หรงจิ่นเลิกคิ้วแล้วดีดสองนิ้วข้างซ้ายติดต่อกันสองที มู่ฉังหมิงพลันร้องครวญครางทีหนึ่งก่อนจะกระอักเลือดรินไหลออกมาจากปาก หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่แยแส “เอาตัวไปได้ ตอนนี้วิทยายุทธของเขาใช้การไม่ได้แล้ว ในเวลาครึ่งชั่วยามนี้ข้ารับประกันว่าเขาจะขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วมือ”
อู๋ซินที่คอยยืนรับใช้อยู่อีกฝั่งเดินรุดหน้าขึ้นมาอย่างว่องไวแล้วหิ้วตัวมู่ฉังหมิงเดินเข้าไปในเรือน มู่ชิงอีมองหรงจิ่นพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินตามเข้าไป
ครั้นเห็นมู่ชิงอีเดินจากไปแล้ว หรงจิ่นที่สีหน้าอ่อนโยนในทีแรกก็รีบปรับสีหน้าในทันที จากนั้นก็หันไปแค่นเสียงเบาใส่กู้ซิ่วถิงทีหนึ่งแล้วเอนกายพิงต้นไม้ด้านหลังอย่างเกียจคร้าน “อ่อนหัด!” กล้าเข้ามาแทรกกลางระหว่างความรักของเขากับชิงชิงหรือ
“องค์ชายเก้าเป็นคนดีมีคุณธรรมจริงหรือ” กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วพลางกวาดตามองเขาไปด้วย เขามองไม่เห็นบุคลิกของความเป็นคนดีมีคุณธรรมแผ่ออกมาจากเส้นผมแม้แต่เส้นเดียวด้วยซ้ำ
หรงจิ่นกลอกตาอย่างดูแคลน “คนดีมีคุณธรรมคืออะไรหรือ” เป็นคนดีมีคุณธรรมแล้วกินได้หรืออย่างไรกัน
กู้ซิ่วถิงฉีกยิ้มและไม่ได้รั้นคุยหัวข้อสนทนานี้อีก เขามองหรงจิ่นพลางเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “เหตุใดองค์ชายเก้าถึงอยากพาตัวชิงอีกลับแคว้นเย่ว์ไปด้วยหรือ”
หรงจิ่นผงะ จากนั้นรอยยิ้มเชิงดูแคลนบนใบหน้าก็ค่อยๆ จางหายไปแล้วจับจ้องกู้ซิ่วถิงแน่นิ่งเอ่ย “ชิงชิงเป็นของข้า ย่อมต้องอยู่กับข้าอยู่แล้ว”
กู้ซิ่วถิงส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้นอย่างคัดค้าน “ชิงชิงไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น นางเป็นเจ้าของของตัวเอง”
“แล้วจะอย่างไรเล่า” หรงจิ่นเอ่ยด้วยท่าทีผยอง “ในเมื่อต้องตาข้าแล้วก็ต้องเป็นของข้า”
กู้ซิ่วถิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “องค์ชายเก้าก็มิใช่คนไร้เดียงสาขนาดนั้น ย่อมรู้ดีว่าบางคนและบางอย่างบนโลกใบนี้…ไม่ว่าจะพยายามทุ่มเทแค่ไหนก็ไม่มีทางเป็นของท่านได้…ทำเช่นไรก็เป็นของท่านไม่ได้”
หรงจิ่นเงียบไป ฉับพลันในลานนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบเนิ่นนาน หรงจิ่นพิงต้นไม้ก้มหน้าขบคิด กระทั่งยามที่กู้ซิ่วถิงสงสัยว่าเขาคงหลับไปแล้ว ทันใดนั้นหรงจิ่นก็เงยหน้าขึ้นมองเขาเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าจะปฏิบัติทำดีกับชิงชิงให้มากๆ”
กู้ซิ่วถิงชะงักไปแล้วมองบุรุษหนุ่มในชุดสีดำที่กำลังทำสีหน้าจริงจังตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจนัก เขาชินชากับท่าทีชวนให้คนชิงชังของหรงจิ่นนานแล้ว แต่จู่ๆ เวลานี้กลับดูจริงจังและเด็ดขาดขึ้นมาจนดูแปลกตามากเกินไป กระทั่งทำเอาคุณชายซิ่วถิงทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
นี่อาการป่วยกำเริบหรือกำลังแสดงละครตบตากันแน่
คุณชายซิ่วถิงจับจ้องคนตรงหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง ทว่ากลับมองไม่เห็นท่าทีเสแสร้งในแววตาของเขาเลยสักนิด ในทางกลับกันเขาเห็นความตึงเครียดส่งผ่านมาจากนัยน์ตาของหรงจิ่นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาคงเครียดขึ้นมาจริงๆ หากตนไม่เห็นด้วย กลัวชิงอีไม่กลับแคว้นเย่ว์ไปกับเขา?
หรงจิ่นมองกู้ซิ่วถิงด้วยท่าทีน่าสงสาร ยามที่องค์ชายเก้าต้องการเจราจากับใครสักคนคงพูดจาหว่านล้อมหลอกล่อ แต่เวลานี้เขาเพียงจับจ้องกู้ซิ่วถิงอย่างตั้งใจแล้วเอ่ยคำเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้งด้วยท่าทีจริงจัง “ข้าจะปฏิบัติทำดีกับชิงชิงให้มากๆ ข้าจะปกป้องนางแน่นอน”
กู้ซิ่วถิงใจกระตุกวูบ หรงจิ่นกำลังเว้าวอนให้เขาเชื่อใจอย่างนั้นหรือ
“ท่านจะใช้อะไรพิสูจน์เพื่อทำให้กระหม่อมเชื่อว่าท่านจะปฏิบัติทำดีกับชิงอีจริงๆ เล่า”
หรงจิ่นเอ่ยตอบโดยไม่ลังเลใจสักนิด “ขอแค่ข้ายังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็จะไม่ปล่อยให้ชิงชิงต้องบาดเจ็บเจออันตรายใด ขอแค่ข้ามีสิ่งใดก็พร้อมจะให้ชิงชิงได้ทุกอย่าง”
กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วเอ่ย “นี่คือการแสดงความจริงใจที่องค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์จะรับคนมีความสามารถเข้าพวกหรือ หากเป็นเช่นนี้…คนมากความสามารถทั่วทั้งใต้หล้าไม่แก่งแย่งอยากเข้าพวกกันจ้าละหวั่นเลยหรือ”
หรงจิ่นผงะไปแล้วเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “ชิงชิงแตกต่างออกไป นางคือ…ชิงชิงต้องอยู่กับข้าไปชั่วชีวิต”
กู้ซิ่วถิงกลอกตาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “อย่างนั้นหรือ แล้วถ้าชิงอีต้องการอำนาจในมือของท่าน ท่านก็จะให้อย่างนั้นหรือ”
หรงจิ่นมุ่นคิ้วเงียบขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “ข้าแบ่งปันให้ชิงชิงได้” เขาจะไม่เอาอำนาจทั้งหมดมอบให้ชิงชิง แต่ขอแค่เขามีอำนาจ นางก็สามารถแบ่งเอาไปได้เช่นกัน
กู้ซิ่วถิงพยักหน้าเล็กน้อย หากหรงจิ่นรับปากในคราวเดียวเขากลับจะไม่เชื่อใจมากกว่า แต่… “บนโลกใบนี้สามารถแบ่งปันได้ทุกอย่าง ยกเว้นอำนาจเพียงอย่างเดียวที่แต่ไหนแต่ไรมาแบ่งปันให้กันไม่ได้” ดังนั้นในประวัติศาสตร์ทุกยุคสมัยถึงมีตัวอย่างคนถูกฆ่าทิ้งถูกสลัดทิ้งหลังจากกระทำการใหญ่สำเร็จจนเกลื่อนไปหมด
หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ยเสียงเด็ดขาด “ข้าบอกว่าได้ก็คือได้ ขอแค่ข้ามีย่อมแบ่งปันให้ชิงชิงได้เสมอ!”
กู้ซิ่วถิงแค่นเสียงเบาแล้วไม่พูดอะไรอีก หรงจิ่นเอ่ยขึ้นพลางกะพริบตาปริบๆ “พี่ใหญ่ยอมให้ชิงชิงไปกับข้าแล้วหรือ”
กู้ซิ่วถิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “แล้วถ้ากระหม่อมไม่เห็นด้วย ชิงอีก็จะไม่ไปอย่างนั้นหรือ”
หรงจิ่นกะพริบดวงตากลมโตปริบๆ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างอย่างลำพองใจ “เหอะๆ…ข้าว่าแล้ว บนโลกนี้ไม่มีใครที่ข้าเอาไม่อยู่! พี่ใหญ่ คำพูดที่เคยพูดจะกลับคำไม่ได้นะ เดี๋ยวข้าจะบอกชิงชิงว่าพี่ใหญ่ยอมให้นางไปแคว้นเย่ว์แล้ว และดีใจมากที่นางจะไปแคว้นเย่ว์ด้วย!”
ครั้นเห็นใครบางคนแสดงท่าทีเหลิงได้ใจ เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของกู้ซิ่วถิงก็เต้นตุบๆ เมื่อครู่เจ้าหมอนี่เล่นละครตบตามากกว่ากระมัง
เหอะๆ…
หรงจิ่นไม่สนใจข้อข้องใจที่ว่าเป็นการตบตาหรือไม่ของกู้ซิ่วถิง ในที่สุดเขาก็กำราบพี่ใหญ่ของชิงชิงจนอยู่หมัด ไม่เสียแรงที่ข้าพยายามทำตัวต่ำต้อยว่าง่ายมาตั้งนานเลยจริงๆ
คุณชายซิ่วถิงเหลือบมองใครบางคนด้วยท่าทีเย็นชาแวบหนึ่งแล้วตัดสินใจว่าจะไม่บอกใครบางคนเกี่ยวกับเรื่องไปแคว้นเย่ว์ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยคุยเรื่องนี้กับชิงอีแล้ว
ในห้องหนังสือ มู่ฉังหมิงมองตัวเองถูกอู๋ซินหิ้วปีกเข้ามาในห้องหนังสือด้วยมือเดียวโดยทำอะไรไม่ได้ จากนั้นก็วางตัวเขาลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหรงจิ่นทำอะไรเขา ทว่าบุรุษที่เคยผ่านสนามรบมากลับไม่มีแม้แต่แรงขยับตัว เป็นอย่างที่หรงจิ่นบอกจริงๆ ว่าแม้แต่นิ้วก็ยังขยับไม่ได้
มู่ชิงอีเดินช้าๆ ตามหลังอู๋ซินเข้ามา อู๋ซินมองนางด้วยท่าทีนอบน้อม “คุณหนู” มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “เจ้าออกไปเถิด ข้าจะคุยกับซู่เฉิงโหวตามลำพัง”
อู๋ซินพยักหน้าแล้วจากไปอย่างเงียบๆ
ในห้องหนังสือตกอยู่ในความเงียบ มู่ชิงอีนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของมู่ฉังหมิงแล้วกวาดตามองเขาด้วยท่าทีสงบโดยไม่พูดอะไร มู่ฉังหมิงรู้ตัวดีว่ายามนี้ตนเป็นดั่งเนื้อปลาบนเขียง ถึงแม้เขาจะไม่แน่ใจนักว่ามู่ชิงอีคิดจะทำอะไรเขา ทว่ากลับเข้าใจแล้วว่าเหตุที่หรงจิ่นบุกเข้าไปในคุกกรมอาญาเพื่อลักตัวเขาออกมาในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะช่วยตนแน่นอน
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” มู่ฉังหมิงมองสาวน้อยที่แต่งกายพรางตัวเป็นหนุ่มน้อยรูปงามตรงหน้า มู่ชิงอีใช้มือซ้ายเท้าคางแล้วสำรวจมู่ฉังหมิงอย่างละเอียด “ข้าแค่กำลังดูว่า ตอนนั้น…ท่านแม่ต้องตาท่านพ่อจากจุดไหนกัน”
“เจ้าหมายความว่าเช่นไร ข้ากับแม่ของเจ้าถูกคลุมถุงชนตามคำสั่งของพ่อแม่” มู่ฉังหมิงกัดฟันเอ่ย เขาเกลียดที่สุดก็คือตอนที่คนอื่นตั้งคำถามคิดว่าเขาไม่คู่ควรกับสะใภ้จัง ความจริงเดิมทีมู่ฉังหมิงและสะใภ้จังก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าใครไม่คู่ควรกับใคร เพราะล้วนเป็นลูกหลานตระกูลมีชื่อเสียง ขณะเดียวกันความสามารถและสติปัญญาก็สูสีกัน นับว่าเหมาะสมดั่งกิ่งทองใบหยกอย่างสิ้นเชิง แต่นับตั้งแต่ออกไปเที่ยวกับสะใภ้จังในตอนนั้นแล้วช่วยชีวิตฮ่องเต้แคว้นหวาไว้ได้โดยบังเอิญทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม นั่นคือความโลภที่ไม่ควรมีในชั่วชีวิตนี้เลยด้วยซ้ำ คุณงามความดีจากการช่วยชีวิตฮ่องเต้…นี่ไม่ใช่โอกาสที่ใครจะได้มาง่ายๆ เลย เพราะเหตุนี้เขาจึงกล่าวเอาคุณงามความดีทั้งหมดใส่ตัวต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นหวา ถึงแม้สะใภ้จังจะไม่พูดอะไร แต่มู่ฉังหมิงมักรู้สึกว่าดวงตาอันงดงามของนางกลับฉายแววผิดหวัง หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็เอาแต่อดคิดไม่ได้ว่าสะใภ้จังกำลังดูแคลนเขาอยู่ตลอดเวลา