“ตายแล้วอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีต่อบทสนทนาพร้อมฉีกยิ้มกว้าง ครั้นเห็นท่าทีตื่นตระหนกของมู่ฉังหมิง มู่ชิงอีก็เปิดปากเอ่ยท่อนเพลงพื้นบ้านเสียงเบาโดยไร้ทำนอง “ความแค้นเอย ความเกลียดชังเอย ยากที่จะลืมเลือนไปชั่วชีวิต หมดสิ้นความยุติธรรม เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น…”
สีหน้าของมู่ฉังหมิงยิ่งซีดขาวลงเรื่อยๆ ตอนนั้นกู้อวิ๋นเกอตายที่หอนางโลมชุ่ยหง ในเมื่อที่นั่นเป็นหอนางโลมย่อมมีคนอยู่ไม่น้อย บทเพลงที่นางขับร้องก่อนตายเรียกได้ว่าออกเชิงต่อต้านการปกครองแคว้น ต่อให้ไม่กล้านำมาเผยแพร่ต่อหน้าหมู่มวลชน แต่โดยส่วนตัวแล้วมู่ฉังหมิงกลับรู้เรื่องอยู่พอสมควร
“เจ้าคือกู้อวิ๋นเกอจริงๆ หรือ เช่นนั้นชิงอีไปไหนเล่า”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “น้าเขยยังไม่เข้าใจอีกหรือ ข้าคือกู้อวิ๋นเกอ และคือมู่ชิงอีด้วยเช่นกัน ส่วนอีเอ๋อร์ที่เคยเคารพรักท่านผู้นั้น…น้าเขยน่าจะจดจำฝ่ามือของท่านในตอนนั้นได้ อีเอ๋อร์ได้จากไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว น้าเขย ท่านไม่เพียงแต่ฆ่าแม่แท้ๆ ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูท่านมาเท่านั้น แต่ยังฆ่าลูกแท้ๆ ของตัวเองด้วย”
“ไม่…กู้อวิ๋นเกอ เจ้า…”
“ใช่แล้ว ข้ากู้อวิ๋นเกอ…กลับมาตั้งนานแล้ว ถึงแม้จะอยู่ในร่างของน้องหญิงก็ตาม” มู่ชิงอีเอ่ยด้วยท่าทีสงบ เหลือบมองมู่ฉังหมิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมสติเลื่อนลอยร่างแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปโดยไม่คิดอาลัยอาวรณ์สักนิด ภายใต้ต้นไม้ใหญ่นอกประตู กู้ซิ่วถิงยังคงหมุนถ้วยสุราภายใต้แสงจันทร์ด้วยท่วงท่าสบายๆ เช่นเดิม ทว่าหรงจิ่นที่อยู่ด้านข้างกลับนั่งพิงต้นไม้ด้วยท่าทีเกียจคร้านเบื่อหน่าย ครั้นเห็นมู่ชิงอีเดินออกมา ดวงตาก็ลุกเป็นประกายขึ้นมาทันที ขานเรียก “ชิงชิง…”
กู้ซิ่วถิงผู้นี้เป็นคนที่น่าเบื่อจริงๆ ฉลาดเกินไป แม้กระทั่งคิดจะหลอกล่อปั่นหัวยังทำไม่ได้เลย เพราะเขาเป็นพี่ใหญ่ของชิงชิงจึงอาศัยวิทยายุทธชั้นสูงของตนมารังแกเขาไม่ได้ สุขุมเยือกเย็นเกินไป ไม่ว่าจะพูดยุแหย่เช่นไรก็ไม่อาจยั่วโมโหได้ แบบนี้ไม่สนุกเลยสักนิด!
“คุยกันจบแล้วหรือ” กู้ซิ่วถิงวางถ้วยสุราลงเอ่ยพลางยิ้มบาง
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “เดิมทีข้าก็ไม่ได้มีอะไรอยากพูดอยู่แล้ว เพียงแต่…” เพียงแต่ถ้าไม่เอาเรื่องพวกนี้บอกมู่ฉังหมิงไป ต่อให้มู่ฉังหมิงตายนางก็คงไม่สะใจ นางทำไปเพื่อชิงอี
กู้ซิ่วถิงเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อคุยกันจบแล้วก็ปล่อยวางเถิด” จวนหนิงอ๋องและจวนกงอ๋องจบสิ้นแล้ว ผิงหนานจวิ้นอ๋องเองก็ใกล้ล่มสลายเต็มที คนในจวนซู่เฉิงโหวก็ตายเกือบหมดแล้ว กู้ซิ่วถิงหวังอยากให้น้องสาววางเรื่องราวในอดีตลงได้ทุกอย่างแล้วใช้ชีวิตสงบสุขอย่างที่ต้องการ
มู่ชิงอีพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเอ่ย “เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ก็เช่นกัน” มู่หรงอานเองก็ตายด้วยน้ำมือของพี่ใหญ่เช่นกัน มู่หรงอวี้…ก็คงต้องตายในไม่ช้าก็เร็ว ความอัปยศของตระกูลกู้และพวกเขาถูกลบล้างจนสิ้นแล้ว นางกับพี่ใหญ่จะวางเรื่องทุกอย่างแล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง
กู้ซิ่วถิงพยักหน้าแล้วมองน้องสาวอย่างอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มบางๆ โดยไม่พูดอะไร
หรงจิ่นที่อยู่ด้านข้างกลอกตาใส่อย่างรำคาญใจแล้วถามแทรกขึ้นว่า “แล้วจะจัดการเจ้านั่นอย่างไรหรือ จะส่งเขากลับคุกกรมอาญาจริงๆ หรือ” เขาไม่อยากกลับไปในสถานที่ทั้งสกปรกและเหม็นอับเช่นนั้นอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมู่ฉังหมิงหายตัวไปนานขนาดนี้ย่อมถูกใครเห็นเข้าแล้วกระมัง
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วขบคิดอยู่นานถึงเอ่ย “โยนเขาออกนอกเมืองแล้วส่งคนคอยสอดส่องติดตามเขาไป” นางไม่อยากยุ่งกับเรื่องของมู่ฉังหมิงแล้ว อีกอย่างนางก็พอจะเดาจุดจบของมู่ฉังหมิงได้ หากเขายังมีชีวิตอยู่ต่อไปคงกล่าวได้เพียงว่าเขาเข้มแข็งหรือใจดำอำมหิตจนกระทั่งนางยังต้องนับถือแล้วจริงๆ
ถึงแม้จะนึกแปลกใจอยู่บ้าง ทว่าหรงจิ่นกลับไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรเพียงโบกมือสั่งให้อู๋ฉิงไปจัดการ
ยามที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างเล็กน้อย อู๋ฉิงก็ได้กลับมารายงานว่ามู่ฉังหมิงฆ่าตัวตายต่อหน้าหลุมฝังศพของฉินกั๋วฮูหยินหรือสะใภ้จังแล้ว
ครั้นได้ยินคำรายงานของอู๋ฉิง มู่ชิงอีก็แค่ชะงักไป ก่อนจะโบกมือไล่ให้เขาออกไป มู่ฉังหมิงตายแล้ว อีกทั้งยังตายต่อหน้าหลุมศพของน้าหญิง ภายหลังย่อมมีคนจัดการเรื่องราวหลังจากนั้นเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาคิดเรื่องใดต่อหน้าหลุมศพของน้าหญิงบ้าง เขาจะนึกเสียใจและละอายใจในพฤติกรรมตลอดหลายปีที่ผ่านมาบ้างหรือไม่
เรื่องที่มู่ฉังหมิงหายตัวไปจากคุกกลับไม่ได้แพร่งพรายออกไปให้ใครรู้ เพราะสุดท้ายคนที่เก็บศพของมู่ฉังหมิงก็คือองครักษ์ในวังที่ฮ่องเต้แคว้นหวาส่งมา อีกทั้งคนและคดีของตระกูลมู่เหมือนจะถูกคนลืมเลือนไปอย่างพร้อมเพรียงและไม่มีใครเอ่ยถึงสักคน อีกทั้งไม่มีใครรู้ความเป็นความตายของตระกูลมู่ราวกับแต่ไหนแต่ไรมาเมืองหลวงไม่เคยมีตระกูลนี้ก็มิปาน
หลังจากนั้นผลวิธีการจัดการกับจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องก็ออกมาแล้ว ผิงหนานจวิ้นอ๋องจูเปี้ยนย่อมรับโทษประหารสถานเดียว แต่เห็นแก่คุณงามความดีของบรรพบุรุษจึงให้เลือกวิธีการฆ่าตัวตายเอง ส่วนทุกคนในจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องถูกจับออกไปกักขังแถบชายแดน ดังนั้นตำแหน่งผิงหนานจวิ้นอ๋องย่อมสลายหายไปด้วย เวลานี้จึงเหลือเพียงอานซีจวิ้นอ๋องที่เป็นอ๋องคนละสกุลกับเชื้อพระวงศ์เพียงหนึ่งเดียวในแคว้นหวาเท่านั้น
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนจวนอ๋องสามแห่งในเมืองหลวง สองพระชายา สองตระกูลที่มีอำนาจนั้นล่มสลายหายวับไปกับตา ทั่วทั้งเมืองหลวงอบอวลไปด้วยบรรยากาศกดดันและเศร้าสร้อย เพราะเหตุนี้งานอภิเษกขององค์ชายเก้าและองค์หญิงไหวหยางที่ใกล้เข้ามาจึงทำให้คนผู้คนต่างตั้งตารอคอยเป็นพิเศษ แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นหวายังทรงหวังว่าการอภิเษกครั้งนี้จะช่วงลบล้างความโชคร้ายที่เกิดขึ้นในระยะนี้ได้ ด้วยเหตุนี้พิธีอภิเษกจึงยิ่งใหญ่มากกว่าแผนการในตอนแรกอยู่มาก กระทั่งทำให้องค์ชายเก้าที่เดิมทีไม่ได้รับความสำคัญพลอยรู้สึกเปรมปรีดิ์ขึ้นมาไม่น้อย
ต้นเดือนเจ็ดยังคงเป็นช่วงฤดูร้อนแดดแรงจ้าเฉกเช่นเคย วันนี้ในเมื่อหลวงเต็มไปด้วยความยินดีและคึกคักเป็นพิเศษ เหล่าปวงชนที่ว่างจากการทำงานแห่เข้ามาห้อมล้อมมุงดูงานอภิเษกขององค์ชายเก้าและองค์หญิงแคว้นเย่ว์ไม่น้อย
มู่ชิงอีนั่งอยู่ริมหน้าต่างชั้นสองของศาลาชิงอานมองบรรยากาศคึกคักของฝูงชนด้านล่างพร้อมรอยยิ้ม รถเกี้ยวพิธีการขององค์หญิงยังไม่ผ่านมา แต่ด้านล่างกลับรายล้อมด้วยผู้คนเต็มไปหมด บางทีอาจเป็นเพราะงานอภิเษกวันนี้เลยทำให้ศาลาชิงอานที่กิจการดีมากในยามปกติซบเซาลงไปพอสมควร เหล่าขุนนางและคนมีอำนาจในเมืองหลวงต่างพากันไปแสดงความยินดีที่จวนองค์ชายเก้าแห่งแคว้นหวา
“คุณชายผู้นี้…ไม่ทราบว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือไม่” ขณะที่มู่ชิงอีกำลังมองฝูงชนเบื้องล่าง เสียงเข้มทุ้มต่ำพลันดังขึ้นข้างกายทำให้มู่ชิงอีชะงักไป เลิกคิ้วงามเล็กน้อยก่อนหันไปมองผู้มาเยือน
เฝิงจื่อสุ่ยที่อยู่ในมุมไม่ไกลนักเห็นเช่นนั้นก็รีบรุดหน้าเดินเข้ามาหมายจะช่วยแก้สถานการณ์ให้ ทว่ากลับเห็นมู่ชิงอีส่ายศีรษะเล็กน้อยสื่อว่าไม่ต้องเดินมา เฝิงจื่อสุ่ยจึงชะงักฝีเท้า จากนั้นก็ทำท่าหมุนตัวเดินไปยังมุมอีกฝั่งหนึ่ง
“หัวหน้าองครักษ์เนี่ยหรือ” มู่ชิงอีกลับไม่ได้หลบหลีกแต่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เนี่ยอวิ๋นมองรอยยิ้มเบิกบานของหนุ่มน้อยชุดขาวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามักรู้สึกว่าหนุ่มน้อยชุดขาวตรงหน้าผู้นี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่จากความทรงจำของเขา ต่อให้จะไม่ได้ถึงขนาดความจำดีมาก แต่หากได้เจอหนุ่มน้อยที่โดดเด่นคนหนึ่งเช่นนี้ย่อมไม่มีทางลืมได้ถึงจะถูก ในความทรงจำของเขากลับเหมือนว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเจอคนๆ นี้มาก่อนด้วยซ้ำ
มู่ชิงอียิ้มกว้างเอ่ย “หัวหน้าองครักษ์เนี่ยเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวา น้องชายเลื่อมใสท่านมานานแล้ว ความจริงเคยเจอจากมุมไกลๆ มาหลายครั้ง คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้สนทนากับหัวหน้าองครักษ์เนี่ย ช่างเป็นเกียรตินัก”
“อย่างนั้นหรือ” เนี่ยอวิ๋นมุ่นคิ้ว ขบคิดแล้วกล่าว “คุณชายมีนามว่าอันใดหรือ”
“ข้าสกุลจัง มีนามว่าชิง พยางค์เดียว” มู่ชิงอีเอ่ยตอบ
“จังชิงหรือ” ชื่อช่างไม่คุ้นหูเอาเสียเลย ทว่ากลับเป็นหนุ่มน้อยที่รู้สึกคุ้นหน้าอย่างประหลาด เนี่ยอวิ๋นพานนึกถึงมู่ชิงอีองค์หญิงหมิงเจ๋อที่หายตัวไปเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมา หลายวันมานี้เขาเองก็คอยแอบตามหาหญิงงามและชาญฉลาดผู้นั้นอยู่ ทว่ากลับไม่เจอร่องรอยเบาะแสใดเลยสักนิด บางทีอาจเป็นเพราะหนุ่มน้อยผู้นี้ละม้ายคล้ายคลึงนางอยู่บ้างเลยทำให้เขารู้สึกคุ้นหน้ากระมัง