ถึงอย่างไรกระดาษก็ห่อหุ้มไฟเอาไว้ไม่ได้เพราะสุดท้ายฮ่องเต้ก็ทรงรู้ความจริง ตอนนั้นเขาถูกแต่งตั้งเป็นซู่เฉิงโหวแล้ว ทว่าฮ่องเต้รู้สึกว่าตัวเองโดนหลอกจึงทรงกริ้วมาก ท้ายที่สุดก็เป็นสะใภ้จังที่เข้าไปช่วยขอร้องวิงวอนแทนเขา แต่มู่ฉังหมิงกลับคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้แคว้นหวาจะถูกใจสะใภ้จังเพราะเหตุนี้
ความโลภเปรียบเสมือนสายน้ำที่ทะลักออกมาจากเขื่อน ทันทีที่ได้เริ่มขึ้นแล้วย่อมหยุดยั้งไม่อยู่ ยิ่งตำแหน่งเขาสูงมากขึ้นเท่าไร อำนาจมากขึ้นเท่าไร กระทั่งเป็นขุนนางใหญ่ที่ฮ่องเต้แคว้นหวาให้ความสำคัญ ทว่าสิ่งที่เขาต้องการกลับมากขึ้นเรื่อยๆ เขาส่งบุตรสาวคนโตเข้าวัง ให้บุตรสาวคนที่สามอภิเษกกับหนิงอ๋อง…จนกระทั่งตอนนี้มองย้อนกลับไป เขามองไม่ออกแล้วว่าตกลงตัวเองในตอนนั้นเป็นคนเช่นไรกันแน่
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “มิน่าเล่า ข้าขอพูดตามตรงนะเจ้าคะ…ท่านพ่อ ต่อให้ท่านแม่จะเลือกฮ่องเต้แคว้นหวา เกรงว่าจะยังมีความสุขมากกว่าเลือกท่านพ่อเสียด้วยซ้ำ”
ไม่ว่านิสัยของฮ่องเต้แคว้นหวาจะต่ำช้าเพียงใด ไม่ว่าเขาจะรักษาความรักที่มีให้น้าหญิงได้นานแค่ไหน หรือบางทีน้าหญิงเข้าวังไปยังไม่ทันแก่เฒ่าก็อาจไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้แล้ว แต่อย่างน้อย…ฮ่องเต้แคว้นหวาก็เคยรักน้าหญิงจริงๆ ทว่ามู่ฉังหมิง เกรงว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใจให้เลยเสียด้วยซ้ำ รวมถึงสะใภ้ซุนด้วย เพราะสำหรับในใจของมู่ฉังหมิงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดตราบชั่วชีวิตนี้มีแค่ตัวเขาเองเท่านั้น
“หุบปาก!” มู่ฉังหมิงคำรามด้วยความโกรธ “คนอกตัญญูอย่างเจ้า เหตุใดถึงกล้าพูดเช่นนี้ได้! เป็นเพราะเจ้าสัตว์เดียรัจฉานนั่น…สัตว์เดียรัจฉานนั่นต่างหากที่ฆ่าแม่ของเจ้า”
มู่ชิงอียิ้มเย็นชาเอ่ย “ตอนนี้ท่านพ่อกล้าด่าเขาว่าเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วหรือ ถ้าเขาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน…แล้วท่านพ่อเล่า อย่างน้อยตอนนั้นเป็นเพราะฮ่องเต้แคว้นหวาหลงคิดว่าท่านแม่มีใจให้ตัวเอง ทว่าก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยบีบบังคับให้ท่านแม่ทำสิ่งใดเลย แต่ท่านพ่อล่ะ ท่านพ่อกล้าพูดหรือไม่ว่า…ท่านพ่อไม่รู้เรื่องที่มู่เฟยหลวนทำเลย จะมีขุนนางใหญ่คนใดบ้างที่ปล่อยให้ภรรยาของตัวเองเข้าไปอยู่ในวังเป็นเดือนโดยไม่ถามไถ่อะไรเลย”
ฉับพลันมู่ฉังหมิงก็เป็นใบ้พูดไม่ออกพลางมองแววตาที่เย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็งของมู่ชิงอีอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี เขารู้สึกเพียงว่าละอายใจเหลือเกิน จากนั้นก็ก้มหน้าเอ่ยเสียงแหบพร่า “เจ้าพูดถูก…ข้า ข้าเองก็เป็นสัตว์เดียรัจฉาน…ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าจะมาช่วยข้าทำไมอีก เจ้าอยากแก้แค้นแทนแม่ของเจ้ามาตลอดมิใช่หรือ ปล่อยให้ข้าตายอยู่ในคุกก็สมดั่งใจเจ้าพอดีมิใช่หรือ”
มู่ชิงอีเอ่ยยิ้มน้อยๆ “เรื่องนี้หรือ…เพราะข้าคิดว่ามีบางเรื่องที่ควรบอกท่านพ่อให้กระจ่างสักหน่อย อย่างเช่น…เรื่องพี่ใหญ่”
“พี่ใหญ่ของเจ้าหรือ” มู่ฉังหมิงชะงักไปแล้วเอ่ย “พี่ใหญ่ของเจ้าทำไมหรือ เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเขาก็ดีไม่หยอก แม้แต่เขาเจ้าก็ยังไม่ปล่อยไปเลยหรือ” ถึงแม้เขาจะโกรธแค้นที่บุตรชายคนโตอย่างมู่เชินทรยศตัวเอง แต่ถึงอย่างไรมู่เชินก็เป็นทายาทของตัวเองเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ หากมู่เชินตายไปด้วย เช่นนั้นตระกูลมู่คงไร้ซึ่งทายาทสืบทอดต่อไปแล้วจริงๆ
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ตอนนี้พี่ใหญ่ติดตามรับใช้จื้ออ๋อง วันหน้าเขาจะเป็นเช่นไรข้าไม่สน หากต่อไปภายหน้าจื้ออ๋องขึ้นเป็นใหญ่ครองบัลลังก์ เขาก็ย่อมเป็นขุนนางใหญ่มีอิทธิพลตามไปด้วย แต่หากจื้ออ๋อง…ว่ากันตามตรง ข้าไม่มั่นใจในตัวจื้ออ๋องนัก”
“เจ้า…” มู่ฉังหมิงจับจ้องนาง “เจ้ากับกู้ซิ่วถิงอยากสนับสนุนผิงอ๋อง แต่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้หรอก! ต่อให้องค์ชายทุกคนตายหมด ฝ่าบาทก็ไม่มีทางให้ผิงอ๋องสืบทอดบัลลังก์” เพราะนั่นก็แสดงว่าการตัดสินใจในครั้งนั้นของฮ่องเต้แคว้นหวาผิดพลาดทั้งหมด ถึงแม้ตอนนี้ทุกคนจะรู้เรื่องราวในตอนนั้นว่าผิงอ๋องเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เห็นได้ชัดว่าความบริสุทธิ์ของผิงอ๋องกลับไม่ได้สำคัญเท่าชื่อเสียงของฮ่องเต้แคว้นหวาที่บันทึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์เลย
มู่ชิงอีเอ่ย “พี่ใหญ่ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ท่านพ่ออย่าได้กังวลเรื่องนี้ไปเลย เหตุที่ข้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะต้องการจะบอกท่านพ่อว่า ต่อให้สุดท้ายพี่ใหญ่จะยังมีชีวิตอยู่ ท่านพ่อก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะสืบทอดตระกูลต่อไป เขาวางแผนจะเปลี่ยนชื่อสกุลแล้วไปเรียนรู้โลกภายนอกสักสองสามปี ถึงอย่างไรชื่อของตระกูลมู่ที่ติดตัวเขาก็ไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับการเป็นขุนนางในภายภาคหน้าอยู่แล้ว”
“เจ้า…” มู่ฉังหมิงอดสีหน้าเปลี่ยนไม่ได้ สำหรับบุรุษแล้ว นอกจากตำแหน่งชื่อเสียง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องสืบทอดตระกูล ทว่ามู่ชิงอีกลับดับฝันของเขาลง
“เหตุใดเจ้าถึงโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ข้าเป็นพ่อของเจ้านะ ต่อให้เจ้าเกลียดข้าแต่เจ้าก็คือบุตรสาวของตระกูลมู่” ร่างแข็งทื่อที่ไร้หนทางจะกระดิกตัว ทำให้เขารู้สึกถึงความไม่ได้เรื่องของตัวเองจับใจ เขาทำได้แค่มองมู่ชิงอีอย่างทุกข์ทรมานเช่นนี้
มู่ชิงอีเลิกคิ้วพร้อมคลี่ยิ้มบาง “โหดเหี้ยมหรือ” มู่ชิงอียกมือเรียวงามขาวละเอียดของตนวางไว้ตรงหน้าเขาแล้วยกยิ้ม “ท่านพ่อ สองมือนี้ของข้า…ไม่เคยแปดเปื้อนเลือดและชีวิตของใครมาเลยสักคน อืม…หากเทียบกับคนที่ฆ่าแม่แท้ๆ ที่เลี้ยงดูฟูมฟักตัวเองมาจนตายเองกับมือ ข้าไม่น่าจะถือว่าโหดเหี้ยมหรอกกระมัง”
มู่ฉังหมิงสีหน้าซีดขาว เขาฆ่ามารดาของตัวเองตายในยามที่ทุกข์ทรมานและฟุ้งซ่าน นี่เป็นบาปกรรมที่ชั่วชีวิตนี้เขาไม่มีหนีพ้นได้ “ไม่…ข้าไม่ได้ตั้งใจ” ท่านแม่ทรมานเกินไป เขาก็ไม่ได้อยากฆ่านางสักหน่อย เขาก็แค่อยากช่วยให้นางหลุดพ้นจากความเจ็บปวดเท่านั้น เพียงแต่เบื้องหน้าของเขากลับลบเลือนแววตาตกตะลึงก่อนเผชิญกับความตายของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เลย เหมือนคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายบุตรชายที่นางรักใคร่และเลี้ยงดูสั่งสอนมาจะเป็นคนที่ฆ่านางจนตาย
“ท่านพ่อรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงต้องช่วยท่าน เพราะ…ข้ารู้สึกว่าท่านพ่อน่าสงสารเหลือเกิน” มู่ชิงอีเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “ตอนนี้ท่านย่าตายแล้ว พี่ใหญ่ไปแล้ว พี่หญิงใหญ่และพี่รองก็ตายแล้ว พี่หญิงสามก็คงกลับมาไม่ได้อีกตลอดชีวิต ต่อให้ท่านพ่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วจะทำอะไรได้ สิ่งที่ท่านพ่ออยากได้ก็คงไขว่คว้ามาครอบครองไม่ได้แล้ว แม้แต่วิทยายุทธยังถูกทำให้ใช้การไม่ได้เลย ตอนนี้ท่านพ่อกล้าเดินออกไปหรือ ขอแค่ท่านพ่อเดินออกนอกประตูไปก็จะถูกคนอื่นมองว่าท่านคือฆาตกรที่ฆ่าแม่แท้ๆ ของตนเองแล้วหนีออกมาจากคุก เหอะๆ…พอถึงตอนนั้นท่านพ่อก็เป็นเพียงคนล้มเหลวชื่อเสียงพังย่อยยับและชีวิตลำเค็ญไปจนวันตาย ชีวิตท่านพ่อในแบบนี้…น่าจะสนุกกว่าตายไปเสียอีกกระมัง”
ทุกถ้อยคำของมู่ชิงอีทำเอามู่ฉังหมิงอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้เพราะคำบรรยายชีวิตในภายภาคหน้าของมู่ชิงอี ญาติทั้งหมดของตนมีทั้งคนที่ตายไปแล้วและคนที่แยกย้ายกันไป บัดนี้เขาไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง อีกทั้งยังต้องแบกข้อหาฆ่าแม่แท้ๆ ตายอีก ชั่วขณะนี้แม้แต่ตัวมู่ฉังหมิงเองยังรู้สึกว่าตนไม่เหลือเหตุผลใดให้มีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
แสงประกายในแววตาค่อยๆ หม่นลง มู่ฉังหมิงก้มศีรษะเอนกายบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็เอ่ยพึมพำเสียงต่ำ “ทำไมกัน เหตุใดต้องช่วยข้าออกมาด้วย ปล่อยให้ข้าตายในคุกไปเถิด”
มู่ชิงอียืนขึ้นคลี่ยิ้มบางมองมู่ฉังหมิง จู่ๆ ก็เปิดปากเอ่ย “ข้าเกือบลืมไปเลย ความจริงที่ข้าอยากเจอท่านมาตั้งแต่แรกเพียงเพราะอยากบอกท่านเรื่องหนึ่ง ความจริง…ข้าไม่ควรเรียกท่านว่าท่านพ่อ ข้าว่าข้าควรเรียกท่านว่า…น้าเขยถึงจะถูก”
“อะไรนะ…หมายความว่าเช่นไรกัน” มู่ฉังหมิงเอ่ยด้วยท่าทีตกตะลึง ครั้นเห็นรอยยิ้มคลุมเครือบนใบหน้าเช่นนั้น ใจพลันหายวาบ
“ช่างน่าผิดหวังจริงๆ เพราะควรจะเป็นความสัมพันธ์พ่อลูกที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด” มู่ชิงอีส่ายศีรษะ “ที่ผ่านมาท่านพ่อไม่เคยสงสัยในตัวข้า…ว่าข้าไม่ใช่มู่ชิงอีเลยหรือ”
“เจ้ามิใช่ชิงอีหรือ” มู่ฉังหมิงตกตะลึง แต่ไม่นานก็เข้าใจในทันที “ใช่แล้ว ชิงอีเป็นคนจิตใจดีและอ่อนโยนมาตั้งแต่เด็ก แล้วจะวางกลอุบายทำร้ายคนได้มากมายขนาดนี้ได้เช่นไร ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่”
“น้าเขยจำข้าไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ”
“เจ้า…”
“ข้าก็คือ…กู้อวิ๋นเกออย่างไรเล่า”
กู้อวิ๋นเกอน่ะหรือ
มู่ฉังหมิงเบิกตากว้างอย่างหวาดผวา “ไม่ใช่ว่า…ไม่ใช่ว่ากู้อวิ๋นเกอ…”