กู้ซิ่วถิงเอ่ย “มู่หรงอวี้ทุ่มพละกำลังเกินครึ่งไปที่วัง เจ้าคงไม่ได้คิดว่าเขาจะมีความสามารถมากมายก่อเรื่องวุ่นวายได้ขนาดนั้นหรอกกระมัง”
มู่ชิงอีดวงตาเป็นประกาย “เรื่องวันนี้มีความเกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่หรือ”
กู้ซิ่วถิงพยักหน้าพลางขมวดคิ้วกล่าว “ข้าเดาว่าวันนี้มู่หรงอวี้ต้องลงมือทำอะไรบางอย่างแน่นอน เตรียมการล่วงหน้าก็แค่กันไว้ดีกว่าแก้ก็เท่านั้น แต่…ตอนหลังข้ารู้สึกว่านี่ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเช่นกัน”
หยิบยืมชื่อของมู่หรงอวี้มาจัดการกวาดล้างเหล่าองค์ชายของฮ่องเต้แคว้นหวาก็เพื่อเลี่ยงไม่ให้พวกเขามาหาเรื่องพี่ชายอีกมิใช่หรือ อีกอย่างฆ่าหรือทำให้องค์ชายบาดเจ็บสักคนสองคนคงไม่ส่งผลกระทบใดกับฮ่องเต้แคว้นหวา แต่หากสามารถจัดการกำจัดเจ็ดแปดคนในรวดเดียว เขาไม่เชื่อหรอกว่าฮ่องเต้แคว้นหวาจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลย นับว่ามู่หรงอวี้และมู่หรงอานสองพี่น้องทำร้ายเชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นหวาถึงหกเจ็ดคนภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองเดือนเท่านั้น
“พี่ชายไม่พอใจเรื่องนี้หรือเจ้าคะ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
กู้ซิ่วถิงยิ้มอย่างจนใจ เพราะถึงอย่างไรมู่หรงซีก็แตกต่างจากพวกเขา มู่หรงซีมีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์แคว้นหวา คนที่ตายและบาดเจ็บเหล่านั้นคือพี่น้องของเขา การกระทำของกู้ซิ่วถิงในครั้งนี้อาจทำลายถึงรากฐานสำคัญของแคว้นหวา มิน่าเขาถึงโกรธขนาดนั้น
“จื้ออ๋องและมู่หรงจ้าวบาดเจ็บเช่นใดหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม องค์ชายคนอื่นๆ ก็แค่พลอยดวงซวยตามไปด้วยเท่านั้น แต่เป้าหมายของกู้ซิ่วถิงย่อมเป็นมู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวอยู่แล้ว
กู้ซิ่วถิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “มู่หรงเสียบาดเจ็บแค่แขนข้างเดียว มู่หรงจ้าวบาดเจ็บแค่ตาข้างเดียว” ซึ่งก็หมายความว่าชีวิตของพวกเขาทั้งสองคนจบแล้ว แคว้นหวาคงไม่มีทางเอาคนที่ขาดแขนไปข้างหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นคงไม่มีทางเอาคนที่ตาบอดข้างหนึ่งมาเป็นองค์รัชทายาทและฮ่องเต้แน่นอน
มู่ชิงอีพิงข้างกายของกู้ซิ่วถิงแล้วถอนหายใจเสียงเบากล่าว “พี่ใหญ่ยังคิดจะสนับสนุนให้พี่ชายขึ้นเป็นฮ่องเต้อีกหรือเจ้าคะ พี่ใหญ่ก็รู้ว่าพี่ชายไม่มีความคิดนั้นเลย”
กู้ซิ่วถิงส่ายศีรษะกล่าว “ต่อให้พี่ชายไม่มีความคิดนั้น แต่ก็ปล่อยให้มู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวขึ้นเป็นไม่ได้เช่นกัน สุขภาพของพี่ชายยังต้องอาศัยอำนาจของเชื้อพระวงศ์แคว้นหวาอยู่ แต่ไม่ใช่อุปสรรค” หากมู่หรงเสียหรือมู่หรงจ้าวได้ตำแหน่ง เกรงว่าเรื่องแรกที่พวกเขาทำก็คือกำจัดอดีตองค์รัชทายาทอย่างมู่หรงซี นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่กู้ซิ่วถิงคิดกำจัดพวกเขาสองคน แก้แค้นฮ่องเต้แคว้นหวาก็ส่วนหนึ่ง แต่ปกป้องมู่หรงซีต่างหากคือปัจจัยหลัก
มู่ชิงอีเอียงศีรษะครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นพี่ใหญ่คิดจะสนับสนุนให้ฝูอ๋องขึ้นเป็นใหญ่?”
กู้ซิ่วถิงพยักหน้ากล่าว “ตอนนี้ไม่ต้องมีคนสนับสนุนหรอก นอกจากฝูอ๋องก็ไม่มีคนอื่นแล้ว” ความจริงใช่ว่าฝูอ๋องจะไร้ความสามารถเสียทีเดียว เพียงแต่ติดตรงสถานะของมารดาที่ต้อยต่ำเลยถูกรัศมีของเหล่าพี่น้องคนอื่นๆ บดบังจนหมด อย่างน้อยเมื่อเทียบกับองค์ชายเหล่านั้น ข้อได้เปรียบในตอนนี้ของฝูอ๋องก็มีอยู่ไม่น้อย ส่วนเรื่องที่ว่าวันข้างหน้าฝูอ๋องจะขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่นหรือไม่กลับไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องกังวลใจเลย
“พี่ชายต้องเข้าใจพี่ใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ” มู่ชิงอีเอ่ยปลอบโยนเสียงนุ่มนวล
กู้ซิ่วถิงฝืนยิ้มอย่างระอาใจ “ไม่ใช่ว่าพี่ชายไม่เข้าใจ เพียงแต่เขาไม่อยากให้ข้าทำเช่นนี้ก็เท่านั้น คนพวกนั้น…ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องของเขา เกอเอ๋อร์ พี่ใหญ่ใจเหี้ยมเกินไปใช่หรือไม่”
ที่แท้นี่ก็คือเรื่องที่ทำให้คุณชายซิ่วถิงมัวแต่สับสนอยู่อย่างนั้นหรือ ก็ใช่ หากจะกล่าวว่าคุณชายซิ่วถิงในวันวานอ่อนน้อมถ่อมตนสุขุมเยือกเย็นดั่งแสงจันทร์ยามค่ำคืนก็ไม่เกินจริงไปเลยสักนิด ต่อให้มีแผนการใดส่วนใหญ่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับใครทั้งนั้น กระทำการใดก็เปิดเผยตรงไปตรงมาไม่ต้องปิดบังตัวตนลับหลังใครเหมือนในตอนนี้ แค่ลงมือก็ลามถึงขั้นเอาชีวิตขององค์ชายแล้ว กระทั่งอาจสั่นคลอนไปถึงรากฐานของทั่วทั้งแคว้นหวา อย่าว่าแต่พี่ชายเห็นแล้วตกใจเลย เกรงว่าแม้แต่ตัวคุณชายซิ่วถิงเองก็คงยากจะรับได้เช่นกัน
มู่ชิงอีเกาะแขนข้างหนึ่งของกู้ซิ่วถิงอย่างรักใคร่แล้วพิงร่างของเขา เอ่ยพลางยิ้มตาหยี “ใช่หรือเจ้าคะ ข้าไม่เห็นจะรู้สึกแบบนั้นเลย พี่ใหญ่ดีที่สุดแล้ว ในใจของเกอเอ๋อร์ บนโลกใบนี้ไม่มีใครดีไปกว่าพี่ใหญ่แล้ว”
กู้ซิ่วถิงก้มหน้ามองน้องสาวผู้งดงามพลางอดคลี่ยิ้มบางไม่ได้ พวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากเรื่องราวเหล่านั้นเมื่อสี่ปีก่อนพวกเขาก็ไม่ใช่ตัวเองในอดีตอีกต่อไป แต่จะอย่างไรเล่า ขอแค่ในใจของเกอเอ๋อร์เห็นว่าพี่ใหญ่ดีที่สุด เช่นนั้นเขาก็ไม่มีวันสูญเสียความเป็นตัวเองไปตราบชั่วชีวิต
“ในใจข้า เกอเอ๋อร์ก็เป็นหญิงสาวที่งดงามและน่ารักที่สุดเช่นกัน” กู้ซิ่วถิงยิ้มกล่าว
หรงจิ่นที่ไม่สามารถเอ่ยแทรกบทสนทนาได้ ทำเพียงลูบจมูกปอยๆ อยู่ด้านข้าง ในใจพลันนึกหึงหวงคิดว่าต้องรีบพาตัวชิงชิงออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด อาศัยว่าตนเป็นพี่ชายของชิงชิงแล้วจงใจพยายามเข้าใกล้ชิงชิงเช่นนี้ช่างต่ำต้อยและไร้ยางอายเสียจริงๆ!
ณ ส่วนลึกของเรือนพำนักลึกลับแห่งหนึ่งในเมืองหลวง บุรุษชุดดำปล่อยมือโยนตัวมู่หรงอวี้ที่ถูกหิ้วปีกลงบนพื้นแล้วหมุนตัวเดินจากไป มู่หรงอวี้ไอเสียงเบาทีหนึ่งแล้วเอ่ยถามเสียงขรึม “รอเดี๋ยวก่อน ตกลงท่านเป็นใครกันแน่”
บุรุษชุดดำแค่นเสียงเบาแล้วตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา “คนที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้”
มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วอดกลั้นต่อความเจ็บปวดรุนแรงที่ทรวงอกเอ่ย “ข้าเชื่อว่าท่านคงไม่ช่วยใครโดยไร้ต้นสายปลายเหตุหรอกกระมัง ข้ากับท่านน่าจะไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ”
บุรุษชุดดำยิ้มเยาะกล่าว “อย่านึกเข้าข้างตัวเองนักเลย ข้าช่วยเจ้าก็เพราะรับเงินคนอื่นมาเท่านั้น” เวลานี้มู่หรงอวี้ถึงสังเกตเห็นว่าต่อให้ชุดสีดำจะคลุมทั้งร่างของชายผู้นั้น แต่ตรงคอเสื้อกลับปักรูปเกล็ดหิมะสีเงินดอกหนึ่งไว้ด้วย ฉับพลันก็ผุดความคิดบางอย่างขึ้นมาในสมองทันที “ท่านคือผู้นำหันเสวี่ยโหลว”
บุรุษชุดดำแค่นเสียงใส่แต่ไม่ได้ตอบกลับอะไร
ประตูห้องที่ในเดิมทีปิดสนิทก็ถูกใครบางคนเปิดออกจากด้านใน หรงเหยี่ยนเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มกล่าว “สหายมู่หรง เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
ครั้นเห็นหรงเหยี่ยน มู่หรงอวี้ก็เข้าใจในทันที “สหายหรง เจ้าเป็นคนเชิญผู้นำหันเสวี่ยโหลวมา…” ในเมื่อสามารถเชิญตัวผู้นำหันเสวี่ยโหลวมาช่วยเขาได้ แล้วเหตุใดถึงไม่ให้ผู้นำหันเสวี่ยโหลวช่วยพวกเขาต่อกรกับฮ่องเต้แคว้นหวาเลยเล่า ถึงแม้ช่วงเวลาที่อยู่ในพระตำหนักฉินเจิ้งอาจไม่นานนัก แต่มู่หรงอวี้ดูออกว่าบุรุษชุดดำคนนี้กลับไม่ลงมือทำอะไรฮ่องเต้แคว้นหวาเลย มิเช่นนั้นองครักษ์ชุดดำสองคนเมื่อครู่จะขวางไว้ได้หรือไม่ก็มิอาจรู้ได้
หรงเหยี่ยนยักไหล่ พูดอย่างเอือมระอา “ช่วยไม่ได้ ในเมื่อราคาฆ่าคนกับราคาช่วยคนมันต่างกัน” ความหมายก็คือราคาช่วยคนเขายังพอจ่ายไหว แต่ราคาฆ่าคนเขาจ่ายไม่ไหว โดยเฉพาะฆ่าฮ่องเต้คนหนึ่ง ในเมื่อคนในยุทธภพทั่วไปไม่มีใครสนใจเรื่องแบบนี้หรอก
บุรุษชุดดำมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่งเอ่ย “ถ้าไม่มีเรื่องใดแล้ว ข้ากลับก่อนล่ะ” ถึงแม้หรงเหยี่ยนจะฐานะสูงส่งเป็นถึงองค์ชายแห่งแคว้นเย่ว์ แต่สำหรับคนผู้นี้กลับไม่มีค่าใดเลย หรงเหยี่ยนอมยิ้มกล่าว “ลำบากท่านแล้ว ขอไม่ส่งแล้วกัน”
บุรุษชุดดำก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงหมุนตัวแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ในเรือนแห่งนั้นตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ผ่านไปสักพักใหญ่หรงเหยี่ยนถึงยิ้มบางกล่าว “สหายมู่หรง เรื่องที่ข้ารับปากเจ้าจัดการไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ควรทำให้ข้าเห็นถึงความจริงใจของเจ้าแล้วกระมัง”
มู่หรงอวี้เงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ย “จัดการได้แล้วหรือ”
“แน่นอน” หรงเหยี่ยนกล่าว “วันนี้เหล่าองค์ชายและท่านอ๋องในจวนองค์ชายเก้าตายสองบาดเจ็บสาหัสสี่ คนที่บาดเจ็บสาหัสแม้มีชีวิตอยู่ต่อไปแต่ก็พิการ นี่ยังไม่ถือว่าทำได้สำเร็จอีกหรือ”
“แล้วมู่หรงซีเล่า” มู่หรงอวี้ถาม
“เรื่องนี้…” หรงเหยี่ยนจนใจนัก เพราะถ้าทำได้เขาคงยอมปล่อยองค์ชายสามคนไปแล้วจัดการชิงฆ่ามู่หรงซีก่อน แต่เวลานั้นในจวนชุลมุนวุ่นวายแล้วใครจะควบคุมสถานการณ์ได้บ้างเล่า นักฆ่าเข้าใกล้มู่หรงซีไม่ได้ในระยะห้าก้าวด้วยซ้ำ สุดท้ายถึงแม้มู่หรงซีจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแต่กลับไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต “มู่หรงซีมีพิษติดตัว ไม่ช้าก็เร็วต้องตายอยู่ดี เหตุใดสหายมู่หรงถึงรั้นจะฆ่าเขาให้ได้นักหรือ”