชัญญะย่อมมาก่อนอารมณ์เสมอ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาล้วนสนใจผลประโยชน์ของตัวเองมากที่สุด
ข้างลานประหารมีคนพลุกพล่านเต็มไปหมด เหล่าราษฎรที่แห่เข้ามามุงดูต่างพากันรุมประณามจูซื่อ แต่กระนั้นกลับไม่เห็นมู่หรงอวี้โผล่หน้ามาเลย
ข้าหลวงที่คอยคุมเรื่องการประหารมองเวลาด้วยความร้อนรนใจ เพราะเกือบถึงช่วงบ่ายแล้วแต่องค์ชายหกกลับไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลย วันนี้การประหารยกครัวตระกูลจูย่อมเป็นเรื่องใหญ่ แต่กลับมีเรื่องสำคัญกว่านั้นแฝงอยู่ก็คือองค์ชายหกมู่หรงอวี้อาจปรากฏตัวที่นี่ ลานประหารถูกรายล้อมด้วยคนและม้ามากมายเพื่อดักซุ่มโจมตี ขอแค่มู่หรงอวี้ปรากฏตัวต้องจับตัวเขาได้อยู่แล้ว ดูท่าทางตอนนี้ฝ่าบาทและจื้ออ๋องคงต้องผิดหวัง มู่หรงอวี้ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเลยสักนิด ในขณะเดียวกันก็ชวนให้ใครต่อใครต่างอุทานถึงความใจเหี้ยมของกงอ๋องเช่นกัน
“ผิงอ๋องเสด็จ!”
ผู้คุมประหารสติล่องลอย เกี้ยวของมู่หรงซีถูกคนยกเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ทุกคนค่อยๆ ทยอยเข้าไปรับเสด็จ ราษฎรต่างรู้ว่าผิงอ๋องผู้นี้ก็คืออดีตองค์รัชทายาท หนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายของคดีตระกูลกู้ในตอนนั้น อีกทั้งยังถูกสองแม่ลูกจูซื่อลอบวางยาทำร้ายจนมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เวลานี้เหล่าราษฎรต่างทยอยหลีกทางให้เขา
มู่หรงซีสวมชุดสีเหลืองนวลเหมือนในยามปกติ สีหน้าซีดขาวดูสุขภาพย่ำแย่แต่ท่าทางกลับดูสงบมาก เขาก้มหัวเดินออกมาจากเกี้ยวมองเหล่าข้าหลวงที่เดินเข้ามารับเสด็จ พยักหน้าเอ่ย “รบกวนใต้เท้าทุกท่านแล้ว”
ผู้คุมประหารรีบเอ่ย “มิบังอาจ ที่แห่งนี้มีมลทิน ไม่รู้ว่าผิงอ๋องเสด็จมาที่นี่เพราะ…” ระยะนี้ฝ่าบาทปฏิบัติต่อผิงอ๋องไม่ธรรมดาเลย ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้คดีของตระกูลกู้ก็ถูกแก้ไขแล้ว อย่างน้อยไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกหรือเหตุผลในระยะนี้ฝ่าบาทต้องปฏิบัติต่ออดีตองค์รัชทายาทผู้นี้ดีมากอยู่แล้ว
มู่หรงซียิ้มบางกล่าว “ข้ามีเรื่องอยากคุยกับอวิ๋น...จูซื่อ ไม่ทราบว่าสะดวกหรือไม่”
“แน่นอนอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างก็ยังไม่ถึงเวลา ผิงอ๋องตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” ไม่ว่าผิงอ๋องอยากจะพูดอะไรกับจูซื่อ กระทั่งผิงอ๋องอยากโบยนางสักยกหรือบีบคอนางให้ตายก็ไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจ ในเมื่อบาดแผลที่จูซื่อทำร้ายผิงอ๋องเยอะกว่ามาก
มู่หรงซีพยักหน้าด้วยท่าทีอ่อนโยน “ขอบใจมาก”
พอมู่หรงซีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจูซื่อ จากนั้นก็มองสตรีที่เผยสีหน้าเรียบนิ่งจนมองท่าทีไม่ออกอย่างสิ้นเชิงจากมุมที่สูงกว่า
ถึงแม้จูซื่อจะเป็นใบ้ แต่ดวงตาไม่ได้พร่าเลือนและหูไม่ได้หนวก ดวงตาที่ว่างเปล่าเหม่อลอยในเดิมทีก็วูบไหวเล็กน้อยพร้อมเผยสีหน้าขึงขังทันทีที่เห็นมู่หรงซี ปากก็กรีดร้องคร่ำครวญอย่างบ้าคลั่ง หากไม่ใช่เพราะถูกสองคนขนาบข้างซ้ายขวา เกรงว่าคงกระโจนใส่มู่หรงซีแล้ว ดวงตาสองข้างที่มักอ่อนโยน สงบและไร้การชิงดีชิงเด่นในอดีตกลับฉายแววประกายความป่าเถื่อนออกมา
มู่หรงซียิ้มบางเอ่ยเสียงเบา “อวิ๋นเฟย ท่านอยากพูดอะไรอย่างนั้นหรือ ”
จูซื่อย่อมพูดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว นางทำได้แค่ขึงตามองมู่หรงซี มู่หรงซีและนังสารเลวมู่ชิงอีนั่นน่าสะอิดสะเอียนเหมือนกัน สีหน้าท่าทีในตอนนี้ อีกทั้งเขาเรียกนางว่าอวิ๋นเฟยเช่นนี้ยังทำให้นางรู้สึกแย่กว่าถูกเรียกว่าจูซื่อเสียอีก เพราะนี่บ่งบอกว่าแผนการและความอดทนเกือบครึ่งชีวิตของนางกลายเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น
มู่หรงซีกลับไม่ใส่ใจดวงตาอาฆาตแค้นของนาง เขาเพียงยกยิ้มพลางส่ายศีรษะ “อวิ๋นเฟย ท่านเดาว่าน้องหกจะนั่งอยู่ที่ใดหรือ ตามความเข้าใจที่ข้ามีต่อน้องหก ตอนนี้เขาต้องนั่งดูท่านอยู่ที่ใดสักแห่งในละแวกนี้แน่นอน แต่น่าเสียดาย…เพราะเขาไม่มาช่วยท่าน กระทั่งไม่มาเจอด้วยซ้ำ”
เสียงร้องคร่ำครวญของจูซื่อดังขึ้นพร้อมแววตาเคียดแค้นอาฆาต มู่หรงซีถอนหายใจเสียงเบาเอ่ยขึ้น “อวิ๋นเฟยไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้นานแล้วว่าน้องหกไม่โผล่หน้าออกมาง่ายๆ ดังนั้นวันนี้ข้าถึงไม่ผิดหวังเลยสักนิด แต่เสด็จพ่อ น้องสี่และน้องเจ็ดออกจะผิดหวังอยู่สักหน่อย ในเมื่อน้องหกฆ่าองค์หญิงสุดที่รักของเสด็จพ่อเชียว”
จูซื่อชะงักไป นางไม่เข้าใจว่ามู่หรงซีพูดเรื่องนี้กับนางเพื่ออะไร มู่หรงซีคลี่ยิ้มพลางส่ายศีรษะเอ่ย “ข้าพูดเรื่องนี้กับท่านทำไมหรือ ความจริงเสด็จพ่อทรงตัดสินลงโทษประหารเร็วขนาดนี้ ข้ายังรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง หากผ่านไปอีกสักสองสามวัน…ไม่แน่อวิ๋นเฟยอาจได้เห็นจุดจบของน้องหกแล้วก็ได้ อวิ๋นเฟยอยากรู้หรือไม่เล่าว่าสุดท้ายน้องหกจะเป็นเช่นไรบ้าง”