“เหตุใดท่าน…” ความรู้สึกย่ำแย่เกาะกุมไปยังหัวใจของนาง ชีวิตในตลอดหลายปีมานี้ลบล้างความคิดเมื่อสิบกว่าปีก่อนของนางจนเกลี้ยง เพราะทุกอย่างทำให้นางรับรู้อย่างชัดเจนว่าบนโลกใบนี้น่าขยะแขยงและสกปรกมากแค่ไหน แต่เนี่ยอวิ๋นนั้นแตกต่างออกไป นางไม่ได้มีบุญคุณหรืออะไรต่อเขาเลยสักนิด จนถึงตอนนี้เนี่ยอวิ๋นน่าจะรู้แล้วว่าก่อนหน้านี้นางหลอกใช้เขามาตลอด อย่างเช่นตอนเขาถูกฮ่องเต้แคว้นหวาจับเข้าคุกก่อนหน้านี้ ความจริงเขาจะพูดก็ได้ว่าเป็นฝีมือนาง แต่เขาก็ยังคงยืนยันจะปล่อยนางไปอยู่ดี
เนี่ยอวิ๋นหลุบตาลงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ข้าอยากทำ การฝืนใจไม่เป็นผลดีกับการเรียนวิทยายุทธเลย” นับตั้งแต่สี่ปีก่อน วิทยายุทธของเขาก็ไม่มีการพัฒนาใดอีก นั่นเป็นเพราะเขามีปมในใจยากจะแก้ได้
“รีบไปเถิด” เนี่ยอวิ๋นเอ่ย
มู่ชิงอีกัดฟันเอ่ยเสียงขรึม “ท่านยินดีไปกับพวกเราหรือไม่” ถึงแม้จะรู้ว่าความหวังริบหรี่ แต่มู่ชิงอีก็ยังถามออกไป
เนี่ยอวิ๋นชะงักไป แต่ไม่นานก็ส่ายศีรษะเอ่ยด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา “ฝ่าบาทมีบุญคุณกับข้า…ข้าไปไหนไม่ได้” ไม่เพียงเท่านั้น จ้าวจื่ออวี้ยังเป็นศิษย์น้องที่มีความจริงใจต่อเขา เซ่าจิ่นเองก็เป็นสหายที่รู้จักกันมาหลายปี หากเขาไปทั้งแบบนี้จะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้พวกเขามากกว่า
คำตอบที่เป็นไปตามคาดเช่นนี้ทำให้มู่ชิงอีถอนหายใจ เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นหัวหน้าองครักษ์เนี่ยก็รักษาตัวด้วย”
“เจ้าก็รักษาตัวด้วยเช่นกัน”
“พวกเราไปกันเถิด” มู่ชิงอีมองบุรุษที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นครั้งสุดท้ายแวบหนึ่งก่อนจะหันไปบอกอู๋ซินที่อยู่ข้างกาย
“ขอรับ”
หลังจากล่ำลาเนี่ยอวิ๋นแล้ว อู๋ซินก็รีบพาตัวมู่ชิงอีจากที่นี่ไปด้วยวิชาตัวเบา จากนั้นก็อาศัยความเร็วขั้นสูงหนีมาที่ตำบลเล็กๆ นอกเมืองที่ใกล้ที่สุดแห่งหนึ่ง พวกเขาสองคนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อพรางตัวอย่างรวดเร็ว มู่ชิงอีเปลี่ยนไปสวมชุดเด็กสาวชาวบ้านสีกรมท่าและใช้เพียงเชือกสีน้ำเงินรวบผมไว้ มองดูแล้วเหมือนหญิงสาวชาวบ้านที่มีใบหน้างดงามคนหนึ่งเท่านั้น หน้าด้านขวามีเส้นผมตกลงมาครึ่งหน้าจนปกปิดใบหน้างดงามของนาง ชั่วขณะนั้น จากสาวงามก็ถูกกลบความงามลงห้าถึงหกส่วนเลยทีเดียว
อู๋ซินเองก็เปลี่ยนไปสวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ ถึงแม้ใบหน้าของพวกเขาสองคนจะดูมีสง่าราศรีกว่าชาวบ้านธรรมดา แต่ในตำบลเล็กๆ นั้นกลับไม่ถือว่าดึงดูดสายตาใครมากนัก พวกเขาเหมือนพี่น้องคู่หนึ่งที่เดินทางมาจากต่างถิ่นทั่วไป หรืออย่างมากก็แค่เหมือนคนที่มาจากยุทธภพก็เท่านั้น
พวกเขาเดินทอดน่องอยู่ในตำบลนั้นด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็หาร้านเล็กๆ ที่อยู่ภายใต้อาณัติของตระกูลกู้เจอ ที่นี่เป็นโรงเตี้ยมเล็กๆ ที่ไม่เตะตาใคร ผู้ดูแลเข้าไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้นแล้วจัดการเรื่องห้องพักให้พวกเขาทั้งสอง กระทั่งก่อนกลับถึงมอบจดหมายฉบับหนึ่งที่มีตราประทับของกู้ซิ่วถิงให้มู่ชิงอี
พอมู่ชิงอีอ่านจดหมายของกู้ซิ่วถิงจบก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณหนู มีเรื่องอันใดหรือ” อู๋ซินเอ่ยถาม
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วพลางเอ่ยตอบ “พี่ใหญ่บอกว่าไม่รอพวกเราแล้ว รอถึงแคว้นเย่ว์เขากับพี่ชายถึงจะไปหาพวกเราง” ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะหารือกันเช่นนี้จริง แต่มู่ชิงอีกลับรู้สึกตงิดใจแปลกๆ ในเมื่อพี่ใหญ่สามารถส่งจดหมายมาถึงที่นี่ได้ก็หมายความว่าพวกเขาปลอดภัยดี แล้วเหตุใดถึงไม่รอเจอนางก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรทุกคนอยู่ด้วยกันก็อุ่นใจกว่า
อู๋ซินขบคิดดูแล้วถึงเอ่ยปลอบใจว่า “บางทีคุณชายใหญ่คิดว่าถ้าไปด้วยกันจะตกเป็นเป้าสายตาได้ง่าย ในเมื่อในเมืองแคว้นหวาก็ยังเป็นถิ่นของฮ่องเต้แคว้นหวาอยู่ ระมัดระวังตัวหน่อยถึงจะถูก”
มู่ชิงอีพยักหน้า จากนั้นก็พลิกจดหมายไปมาจับจ้องอยู่นานทว่ากลับไม่เห็นความผิดปกติใดจากจดหมายฉบับนี้เลย นี่เป็นจดหมายที่พี่ใหญ่เขียนเองจริงๆ กระทั่งปิดผนึกเองด้วย นั่นก็หมายความว่านี่เป็นความต้องการของพี่ใหญ่จริงๆ หรือบางที…ตนอาจจะคิดมากไปอย่างนั้นหรือ
“คุณหนู ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรต่อหรือขอรับ” อู๋ซินเอ่ยถาม
มู่ชิงอีคิดๆ ดูแล้วถึงเอ่ยถาม “คณะทูตแคว้นเย่ว์จะเดินทางออกจากเมืองหลวงเมื่อใดหรือ”
อู๋ซินเอ่ยตอบ “น่าจะอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ตวนอ๋องได้รับบาดเจ็บไม่มาก อีกอย่างพวกเราก็พักอยู่ที่แคว้นหวานานเกินไปแล้ว” เรื่องจวนองค์ชายเก้าครั้งนี้เกี่ยวข้องกับตวนอ๋องแน่นอน ดังนั้นวัวสันหลังหวะอย่างเขาย่อมไม่กล้าอยู่แคว้นหวาต่อนานแน่นอน
“พวกเรารอคุณชายเก้ามารวมตัวที่นี่ก่อนไหมขอรับ” อู๋ซินเอ่ยถาม
มู่ชิงอีส่ายศีรษะเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้อง เจ้าส่งจดหมายไปบอกหรงจิ่นว่าพวกเราจะไปแคว้นเย่ว์เอง”
อู๋ซินชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินออกประตูไปส่งจดหมายให้หรงจิ่น
ณ สถานทูตแคว้นเย่ว์ เมืองหลวง
ในห้องหนังสือ ใบหน้าหล่อเหลาของหรงจิ่นเผยสีหน้าบูดบึ้งถมึงทึง จู่ๆ ฮ่องเต้แคว้นหวาก็หาที่กบดานของพวกชิงชิงเจอจึงส่งคนไป ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ข่าวคราวใดเลยแม้แต่น้อย กระทั่งตอนที่เขาไปถึง กระท่อมหลังนั้นก็ถูกคนของฮ่องเต้แคว้นหวาล้อมไว้แล้ว จากนั้นชิงชิง กู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ทั้งๆ ที่พวกเขาใกล้จะกลับแคว้นเย่ว์แล้วแท้ๆ หรงเหยี่ยนเองก็จ้องจับผิดเขาไม่วางตาจึงจนปัญญาจะออกไปเถลไถลอยู่ด้านนอกนานๆ ได้ เขาเลยทำได้แค่ส่งอู๋ฉิงออกไปตามหาพวกเขา
“องค์ชาย” อู๋ฉิงเปิดประตูเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“มีข่าวคราวของชิงชิงหรือยัง” หรงจิ่นเอ่ยถาม
อู๋ฉิงพยักหน้าแล้วลอบผ่อนลมหายใจ หากเขายังหาข่าวคราวของคุณหนูมู่ไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าองค์ชายจะเป็นเช่นไรบ้าง แต่เขาไม่รู้ว่าหลังจากองค์ชายได้ฟังข่าวนี้แล้วจะชอบใจหรือไม่ “คุณหนูมู่ฝากให้อู๋ซินมาบอกข่าวองค์ชายว่าพวกเขาหนีรอดจากอันตรายได้แล้ว คุณหนูมู่บอกว่าพวกเขาจะเดินทางไปแคว้นเย่ว์เอง รอหลังจากถึงแคว้นเย่ว์แล้วค่อยติดต่อองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ!” หรงจิ่นขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ “ในเมื่อหนีรอดอันตรายได้แล้ว เหตุใดชิงชิงถึงไม่รอข้าอยู่ที่นั่นเล่า”
อู๋ฉิงรีบกล่าว “ตอนนี้ด้านนอกตามหาตัวคุณหนูมู่และคุณชายกู้กันให้ควั่ก หากอยู่ที่หนึ่งนานๆ เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายเองก็ต้องกลับแคว้นไปกับตวนอ๋อง แบบนั้นคุณหนูมู่คงไม่ค่อยสะดวกนัก”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบา “ไม่สะดวกอะไรกัน ข้าว่าชิงชิงไม่อยากไปกับข้ามากกว่า เหตุใดตำแหน่งที่อยู่ของพวกชิงชิงถึงหลุดออกไปได้ เจ้าสืบหาได้ความมาหรือยัง”
อู๋ฉิงแอบนึกโล่งอก ในเมื่อองค์ชายเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วก็หมายความว่าไม่เค้นหาความอะไรกับเรื่องนี้อีก เขารีบกล่าว “ท่านเฝิงสั่งให้คนไปตามสืบแล้ว แต่…ปัญหาน่าจะไม่ได้เกิดจากคนในตระกูลกู้แน่นอน” เฝิงจื่อสุ่ยมีวิธีจัดการดูแลลูกน้อง อีกอย่างคนที่ตามรับใช้ตระกูลกู้ต่างก็จงรักภักดียิ่งนัก ในเมื่อตระกูลกู้ล้มไปตั้งหลายปี ปกติแล้วคนพวกนี้ก็คงแยกย้ายกันไปนานแล้ว
หรงจิ่นมุ่นคิ้ว “นอกจากข้าก็มีแค่คนของพวกเขาเท่านั้นที่รู้ที่อยู่ของพวกเขา หากไม่ใช่คนของตระกูลกู้ หรือจะเป็นทางฝั่งข้า”
อู๋ฉิงเอ่ย “หรือว่าจะเป็น…คนของใคร”
หรงจิ่นโบกมือเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มใจ “ไปตามสืบต่อ! ส่วนอีกเรื่องก็สืบมาด้วยว่ามู่หรงอวี้ตายแล้วหรือยัง” หากว่ากันตามหลักการก็น่าจะตายแล้ว เรื่องที่องครักษ์ทั้งสองของฮ่องเต้แคว้นหวาลอบตัดเส้นชีพจรของมู่หรงอวี้หรงจิ่นย่อมเห็นอยู่แล้ว แต่เขามักรู้สึกว่ามู่หรงอวี้นั้นเป็นคนที่ตายยากตายเย็น
อู๋ฉิงลอบถอนหายใจแล้วมององค์ชายอย่างเศร้าใจ เอ่ยขึ้น “ทูลองค์ชาย ยังไม่ตายพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้มู่หรงอวี้ก็อยู่ในสถานทูตแคว้นเย่ว์เช่นกัน”
“ยังไม่ตายหรือ” หรงจิ่นเลิกคิ้ว “หรงเหยี่ยนมีความสามารถขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน” หมอที่ติดตามมาแคว้นหวาครั้งนี้ฝีมือเป็นเช่นไรหรงจิ่นย่อมรู้ดี ถึงขนาดช่วยชีวิตของมู่หรงอวี้ได้ หรือหรงเหยี่ยนจะซ่อนความสามารถใดไว้
อู๋ฉิงกล่าว “เมื่อสองวันก่อนมีบุรุษชุดขาวคนหนึ่งมาขอพบองค์ชายสี่ คนที่เคยเห็นเขาต่างบอกว่าในตัวของเขามีกลิ่นหอมยาจางๆ เป็นไปได้มากว่าเขาจะเป็นหมอ…”