คนชุดดำทั้งสองคนไม่ลังเลใจเลยสักนิด ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสยังไม่ทันจบก็พุ่งตัวเข้าไปแทงมู่หรงอวี้ มู่หรงอวี้สีหน้าซีดขาว เนื่องจากเขาบาดเจ็บภายในอยู่แล้วจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสองคนนี้เลยสักนิด อีกทั้งนักฆ่าของหันเสวี่ยโหลวที่มาพร้อมเขาก็ต้องรับมือกับองครักษ์ในวังจึงเกรงว่าคงมาช่วยเขาไม่ทันแน่นอน
“ต่อให้ตาย แต่หากลากพี่น้องสักสองสามคนลงหลุมตามไปพร้อมกันด้วยก็คุ้มแล้ว” มู่หรงอวี้ฝืนยิ้มกล่าว
ฮ่องเต้แคว้นหวายิ้มเย็นชาตรัสว่า “เจ้าหมายถึงเจ้าสี่กับเจ้าเจ็ดหรือ หลายวันมานี้พวกเขาเองก็กำเริบเสิบสานอยู่บ้างจริงๆ ทำให้พวกเขาหยุดบ้างก็ดี”
มู่หรงอวี้สีหน้าเปลี่ยน เดิมทีฮ่องเต้แคว้นหวาไม่เพียงแต่ไม่สนใจบุตรชายผู้นี้เท่านั้น แต่กระทั่งมู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวเองก็ไม่สนใจเช่นกัน ชั่ววินาทีนั้นเขารู้สึกว่าพี่น้องเหล่านี้คงต้องเจอเรื่องทุกข์ทรมานน่าเห็นใจไม่ต่างจากเขาแน่นอน
เพล้ง! มีดาบยาวเล่มหนึ่งมาขวางดาบของคนชุดดำสองคนนี้ไว้ ฉับพลันก็ปรากฏบุรุษปิดหน้าชุดดำเช่นเดียวกันพุ่งตัวเข้ามาในพระตำหนักแล้วคั่นกลางระหว่างมู่หรงอวี้กับองครักษ์ชุดดำสองคนนี้ไว้
ฮ่องเต้แคว้นหวาเอาสองคนนี้มาอยู่ข้างกายเป็นไพ่ไม้ตายย่อมแสดงให้เห็นว่าฝีมือการต่อสู้ของสองคนนี้ไม่ธรรมดา ทว่าการปรากฏตัวของบุรุษชุดดำที่โผล่มาปุบปับกลับจัดการจนพวกเขาทั้งสองเซถอยหลังไปถึงหลายจั้ง[1]
“เจ้าเป็นใครกัน” มู่หรงอวี้เอ่ยถามเสียงขรึม
“หุบปาก!” เสียงของบุรุษผู้นั้นทุ้มต่ำจนน่าแปลก เขากวาดตามองทุกคนในพระตำหนักแวบหนึ่ง สะบัดมือครั้งเดียวไอคมดาบอันดุดันก็พุ่งเข้าหาฮ่องเต้แคว้นหวา
“ฝ่าบาทระวัง!” องครักษ์ชุดดำทั้งสองไม่สนใจมู่หรงอวี้อีกแล้วรีบกระโจนเข้าปกป้องฮ่องเต้แคว้นหวา ในขณะเดียวกันบุรุษชุดดำผู้นั้นก็คว้าตัวมู่หรงอวี้มาแล้วหนีออกจากพระตำหนักไป
องครักษ์ชุดดำทั้งสองขวางคมดาบของบุรุษผู้นั้นไว้ได้ ทว่ายามเงยหน้าขึ้นมา สองคนนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว “กระหม่อมไร้ความสามารถ ฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้แคว้นหวาแค่นเสียงเบาทีหนึ่งตรัสถาม “คนชุดดำนั่นเป็นใครกัน”
หนึ่งในองครักษ์ชั่งใจครู่หนึ่งก่อนกราบทูลด้วยเสียงนอบน้อมว่า “คนผู้นั้นวิทยายุทธแกร่งกล้านัก น่าจะสูสีกับหัวหน้าองครักษ์เนี่ยก็ว่าได้…โปรดอภัยที่กระหม่อมไม่รู้และคาดเดาตัวตนเขาไม่ออก”
ในใต้หล้านี้คนที่มีฝีมือวิทยายุทธสูสีกับเนี่ยอวิ๋นมีอยู่ไม่กี่คน แต่บนโลกนี้ก็มีบุคคลที่ปิดบังสถานะไม่ให้ใครรู้จักอยู่มากมายเช่นกัน ทว่าพวกเขาก็เดาไม่ออกว่ากระบวนท่าการต่อสู้ของคนเมื่อครู่เป็นใครกันแน่
“ไอ้ลูกมารผจญนั่น…” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสเสียงขรึม
“องค์ชาย…นักโทษอวี้บาดเจ็บถึงเส้นชีพจร น่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่หากมียอดฝีมือคอยช่วยล่ะก็ เกรงก็แต่…” เดิมทีฮ่องเต้แคว้นหวาต้องการชีวิตของมู่หรงอวี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นตอนปะทะฝีดาบกันครั้งนั้น สององครักษ์ชุดดำจึงงัดท่าไม้ตายชิงทำร้ายเส้นชีพจรของมู่หรงอวี้ก่อน
“ในเมื่อบาดเจ็บคงหนีออกจากเมืองหลวงไม่ได้แน่ หากมีชีวิตก็ต้องเห็นตัว แต่ถ้าตายก็ต้องเห็นศพ!” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสขึ้น
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
“อีกเรื่อง ไปตามสืบดูว่าเจ้าลูกเวรนั่นมีใครคอยช่วยหนุนหลัง!” ด้วยสภาพตกอับของมู่หรงอวี้ในเวลานี้ย่อมไม่มีทางต่อกรกับจวนองค์ชายเก้าและบุกเข้าวังในยามวิกาลพร้อมกันเช่นนี้ได้
“กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ชุดดำทั้งสองกล่าวน้อมรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากพระตำหนักไป
บนหลังคาพระตำหนัก มู่ชิงอีที่พิงอยู่ในอ้อมอกของหรงจิ่นถอนหายใจอย่างหมดสนุก สู้กันตั้งนานแต่กลับไม่มีใครบาดเจ็บเรื่องก็จบแล้ว แต่ถ้าฮ่องเต้ของแคว้นแค่ถูกลอบจู่โจมก็โดนฆ่าสำเร็จหรือได้รับบาดเจ็บก็คงเป็นเรื่องน่าขันเช่นกัน แต่ตอนจบที่แสนจืดชืดเช่นนั้นช่างทำให้คนที่รอดูเรื่องสนุกๆ พลอยรู้สึกผิดหวังไปด้วยเลย
“คนชุดดำนั่นเป็นใครหรือเพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงเบา
“เว่ยอู๋จี้” หรงจี้กล่าวเล็ดลอดไรฟัน
เป็นเว่ยอู๋จี้จริงๆ น่ะหรือ ยามที่มู่หรงอวี้ดึงเว่ยอู๋จี้เข้าพวกในตอนนั้น ท่าทีของเว่ยอู๋จี้ก็ไม่ได้ดูเป็นมิตรสักเท่าไร หรือเขาจะจงใจปกปิดสถานะตัวเองกระมัง
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาอย่างไม่ชอบใจนัก มู่หรงอวี้จะมีความสามารถเชิญตัวเว่ยอู๋จี้มาได้เช่นไร ย่อมต้องเป็นฝีมือของหรงเหยี่ยนอยู่แล้ว
“ทูลฝ่าบาท! จวนองค์ชายเก้า…” เบื้องล่างมีคนรีบร้อนวิ่งเข้ามากราบทูล
ฮ่องเต้แคว้นหวาเอ่ยเสียงต่ำ “จวนองค์ชายเก้าทำไมหรือ”
“ทูลฝ่าบาท องค์ชายสาม องค์ชายสี่ องค์ชายเจ็ด องค์ชายเก้าต่างได้รับบาดเจ็บหนัก อีกทั้ง…องค์หญิงไหวหยางและตวนอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์ก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน นอกจากนี้…องค์ชายสองได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่จู่ๆ ก็อาการกำเริบจนอยู่ในภาวะอันตรายมาก…ส่วนองค์ชายห้าและองค์ชายสิบ…สิ้นชีพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาลุกขึ้นอย่างเดือดดาล ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีสายใยรักระหว่างพ่อลูกลึกซึ้งมากนัก แต่เพียงแค่ครั้งเดียวสูญเสียคนไปมากขนาดนี้ก็ทำเอาเขาเหนือความคาดหมายเช่นกัน “เจ้ามารผจญนี่! เนี่ยอวิ๋นก็อยู่ด้วยมิใช่หรือ เนี่ยอวิ๋นมัวแต่ทำอะไรอยู่”
องค์ชายตายไปสองคน องค์ชายอีกสี่คนบาดเจ็บหนัก หากรักษาหายยังพอว่าแต่หากเกิดแย่ขึ้นมาหรือทิ้งโรคอะไรไว้ก็เท่ากับครั้งเดียวเขาสูญเสียองค์ชายไปทั้งหมดหกคน อีกทั้งล้วนเป็นเหล่าองค์ชายที่ค่อนข้างโดดเด่นอีกต่างหาก การสูญเสียเช่นนี้ย่อมทำให้ฮ่องเต้แคว้นหวาอดให้ความสนใจไม่ได้ ในเมื่อบัดนี้เขาอายุห้าสิบชันษาแล้ว มีลูกมากมายก็ย่อมมีเรื่องวุ่นวายเยอะแน่นอน แต่หากไร้คนสืบทอดก็เป็นปัญหาเช่นกัน
จวนองค์ชายเก้ามีองครักษ์มากมายขนาดนั้น อีกทั้งมียอดฝีมืออย่างเนี่ยอวิ๋นอยู่ด้วย เดิมทีเขานึกว่าคงมีคนไม่สำคัญบาดเจ็บสักสองสามคนก็เท่านั้น ใครจะรู้ว่าองค์ชายคนสำคัญต่างบาดเจ็บกันทั้งสิ้น ไม่เพียงแต่องค์ชายแคว้นหวา แต่ยังมีราชทูตต่างแคว้นและองค์หญิงที่มาเกี่ยวดองด้วย ยามนี้ฮ่องเต้แคว้นหวาพลันนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ที่เขาบอกมู่หรงอวี้ว่าต่อให้มู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวถูกบั่นหัวก็ไม่เป็นไร ทว่าตอนนี้เขาปรารถนาอยากบีบคอมู่หรงอวี้ให้ตายตั้งแต่ตอนเกิดเสียแล้วจริงๆ
“ปิดประตูเมือง! รีบจับตัวคนที่ก่อความวุ่นวายพวกนี้มาให้ได้แล้วฆ่าทิ้งเสีย!” ฮ่องเต้แคว้นหวาตรัสด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธสุดขีด
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ”
พอออกจากวังหลวงมา มู่ชิงอีและหรงจิ่นก็มุ่งหน้าไปจวนฉินสถานที่อยู่อาศัยของกู้ซิ่วถิงทันที จวนของมู่หรงซีเข้าออกไม่ค่อยสะดวกนัก แต่กู้ซิ่วถิงต้องรู้เรื่องของจวนองค์ชายเก้าในวันนี้แน่นอน
พอมาถึงหลังสวนในจวนถึงสังเกตเห็นว่าไม่ได้มีเพียงกู้ซิ่วถิงเท่านั้น แต่มู่หรงซีก็อยู่ด้วย อีกทั้งบรรยากาศรอบข้างก็ไม่ค่อยดีนัก มู่ชิงอีและหรงจิ่นสบตากันก่อนเดินรุดหน้าเข้าไป “เหตุใดพี่ชายถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”
ครั้นเห็นมู่ชิงอีและหรงจิ่นเดินเข้ามา สีหน้าของมู่หรงซีก็ผ่อนคลายลงบ้าง จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ เอ่ย “เหตุใดชิงอีถึงมาหาดึกดื่นมืดค่ำเช่นนี้เล่า”
มู่ชิงอีกล่าวตอบ “พวกเราเพิ่งออกจากวังมาเมื่อครู่ ฝ่าบาททรงทราบเรื่องที่คนบาดเจ็บล้มตายในจวนองค์ชายเก้าแล้ว เกรงว่าอีกประเดี๋ยวคงส่งคนมาเยี่ยมพี่ชายถึงจวนผิงอ๋อง” มู่หรงซีพยักหน้ากล่าว “ก็ดี เช่นนั้นข้ากลับก่อน ซิ่วถิง...” เขามองกู้ซิ่วถิงที่นั่งเงียบกริบไม่พูดอะไรอยู่อีกฝั่ง มู่หรงซีส่ายศีรษะถอนหายใจแล้วหมุนตัวเดินจากไป
รอกระทั่งมู่หรงซีกลับไปแล้ว มู่ชิงอีถึงนั่งลงแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “พี่ใหญ่ทะเลาะกับพี่ชายหรือ”
กู้ซิ่วถิงเงยหน้ามองน้องสาวด้วยรอยยิ้มเชิงปลอบใจ “เปล่า แค่ความเห็นไม่ตรงกันเท่านั้น”
เรื่องความเห็นไม่ตรงกันจนทะเลาะกัน อย่าว่าแต่พี่ชายในเวลานี้เลย ต่อให้เป็นพี่ชายเมื่อหลายปีก่อนตอนเป็นองค์รัชทายาทก็มีให้เห็นน้อยนัก ถึงแม้นิสัยของพี่ชายกับพี่ใหญ่จะเรียกว่าอ่อนโยนอบอุ่นก็จริง แต่ความจริงพี่ชายใจเย็นกว่าพี่ใหญ่มากทีเดียว ดูท่าทางตอนนี้พี่ชายคงจะกำลังโกรธเคืองพี่ใหญ่อยู่ “พี่ใหญ่ ท่านทำเรื่องใดให้พี่ชายไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”
กู้ซิ่วถิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจเอ่ย “จวนองค์ชายเก้ามีคนตายสอง บาดเจ็บสี่”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่น “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับพี่ใหญ่หรือเจ้าคะ”
[1]จั้ง เป็นหน่วยวัดของจีน หนึ่งจั้งยาวประมาณ 2.5 เมตร